วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Racist Jokes Are Not Funny

คำเตือน: เนื้อหาวันนี้ซีเรียสจริงจัง อาจพาเครียดนิดหน่อย หากท่านมีอาการข้างเคียงหลังอ่านโปรดปรึกษาแพทย์

นราชอบรายการทีวีของอังกฤษมากๆ ทึ่งในคุณภาพของรายการโทรทัศน์หลายรายการ โดยเฉพาะ Planet Earth และพวกสารคดีทั้งหลายของ BBC ดูแล้วแบบ เออ มันไปตามถ่ายได้ไงอ่ะ ทั้งแสง สี เสียง คำบรรยายมันยอดเยี่ยมจริงๆ วันก่อนดูสารดีปลาโลมา พี่แกก็ตามถ่ายใกล้จนเห็นรูก้นปลาโลมาทีเดียว ดูแล้วก็ให้สงสัยว่าเขาลงทุนไปเท่าไหร่ถึงผลิตงานชั้นดีแบบนี้ออกมาได้ แต่ไอ้รายการห่วยๆก็แยะเหมือนกัน อย่างพวก Reality TV, Caught on Camera เนี่ย ปีนี้ปาเข้าไปปีที่เท่าไหร่แล้ว มันก็ยังเอาวิดีโอจากปี 1994 สมัยไดโนเสาร์มาให้ดู

แต่นะ ดูทีวีฝรั่งมากๆ มันก็เบี่ยเป็นเหมือนกัน บางทีก็อยากดูอะไรที่เราฮาได้โดยไม่ต้องแปล ได้ฟังเสียงภาษาที่เราคุ้นเคยมันก็แก้เหงา แก้คิดถึงบ้านได้เหมือนกัน รายการหลักๆที่นราดู อันดับหนึ่งเลย คนอวดผี โดยจะดูเฉพาะตอนประสบการณ์ขนหัวลุกกับตอนบรรเทาทุกข์ผี ไอ้ตอนพิสูจน์บ้านผีนี่ไม่ดูค่ะ เห็นสาวๆจากทางบ้านบางคนแล้วรำคาญ มาล่าท้าผีตอนตีหนึ่งตีสองแต่แต่งตัวเหมือนจะไปอาร์ซีเอด้วยแฟชั่นสะหมีเหอล่าสุด

พี่ป๋อง - น้องแอลฟี่/ลูกแพร์/อัลมอนด์/ชิฟฟ่อน (หรือชื่ออะไรก็แล้วแต่ที่บรรดาพ่อแม่สรรหามาตั้งให้ลูก โดยไม่ได้คิดเลยว่าพอลูกตัวเองอายุ 60 แล้วชื่อมันจะไม่เข้ากับวัยอย่างแรง) ไปนั่งห้อยขาที่บันไดครับ
น้องจากทางบ้าน - โอ๊ยพี่คะ ขาหนูเย็นมาก มันวูบวาบไปหมดเลย พี่หนูกลัววววววว
...

เมิงไม่ต้องไปนั่งตรงบันไดบ้านผีสิงหรอก ให้ไปนั่งในห้างคนเยอะๆเมิงก็เย็น ฟาย สั้นขนาดนั้นไม่เย็นก็แปลกแล้ว

เมื่อวานไปเจอรายการหนึ่ง เป็นรายการที่มีช่วงหนึ่งเป็นช่วงให้คนทางบ้านมาร้องเพลงแล้วให้กรรมการรับเชิญทายว่าใครร้อง ซึ่งนราก็สนับสนุนนะ เพราะเชื่อว่าคนมีพรสวรรค์ยังมีอีกมากแต่ขาดโอกาสแสดงตัว ตอนแรกๆก็เป็นคนทั่วไปธรรมดา หลังๆเริ่มมีเป็นเด็กบ้าง สาวประเภทสอง แล้วก็มีต่างชาติ เมื่อวานนี้เป็นแนวฝรั่งสามคนมาร้องเพลงไทย คนนึงเป็นฝรั่งแก่ๆ อีกคนเป็นหนุ่มผิวสี อีกคนเป็นหนุ่มอิตาเลียนหล่อฉิบหายยยย

แต่ที่เห็นแล้วมันเซ็ง มันสมเพชเวทนายังไงบอกไม่ถูก คือกิริยาของพิธีกรหญิง และบทสำหรับฝรั่งแต่ละคน เข้าใจว่าทางรายการคงอยากให้มันออกมาตลก เลยให้พิธีกรหญิงคนนี้มาทำหน้าที่นัยว่าเป็นล่ามแบบตลกๆ โดยพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้เป็นซำเนียงฟารังฮายมันดูอินเทอร์แนชั่นน่าว เสียเวลาไปเกือบสิบนาที โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย คนดูไม่รู้เรื่อง ฝรั่งไม่ได้พูด มีแต่แม่คนนี้พ่นภาษานกแก้วนกขุนทองซ้ำไปซ้ำมาด้วยเสียงที่แหลมมาก แหลมแบบที่ว่าอยากลุกไปตบสักฉาดให้มันเงียบเหลือเกิน ที่สำคัญคือมันไม่ตลก มันเฝือ และมันดูงี่เง่ามากๆ (อ้างอิงได้จากความเห็นผู้ชมคลิปในยูทูป)

พอมาถึงหนุ่มลูกครึ่งอิตาเลียน อีกสิบนาทีก็เสียไปกับการรอให้แม่พิธีกรหญิงกระบิดกระบวนขวยอาย โอ้โลมปฏิโลมสุดหล่อคนนี้ให้เสร็จ เห็นอย่างนี้แล้วมันทู่เรสลูกกะตา นราเองไม่ปฏิเสธว่าเคยบ้าผู้ชายฝรั่งแบบสุดๆ ชนิดเฝ้าฝันถึงหายใจเข้าเป็นผมบลอนด์ หายใจออกเป็นตาฟ้า ไปเดินห้าง เที่ยวไหนนี่สอดส่ายสายตามองหาฝรั่งไว้เชยชมเป็นขนมหวานก่อนเลย แต่ในฐานะประธานสมาคมเหล่ฝรั่งแห่งประเทศไทย การเหล่ควรจะอยู่ในศีลธรรมและวัฒนธรรมอันดีของประเทศ การเหล่ฝรั่งถือเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง เพราะยากนักที่จะเหล่ได้อย่างแนบเนียนสมเป็นกุลสตรีแต่จิกลึกยิ่งกว่าอีกาปากเหล็ก ใครสนใจวิธีเหล่ฝรั่งแบบแนบเนียนให้ส่งจดหมายจ่าหน้าซองถึงตัวท่านเองมาหานรานะคะ

พอถึงตาหนุ่มผิวสีร้องเพลง ทางรายการก็คงกำหนดบทว่าให้เต้นท่าสุดท้ายเป็นท่ายกแขน โดยให้แดนเซอร์หญิงมาซบแล้วทำสลบเป็นลมไปกองกับพื้น จริงอยู่ว่าเรามักมีภาพรวมของคนชาติต่างๆอยู่ในหัว เช่น เราบอกว่าคนผิวดำกลิ่นตัวแรง คนจีนเสียงดัง คนญี่ปุ่นสุภาพ ซึ่งบางทีมันไม่จริงเสมอไป แต่นั่นเป็นเรื่องของทัศนคติและประสบการณ์ส่วนบุคคล การเอาเค้ามาเล่นมุกตลกที่เราคนไทยมองว่าฮาสัดๆ มันเหมือนเอาเค้ามาเป็นปาหี่ออกทีวีมั้ย เป็นเรื่องสมควรหรือไม่ ลองนึกดูว่าเราเล่นมุกคนดำตัวเหม็นแบบนี้ ถ้าคนไทยสักคนไปออกรายการฝรั่ง แล้วพิธีกรมาทำตลกบริโภค โอ้ มาจากไทยแลนด์เหรอ ปิงปองโชว์ให้ดูหน่อย เราจะตลกออกกันมั้ย

อีกเทปนึงยิ่งร้ายใหญ่ พิธีกรหญิงก็นะ มามุกเดิม พ่นภาษา "...อิสสะมะแค่วอะสะเยสคิสซะเอิ้ล ฯลฯ" แล้วก็ถามแขกรับเชิญ "ยู วาย อา ยู โซ แบล็ก เนี่ย แบล็กกว่าเพื่อนยูคนอื่นๆเลย" ฟังแล้วก็หน่ายกับความไร้ความคิดของทางรายการและพิธีกรหญิงอย่างยิ่ง เล่นได้แต่มุกตลกไม่สร้างสรรค์ เอาจุดด้อยของผู้ร่วมรายการมาเป็นเรื่องฮา ทำไมต้องยกเรื่องสีผิวมาเป็นเรื่องตลก ให้คนดูหัวเราะกับความดำของเขา เป็นคุณจะรู้สึกอย่างไร มาออกรายการในประเทศที่คุณพูดภาษาของเขาไม่ได้ แล้วมีพิธีกรมาพูดสำเนียงเลียนเสียงภาษาของเขาแต่คุณฟังไม่รู้เรื่อง คุณไม่เข้าใจ แล้วคนดูก็หัวเราะกันครืนทั้งห้องส่ง โดยมีคุณยืนเด๋อไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

รายการนี้เป็นรายการดีนะ แต่ไอ้มุกตลกหางแถวห่วยๆนี่แหละที่จะพารายการลงเหว

จบมันดื้อๆแบบนี้แหละ ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะที่พาดพิงถึงเชื้อชาติต่างๆ ไม่มีเจตนาจะล้อเลียนใดๆทั้งสิ้นค่ะ

*******************

Warning: Today's blog entry will be quite serious. Please do not expect it to be as funny as usual (if it ever be). If you have side effects after reading, consult your doctor.

I love English TV programmes. I'm often astonished by the amazing quality of them, especially Planet Earth and other BBC documentary. I always wonder how they can make such wonderful programmes - everything is so good, from camera work to narrating voice. I just watched one about dolphins the other day. The cameraman obviously got so close to the dolphins I can actually see their anus! I dare not think about how much they have spent to make such wildlife documentary. But, of course, there are also awful TV shows, for example, Caught on Camera. We're now living in the 21st century and yet they're still showing us videos from 1990s.

But eventually, I always have to come back to Thai TV shows, because sometimes I do feel like hearing something funny without having to translate them into my language, and by doing so it saves me from homesick too. What I watch the most often is Ghost TV, but I only watch the parts when people come talk about their supranatural experience and when the medium comes solves people's ghostly problems. The part when they go to haunted houses I wouldn't lay my eyes on at all - it's pure annoyance. I just get irritated everytime I see female volunteers come to this ghost hunting, at midnight or so, at a deserted place with loads of plants and trees growing like jungle, wearing extremely short shorts. Here is the most idiotic conversation in my opinion:

The Boss - Right, now go sit on the wooden stairs and hang your legs between stair boards.
The girl - OH MY GOD, my legs are so cold! It's freezing cold! I'm scaaaaaaaared!

Yeah, sure. With those shorts you will still feel cold sitting in a crowded department store.

Yesterday I came across one TV show that lets people from home come on stage and sing, which I agree that it's a good idea because I believe that there are so many potential stars waiting to be discovered. At first it was just an ordinary singing contest, then there were kids, ladyboys, and foreigners singing Thai songs. What I saw yesterday were three foreigners: an old man in his 50's, a coloured dude from Cameroon, and a drop-dead gorgeous Italian lad.

But what really bored me was the way the female presenter acted towards each contestant - or maybe that was in her script. I do understand that the show wanted this to be hilarious, using this female presenter as a funny interpreter by speaking something that sounded foreign, pretending she was fluently speaking English, but that was both pathetic and silly (according to comments left on YouTube.com). Ten minutes was lost on how she kept blabbering alien language to contestants. Audience had no idea what she was saying. The contestants didn't get to say a word. She was like a parakeet with extremely annoying high-pitch voice, so high you feel like going there and slapping her till she's silent.

When she moved on to the handsome Italian guy, another ten was spent on acting shy and flirty with him. I don't deny that I was once crazy about western guys, so crazy I dreamed of blond hair when I inhaled and blue eyes when I exhaled. Wherever I went, the first thing I will do was to look for some eye-candy western "farang" boys. However, on behalf of Hot Farang Spotting Association, I suggest that such activity must be conducted within proper Thai cultures and traditions. This is indeed an art and you should learn how to enjoy watching hot western guys secretly from a distance - not drooling all over him, giggling and shouting to the world that you have found the father of your future children.

When it was the Cameroonian guy's turn, I bet he was told to finish his song by raising both arms up while the dancers, dancing close to his armpits, acting dizzy and collapsing to the floor. This was a horrible joke about stereotypes. We do have different stereotypes for people from different countries: coloured people smells, Chinese people talk loudly, and Japanese people are polite, for example. These stereotypes are not always true and it greatly depends on personal attitudes and experiences. Mocking someone about something we think is really funny about them ON TV is such a cheap idea. What would you say if a Thai person going to a foreign TV show is asked "Oh, you're from Thailand? Can you do Ping Pong Show?" Of course we will be mad at it - something that the Cameroonian contestant had all the rights to be.

Another tape was even worse. The female presenter, still going on and on with a sick joke of speaking English-sounding bullshit, finally asked one contestant "...Why you so black? Your friend not very black, why you black than them?" I can't help but feeling so sick of how idiotic this show and the presenter can get. It was as if making fun of people's skin colours was the only thing they can think of to keep the audience laughing. Imagine yourself in a foreign TV show in a foreign country where you cannot speak nor understand its language, then the presenter starts mocking your language, saying things you don't understand and hence not know what to reply, then everyone in the studio laugh their ass off, leaving you confused of what is going on. How terrible would that feel?

I'm gonna stop right here because this is the longest blog entry I have ever written. I hereby apoligise for mentioning some nationalities in my writing. I have no intention to insult or anything.







วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

9500ish Miles Apart, Still We're Looking at the Same Moon



เมื่อวานฝนตกกว่าครึ่งวัน อากาศเย็นสบายชื่นใจมาก เหมาะแก่การนอนอืดอ่านหนังสือบนเตียงแล้วหลับกู้ก้าเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่ได้ปวดเนื้อปวดตัวไปหมดเพราะบ้าเล่นแบดมินตันไปสองชั่วโมงติดๆเมื่อวันเสาร์ก็คงดีกว่านี้
ตอนนี้เดินตลกมาก เดินเหมือนผีซอมบี้ไมเคิล แจ็กสัน
อยู่มาสองเดือน ไม่เคยรู้สึกว่าบ้านมันใหญ่แบบนี้มาก่อนเลยให้ตาย
ทีวีก็ไม่มีรีโมท กว่าจะกระเดื๊อบลงจากโซฟาไปกดเปลี่ยนช่องได้นี่ ทรมานปางตาย ขึ้นลงบันไดไม่ต้องพูดถึง สมเพชตัวเองเหลือเกิน ค่อยๆเลื้อยลงมาตามขั้นบันได หงิกงอง่อยแดกเป็นอันมาก
เอาน่ะ เพื่อสุขภาพที่ดีและรูปร่างสวยงามไม่อ้วนอืดเหมือนวัวตกมัน ก็ต้องอดทนเข้าไว้

โอ๊ะ อัพเดทการจับจ่ายสักเล็กน้อยค่ะ
วันเสาร์ก่อนไปตีแบด แวะเข้าเมืองไปซื้อรองเท้ากีฬา เพราะคู่ที่ซื้อปีที่แล้วไม่ได้เอากลับมาจากไทย แม่งี้บ่นใหญ่ ได้ FILA มาคู่นึง สีดำ 22 ปอนด์ ลดแล้วนะเนี่ย
แล้วก็ซื้อไม้แบดมาเป็นของตัวเองซะเลยหนึ่งไม้ YONEX Nanospeed Alpha X อะไรสักอย่าง
ใช้ได้ดีพอสมควร ไอ้เรามันก็ไม่ใช่ทีมชาติอะไร เอาไม้ระดับกลางๆที่ใช้ได้นานๆก็พอแล้ว
พูดแล้วก็คิดถึงไม้ Kumpoo ที่บ้าน ใช้โคตรดี เบาและเด้งดึ๋ง ชอบมาก รู้งี้จิ๊กใส่กระเป๋าเดินทางก่อนมาก็ดีหรอก

ช่วงนี้พระอาทิตย์ตกช้ามาก
เกือบสี่ห้าทุ่มโน่นฟ้าถึงมืด
ไอ้เรานั่งเล่นทำโน่นทำนี่เมื่อวาน รู้สึกตัวอีกทีก็มืดแล้ว
มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นพระจันทร์ครึ่งลูกเอียงกะเท่เร่อยู่บนฟ้า
คิดถึงบ้านจังเยย

ในหนังสือชุดบ้านเล็กของลอร่า อิงกัลส์ ไวล์เดอร์ ฉบับแปลโดยสุคนธรส
อยู่ตอนหนึ่งที่พ่อหรือแม่เขานี่แหละ บอกว่าพระจันทร์นั้นทำมาจาก "เนยเขียว"
ไอ้เราก็งงว่า มันเขียวตรงไหนวะ ก็เห็นเหลืองบ้างส้มบ้าง ไม่เคยเห็นมันเขียวเลยสักที
ผ่านไปสิบปี จึงได้รู้ว่า "เนยเขียว" แปลตรงตัวมาจาก "Green Cheese" ซึ่งหมายถึง "Young Cheese" หรือเนยที่ยังบ่มไม่ได้ที่นั่นเอง
อ้า ปริศนาทั้งหมดไขกระจ่างแล้ว
เรื่องบางเรื่องก็ใช้เวลานานเหมือนกันนะกว่าจะเข้าใจ

ตอนนี้ห้องสมตุ้ยที่บ้านยกให้ป๋าเข้าไปนอน แต่เห็นแม่บอกว่าบางทีก็ไปกลิ้งๆแล้วหลับไปเหมือนกัน
จากหน้าต่างห้องนอนสมตุ้ย จะเห็นพระจันทร์ชัดมาก ยิ่งเวลาเต็มดวงนะกลมบ็อก ใกล้เหมือนจะจับมาขยำได้
นี่ ป๋ากับแม่น่ะ ถ้าไปนอนเล่นในห้องเค้า อย่าลืมมองพระจันทร์แล้วคิดถึงเค้าบ้างนะ

ช่วงนี้ก็ยังฝึกฝนการถ่ายรูปด้วยตัวเองไปเรื่อยๆ
ลองผิดลองถูก รูปออกมาสวยบ้างห่วยบ้างไปตามประสา
อย่างรูปพระจันทร์นี่ ก็ค้นพบด้วยตัวเองว่า ต้องปรับค่าแสงให้ต่ำสุด มันจะได้ไม่สะท้อนแสงจันทร์กลับมา ถ่ายออกมาแล้วเห็นเป็นจุดวาวๆอยู่บนพื้นดำ
อาจเป็นความรู้พื้นฐานโคตรๆ ของคนที่เล่นกล้อง
แต่สำหรับนราที่ไม่เคยได้เรียนได้รู้อะไรกะเขา ก็เป็นการค้นพบที่น่าดีใจพอสมควรทีเดียวค่ะ

************

It rained almost the whole day yesterday. It was so pleasantly cool. A perfect weather to lay in bed, read some nice books and fall asleep. If only I wasn't aching all over from two hours of hardcore badminton on Saturday. Now I walk like Michael Jackson zombie.

I've been living in this house for almost three months, but never have I felt that the house has been this huge before. It takes me forever to crawl to the bathroom. And because our TV remote doesn't work, I have to drag myself off the sota and crawl like a wounded slug to the telly just to change the channel. Let alone walking up and down the stairs. Argh.
But then, for good health and perfect shape, I guess I'll have to put up with it a bit more.

On Saturday, before heading to devastating my own muscles at badminton, I popped into town to buy a new pair of trainers because I didn't bring the one I bought last year back with me. My mum has been complaining a lot about how I spend money like water, but hey, this is necessary right? I finally got myself a pair of black FILA for 22 quid. Not bad, though I wish I could get something cheaper. I also grabbed YONEX Nanospeed Alpha X for 20 pound. It's alright. I'm not a national athlete anyway therefore I see no reason why I have to get a hi-class, expensive professional one. I really miss Kumpoo rackets we have at home in Bangkok. They're so light and flexible. Sigh. I really should have brought them here with me.

English sun sets really late at night. It won't be before 10 or 11 till the sky gets really dark.
Last night I noticed this half moon hanging in the pitch-black sky. Amazing. I really miss home.

In Little House series by Laura Ingalls Wilder, the one translated into Thai by Sukhontaros, I remember Laura's either mom or dad telling her that the moon is made of "green cheese". I could have never been that confused back then. Why the heck is it green when it's always yellow or orange? It took me about ten years to realise that "green cheese" doesn't literally mean green colour but "young cheese." Ah. All mystery solved. There are things in life that take you years and years to understand.

My bedroom at home is now dad's, though sometimes mum likes to have a nap in there as well.
I don't know if they notice, but from my bedroom window, you can see the moon very clearly, especially on a full moon night when the moon is as round as a tennis ball, so close you can almost squeeze it.
Mum, dad, if you have a chance to look at the moon, think of me. I'm looking at the same moon here in England.

I'm still practicing my photographing skill, trying this and that, discovering what my camera could do little by little.
To take this photo of the moon, I discovered by myself that I should set the exposure compensation very very low, so that the moonlight won't glow too much and the moon itself appears to be just a bright orange spot on a black background.
This might be the most basic knowledge for those professional photographers, but for me who have never had any lessons about photographing at all, this is considered to be quite a nice discovery.


See you when the sky is blue
พบกันใหม่เอนทรีหน้าค่ะ
(ปล. ดูเอนทรีนี้เป็นคนดีจังเนอะ)

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Cookin' Like A Biyatch: Veggie Stir-fry Egg Noodles

บล็อกติดเรท 18+ เนื้อหาไม่ค่อยมี มีแต่ภาษารุนแรงและมุกถ่อยๆเยอะมาก
Rated PG-13 for strong language and crude humour

ว่าจะอัพบล็อกให้มากกว่าหนึ่งครั้งต่อเดือน แล้วก็เหลวจนได้ เซ็งมากมายมหาศาล เวลามันก็มีอยู่หรอก แต่ไม่รู้จะอัพเรื่องอะไร เป็นสัญญาณเตือนว่าเรากำลังคุ้นเคยกับชีวิตที่นี่มากเกินไปจนเริ่มมองไม่เห็นความสวยงามแปลกใหม่ ไม่ได้การละๆ เดือนนี้นราจะพยายามอัพให้ได้มากกว่าหนึ่งนะคะ เพื่อ little Narasters ทั้งหลาย (ไมอ่ะ ทีเลดี้กาก้ายังมี little monsters ได้เลย)

ไหนๆก็อัพแล้ว ขออิชั้นนอกเรื่องเล่าประสบการณ์เจอมนุษย์เหยียดผิวเป็นครั้งแรกในอังกฤษหน่อยละกันนะ ถ้าเป็นเมื่อปีก่อนตอนอิชั้นย้ายมาเรียนที่อังกฤษใหม่ๆ อิชั้นคงตกใจตาเหลือกนมเนิมงี้สั่นขวัญแขวนกับความทรามของไอ้มนุษย์สายพันธุ์คอเคเซียนตัวนี้เป็นอย่างมาก แต่พอดีว่าอิชั้นได้จบหลักสูตรช่างแม่ง 101 มาด้วยนอกเหนือจากป.โท อิชั้นจึงจิตแข็งขึ้นพอสมควรค่ะ ไม่สนใจเท่าไหร่ ออกจะทุเรศสมเพชนิดหน่อยด้วยซ้ำไป

เรื่องก็คือ อิชั้นกำลังจ้ำเดินดุ่มๆจะไปซื้อของที่ร้านแถวบ้านที่ห่างออกไปประมาณสิบนาที พอดีก็สังเกตเห็นผู้ชายฝรั่งคนหนึ่ง อายุอานามก็ไม่น้อย น่าจะประมาณสี่สิบห้าสิบเห็นจะได้ ยืนทำไม้ทำมืออยู่ห่างออกไปประมาณหกช่วงตีนเหมือนกำลังไล่ใครอยู่ พอเดินเข้าไปใกล้ ไอ้นี่ก็สืบเท้าเข้ามาแล้วพูดว่า "Go home! We don't want you here!" ต๊าย ดอกมากกก ดิชั้นเลยทำไม่สนใจ เดินต่อไปเรื่อยๆไม่อยากเสียเวลาสนทนากับคนหยาบช้ายิ่งกว่าส้นตีนช้างสุรินทร์ที่โดนบังคับให้เข้ามาขออ้อยกินในกรุงเทพฯ แต่มันก็เดินตามมาตะโกนต่อ "Go home! x&#$@*%"

อยากจะบอกแม่งมาก ว่าเงินที่รัฐเอาไปทำสวัสดิการจ่ายให้มนุษย์ไร้น้ำยาจากพวกเมิง ส่วนหนึ่งก็มาจากเงินค่าเล่าเรียนที่นักเรียนต่างชาติหน้าเหลืองๆอย่างพวกกรูที่จ่ายปีละเป็นหมื่นเป็นแสนปอนด์นั่นแหละ น่าสมเพชเวทนาราวหมาติดขี้เรื้อนเป็นอย่างยิ่งกับไอ้พวกบัวใต้ขี้ตมพวกนี้ คิดว่าอังกฤษแสนจะเลอเลิศประเสริฐบริสุทธิ์และต่างชาติกำลังเข้ามาปนเปื้อนประเทศมัน ฟาย กรูไม่ใช่เชื้อราในถั่วเหลืองเฟ้ย

นอกเรื่องไปไกลมาก ที่จะบอกวันนี้คือ ตลอดสองเดือนที่ผ่านมากินแต่เส้นพาสต้า ขนมปัง นมเนย โอ่ยไม่ไหว ท้องจะผูก อาทิตย์ที่แล้วเพิ่งไปหม้อหุงข้าวมาจากอาร์กอส สนนราคา 12 ปอนด์กว่าๆ ทำให้สถานการณ์ชีวิตสมตุ้ยดีขึ้นเป็นอย่างมากค่ะ ตั้งแต่ได้หม้อหุงข้าวมา สมตุ้ยก็ทำกับข้าวเหมือนผีเข้า อร่อยด้วยไม่อยากจะบอก เมื่อก่อนตื่นมาได้กินแต่ซีเรียล นม ไข่เจียวแบบฝรั่งที่แบนๆ ใส่เนย ถั่วในซอสมะเขือเทศ เดี๋ยวนี้ซัดแหลกแต่อาหารหนัก แปลกดีนะอยู่ไทยแทบไม่ค่อยอยากจะกระดิกตัวทำ มานี่ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่คิดว่าจะทำได้ ทำแล้วแฟลตเมทมาขอกินด้วยอีกต่างหาก สดๆร้อนๆเพิ่งทำข้าวผัดอเมริกัน บะหมี่ผัดผักรวม ข้าวผัดผัก ข้าวต้มหมูสับถั่วแระญี่ปุ่น หมี่กรอบราดหน้า

วันนี้เลยอยากจะนำสูตรบะหมี่ผัดผักรวมมาฝาก เพราะ 1) มันง่ายมาก เสร็จภายในไม่เกินครึ่งชั่วโมง นับตอนเตรียมหั่นผักแล้วด้วยนะ และ 2) เผื่อเป็นประโยชน์กับใครที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองบ้างค่ะเผื่อนึกไม่ออกว่าอยากกินอะไร ถ้าขี้เกียจอ่านภาคภาษาอังกฤษ ให้ไถๆเมาส์ลงไปดูวิธีทำได้เลยจ้า

***************

I aimed to update my blog more than once a month and apparently, I failed. It's not that I was so busy I ain't got no time to do it, I just didn't know what to write! This is not good, as it is a sign of me losing interest in life here in England and no longer finding anything new or interesting anymore. Oh well, hopefully I'll be able to update it more often this month for my little Narasters (Lady GaGa has her little monsters, why can't I?)

Before I start blabbering about today's topic, let me talk about my first racist experience in England. Had this happened to me last year when I was still an innocent Asian girl moving to England for her study, I must have had been so shocked I could die because of this Caucasian from hell. Luckily, I also gained the skill of ignoring other than my MA, therefore this man didn't really bother me. To be honest, I think he was so pathetic I couldn't be bothered being upset.

So, I was minding my own business, walking to a groceries store when this guy who is about 40-50ish, standing not too far away, started to wave his arms in the air. When I walked closer, he approached me, shouting "Go home! We don't want you here!" What a fucker! Because I didn't want to mess with this kind of person, I just kept walking, but still he followed and shouted "Go home! x&#$@*%"

What this fucker probably didn't know was that it is us "yellow-monkey" Asian students who brought loads of money, say 10 000 GBP++, individually, here into England so that dickheads like this dude will get fed because he is a loser who truly believes that England is so prestigious and pure it shouldn't be contaminated with foreign people. What a pathetic douchebag. It's already 21st century and there he is, obsessed with in white supremacy from Hiter's era.

Ok. That was too much off topic already lol. What I wanted to say today is that I have been eating just pasta, bread, and milk for the whole first two months I live here. But finally, I managed to get one rice cooker from Argos for 12ish quid, not bad at all, and since then my life has been improving! After getting this rice cooker, I've been cooking like mad. Forget those breakfast cereals, milk, English omelettes, and beans in tomato sauce! Now I can cook loads of heavyweight food I always love eating: American fried-rice, stir-fry egg noodles, vegetable fried rice, boiled rice with pork and Japanese soy beans, and deep-fried egg noodles with vegetable sticky sauce etc.

What I wanna leave here on my blog today is the recipe of veggie stir-fry egg noodles because 1) it's so fucking easy to prepare and cook. All process takes less than 30 min and 2) it should be useful for those living overseas knowing not what to eat today!

ใส่อะไรบ้างยะเนี่ย:
What the hell should I have for this dish?

บะหมี่ไข่
Egg noodles - can be found at Morrisons

ผักอะไรก็ได้ อยากกินอะไรก็ใส่ไปเหอะ วันนี้สมตุ้ยคุ้ยตู้เจอเห็ด แตงซุกินี หน่อไม้กระป๋อง ผักฉ่อย กะถั่วงอก
whatever vegetables you can find in your fridge - mine has mushrooms, courgette, bamboo shit, I mean, shoots, pak choi, and beansprouts.

หนึ่ง หั่นผัก พวกหล่อนคงไม่กระเดือกกันเป็นต้นๆ เป็นดุ้นๆ ใช่ไหมยะ
Step one: chop all vegetables into bite-size pieces. You're not gonna swallow the whole veggie like that, are you?

สอง ใส่น้ำมันพืชในกระทะพอประมาณ ไม่ต้องมากเดี๋ยวเลี่ยน รอให้ร้อน
Step two: pour small amount of vegetable oil into the wok. Don't put in too much oil as the food will get too oily! Be patient and wait for the wok to heat up properly.


สาม โยนซุกินีที่หั่นแล้วลงไปผัดเป็นอันดับแรกค่ะ เพราะเป็นผักที่สุกยากที่สุดในบรรดาผักที่มี สมตุ้ยไม่ชอบเวลามันไม่สุก เหม็นเขียวลื่นๆยังไงบอกไม่ถูก
Step three: add courgettes, as they are the thickest and the most difficult veggie to be cooked of all that we have.


สี่ ไม่ต้องผัดนานมากนะยะเดี๋ยวเหี่ยวเกินกินไม่อร่อย กะเอาพอให้เริ่มสุกดูใสๆก็เทผักฉ่อยและเห็ดโครมตามลงไปเลย เติมซอสถั่วเหลือหรือเครื่องปรุงรสได้ตามใจ
Step four: Don't leave courgettes for too long as they will get too soggy and you will feel like eating wet sponge later. Add mushrooms and pak choi when courgettes look slightly cooked. Add some seasoning sauce (I used just thin soy sauce) as you wish.


ห้า พอเห็ดกับผักฉ่อยเริ่มสุกก็ตามด้วยถั่วงอก อย่ามาติชั้นนะยะที่ไม่เด็ดหาง ไม่มีอารมณ์ย่ะ
Step five: When pak choi and mushrooms look quite cooked, add beansprouts. Good Thai housewives will get rid of those long beansprouts' roots, but I don't do it because I am one lazy biyatch. Any questions?


หก ใส่หน่อไม้กระป๋องเป็นผักอย่างสุดท้ายเพราะมันสุกอยู่แล้ว ใครใช้ของสดคงต้องใส่เป็นอันดับแรกนะคะ คอยชิมและปรุงให้ถูกใจ น้ำผักออกมาเยอะบางทีแม่งจืด
Step six: Bamboo shoots will be the last to be added in as they are already cooked. Stir. Keep tasting to see if you like its taste already and add more soy sauce if you want.


เจ็ด ใส่เส้นบะหมี่ลงไปผัดรวมกับผัก บะหมี่ต้องสุกแล้วนะยะ ขืนใส่ดิบๆผงแป้งได้เต็มปาก พอเข้ากันดีแล้วเติมซอสหอยนางรม แต่พอดีว่าอีแฟลตเมทมังสวิรัติของอิชั้นมันอยากจะกินด้วย เลยใช้ซอสผัดแบบมังฯจ้ะ
Step seven: add noodles and stir fry a bit more till the noodles soak up all the flavour. After that add some oyster sauce. I used vegetarian stir-fry cause because I was cooking this for my vegetarian flatmate as well. Stir well!

แปด ย้ายไปใส่จาน แล้วเขมือบได้ตามอัธยาศัยโลด
Step eight: EAT IT.


See you when the sky is blue!
เจอกันใหม่บล็อกหน้าค่ะคุณๆ

ปล. อาจจะงงว่าทำไมในรูปมีไข่แต่ไม่เห็นใช้ คำตอบคือ ฉันลืมย่ะ เลยเอาไปทำไข่ดาวแทน
PS. if you're wondering why I didn't mention eggs that you see in the first pic, I forgot to put it in. Full stop.

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Grow 'Em Up!

เพิ่งสังเกตว่าตัวเองอัพบล็อกเดือนละครั้ง
อนาถจริงๆ
บล็อกอันเดียวยังไม่มีปัญญาจะดูแลเลย

สวัสดีมิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน ทั้งที่อยู่ในที่ลับและที่แจ้ง
หวังว่าจะสบายดีกันทุกท่านนะคะ
วันนี้นราเหนื่อยโคตร ไปมหาลัยนิวคาสเซิลมา
คือไอ้เมืองนี้นะ ความลาดชันของมันคือประมาณ 45 องศาลิบดาเหนือ
วันไหนที่ต้องเข้ามหาลัย จะต้องกินข้าวเช้าหนักๆ
ไม่งั้นตายห่า หิวกลางทาง ใช้พลังงานสูงมาก
มันไม่ได้ชันถึงขนาดโหยล้มกลิ้ง เดินทีต้องเอนตัวไปข้างหน้าพร้อมไม้เท้ากันลื่นอะไรปานนั้น ไม่ใช่พี่ติ๊กในเนวิเกเตอร์
แต่แค่เดินจากสถานีรถไฟไปมหาลัยก็เหนื่อยเหนียงสั่นแล้วค่ะ
.
นราเนี่ย เป็นคนรักธรรมชาติ รักต้นไม้
ชอบนะ แต่ปลูกอะไรไม่เคยขึ้น
ผลผลิตที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา คือถั่วเขียว
เคยหว่านเมล็ดไว้หลังบ้าน แป๊บเดียวขึ้นท่วม ฝักโตๆ เม็ดอวบๆ สันนิษฐานว่ารากมันคงชอนไชไปเจอศพหมาที่ฝังไว้ข้างใต้
.
บ้านที่นราอยู่ตอนนี้ ไม่มีดินค่ะ
คือมีสวนหลังบ้าน แต่มันเทปูนทับหมด
หมดโอกาสทำสวนดอกไม้อย่างที่เฝ้าฝัน
แต่แค่นี้หรือจะหยุดความพยายามของสมตุ้ย
ผู้ซึ่งไปติดแหง็กที่สนามบินอัมสเตอร์ดัมมาแล้วถึงหกวัน ฮ่าๆๆ
ด้วยความดันทุรัง ตอนนี้ก็มีต้นไม้ในครอบครองแล้วสามต้น
ต้นแรกเป็นแอฟริกันไวโอเล็ต ดอกซ้อนสีม่วง ซื้อมาจากร้านโฮมโปรตอนลดราคา ต้นละปอนด์เดียวเอง ตอนนี้ก็ยังออกดอกอยู่
แล้วก็มันฝรั่งค่ะ

เรื่องของเรื่อง ไม่ได้ตั้งใจจะปลูกมันฝรั่งเลย
แต่ตอนย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ เปิดตู้เก็บของในครัว
เจอมันฝรั่งสองถุงใหญ่ ที่แบบว่างอกระยางค์ออกมายั้ยเยี้ยเหมือนในหนังไซไฟยังไงยังงั้น
ประเด็นคือ คุณแฟลตเมทแกซื้อมาถุงนึง แล้วก็ไม่กิน ลืมเก็บไว้ในตู้ยังงั้น จนลืมไปว่าตัวเองซื้อมันฝรั่งมา แล้วก็เลยไปซื้อใหม่มาอีกถุงนึง ประสาทหลอนเข้าขั้น -_-"
นราเห็นลูกนึง ซึ่งก็คือลูกที่ปลูกอยู่ ณ ขณะนี้ มันมีความพยายามสูงมาก เห็นแล้วทึ่ง น้ำตาเอ่อกับความพยายามที่จะรอดชีวิตจากตู้กับข้าวมืดๆของมัน
คือมันพยายามงอกไอ้แท่งขาวๆของมันออกมานอกถุง แตกกิ่งก้านเพิ่มพื้นที่รับแสงสุดฤทธิ์
นราเห็นแล้วทนไม่ไหว สงสาร เลยเอามาใส่กระป๋องแช่น้ำ
สองวันเท่านั้น รากงอกออกมาบาน ฟูเต็มกระป๋อง
นราก็แช่เอาไว้อย่างนั้นแหละ จนมันเริ่มมีใบงอก เลยแวะชุดผักสวนครัวปลูกเองก็ได้ง่ายจังมาหนึ่งชุด จุดประสงค์คือจะเอาดินกับกระแป๋งมาปลูกมันฝรั่ง
ย้ายลงดินปุ๊บมันก็งอกได้งอกดี
ที่น่ากลัวคือ มันโตเร็วมาก เร็วจนสยอง
ก่อนนราไปบ้านเพื่อนที่ลีดส์ช่วงสุดสัปดาห์ มันมีใบหรอมแหรม กิ่งสูงประมาณสองนิ้ว
สี่วันต่อมา นรากลับบ้าน แม่ง ยาวประมาณเจ็ดนิ้ว สี่วันเมิงงอกห้านิ้วเหรอ นี่ถ้ากรูปลูกเมิงต่อ สักวันเมิงจะงอกยาวออกมาแดกกรูมั้ย
ปลูกมันฝรั่งนี่ อยากดูดอกค่ะ
.
เมล็ดที่มากับชุดผักสวนครัว คือถั่วลันเตาค่ะ
กะจะโยนทิ้งไปแล้ว ใจอ่อนอีกจนได้ เอามาแช่น้ำ
ประมาณสองวัน จากเมล็ดอบแห้งฟีบๆก็พองตัวเป็นเม็ดถั่วกลมๆ
เช่นกัน ปลูกถั่ว ก็อยากดูดอก ชอบดอกถั่วมากมาย จริงๆก็ชอบทั้งต้นมันอ่ะแหละ ชอบใบมัน กลมๆ น่ารักดี แล้วต้นมันจะมีหนวดๆด้วยอ่ะ น่าร้าก
หมายถึงถ้ามันรอดอ่ะนะ

แช่ไว้สามวัน พอรากเริ่มงอกเราก็ทำการคัดเลือกผู้เข้ารอบที่มีความอวบใหญ่ ยาว และแข็ง
คิดไรกันอยู่ ฉันหมายถึงรากและความแข็งแรงของเมล็ดย่ะ
เนื่องจากนราเอากระแป๋งไปปลูกมันฝรั่งแล้ว เลยต้องประยุกต์เอากระป๋องซุปแบบพลาสติกมาเจาะตูดทำเป็นบ่อเพาะอนุบาลไปก่อน
ถั่วนี่ก็โตไวใช่เล่น
ก่อนไปลีดส์ยังไม่มีอะไรโผล่พ้นดินเลย
สี่วันกลับมา มีต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว สูงประมาณสองนิ้ว
ดีใจจังเอ๊ยดีใจจัง

เวลาเห็นเมล็ดพืชที่เราปลูกมันงอกต้นอ่อนออกมา มันชื่นใจนะคะ
เห็นแล้วสบายใจ ภูมิใจ เหมือนทำอะไรสำเร็จสักอย่าง
ใบเล็กๆ ก้านเล็กๆ มันน่ารักไปหมดเลย
ไปซื้อต้นอ่อนมาปลูกเอง มันก็ไม่ได้อารมณ์เหมือนต้นไม้ที่เราเพาะเองจากเมล็ด
วันก่อนเข้าเมือง เห็นเขาเลหลังขายกล้าผัก มีมะเขือเทศต้นเล็กต้นละปอนด์
เกือบจะซื้อแล้วเชียว แต่พอคิดว่าแหม ถ้าเราได้เห็นเวลาเขางอก เวลาเขาแตกใบแท้เป็นครั้งแรก มันน่าจะมีความสุขกว่านี้นะ
รอให้ไปซื้อดินเกษตรราคาถุงละสามปอนด์กับกระถางดีๆมาซะก่อนเหอะ แม่จะปลูกให้เกลี้ยง
เอ่อ
อันที่จริงตอนนี้ก็แช่เม็ดฟักทองเอาไว้แล้วหละ ฮ่าๆ
ที่จะปลูกยังไม่มีเลย หาเรื่องจริงๆ
แต่คงดูไปก่อนว่ามันจะงอกมั้ย กะว่าถ้างอกแล้วเลี้ยงรอด จะเอาไปปลูกริมกำแพง มันมีซอกให้ฟักทองเลื้อยได้พอดีเลยยย
.
นราว่าปลูกต้นไม้แบบเพาะเอง มันทำให้เราใจเย็น อดทนมากขึ้นนะ
เพราะจะไปเร่งให้เขางอกเร็วๆก็ไม่ได้ เขาอยากงอกเขาก็งอกเอง เหมือนอีมันฝรั่งผีของนรานั่นไง
ตอนนี้ที่เล็งรอปลูกไว้ก็มีทานตะวัน ฟักทอง พริก มะเขือเทศ
อยากปลูกแตงกวากับซุกินี่ด้วยยยยย

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

England, England

กลับมาอีกแล้วกับบล็อกเชิงสร้างสรรค์แต่ไม่ประเทืองปัญญา อุดมไปด้วยคำสบถสาบานและความรู้สึกส่วนตัวแบบลำเอียงล้วนๆ หลังจากห่างหายไปเป็นเดือนๆ
ก็รู้ว่าไม่มีใครตามอ่านเท่าไหร่ แต่การบันทึกบล็อกส่วนตัวนี่มีประโยชน์กว่าที่คิดนะคะ
ก่อนจะมาอังกฤษ ก็อาศัยบล็อกเก่าๆของตัวเองนี่แหละ เป็นแนวการทำเรื่องขอวีซ่าและงานเอกสารต่างๆ เพราะมันนานจนลืมไปหมดแล้วว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง
.
ขณะที่กำลังบ่นบ้ากระพือบินอยู่นี้
สมตุ้ยก็นั่งหงิกงอด้วยความหนาวอยู่ที่ประเทศอังกฤษแล้วค่ะ
มาถึงอังกฤษได้ประมาณเกือบเดือนแล้ว อีกห้าวันก็จะครบรอบเดือนแรกของการใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษ
รอบนี้มีแต่ปัญหาล้วนๆ ถาโถมเข้ามาให้เราได้วิ่งวุ่นราวกับนังเรยาไล่ตามจับผัวชาวบ้านก็ไม่ปาน
เริ่มจากเครื่องแบล็กเบอร์รีที่เอามาจากไทย พอเอาซิมอังกฤษใส่ก็มีปัญหาว่าเครื่องมันลิงค์ผ่านเน็ทเวิร์กไทย ทำให้แทนที่จะได้ส่งข้อความฟรีตามโปรโมชั่น สมตุ้ยก็โดนชาร์จไปดอกละ 20 เพนซ์ซะงั้น
ตามมาด้วยเรื่องเงินๆทองๆกับมหาลัยนิวคาสเซิล คือ มันเรียกเก็บตังค์เพิ่มจากที่เขียนไว้ เป็นจำนวนไม่มากไม่น้อย คือแค่สามพันกว่าปอนด์
เงินที่ผู้สนับสนุนการศึกษาอย่างเป็นทางการของสมตุุ้ยมอบให้มา คือหมื่นปอนด์ สำหรับการศึกษาในปีแรกของเรา แต่พอจะเอาไปจ่าย มหาลัยสาลิกาดงก็บอกว่า ตอนนี้ยังไม่เริ่มปีการศึกษาใหม่ เพราะยังเป็นเทอมซัมเมอร์อยู่ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสามพันปอนด์
ส่วนไอ้หมื่นปอนน่ะ เอาไว้จ่ายปีการศึกษาหน้า เป็นไงละงานเข้าเลยกู
นี่ยังไม่รวมอีเมล์แบบไม่จบไม่สิ้น
ค่าใช้จ่ายที่งอกออกมาเรื่อยๆเหมือนถั่วงอก
จะเปิดบัญชีกับธนาคารก็ไม่ได้อีก เพราะต้องรอบิลค่าน้ำที่มีชื่อเราอยู่ด้วย เพื่อยืนยันว่ากรูไม่ใช่กะเหรี่ยงอาศัยนอนตามใต้สะพานนะจ๊ะ ซึ่ง ณ บัดนี้มันยังไม่มา
สมตุ้ยก็ทำตัวเป็นเศรษฐีใหม่ กระเตงเงินเป็นฟ่อน
วันก่อนได้ทำการสำแดงความร่ำรวยของเศรษฐีเมืองไทยให้ฝรั่งได้รับรู้ คือเข้าธนาคาร จะไปจ่ายเงินค่าเช่าบ้าน ซึ่งเป็นก้อนใหญ่ สองพันกว่าปอนด์
ปรากฏโอนเงินจากบัตรไทยไม่ได้ นังสมตุ้ยเลยเดินไปกดเอทีเอ็มออกมาทีละ 400 ปอนด์เต็มพิกัดวงเงินของมัน กดอยู่หกรอบจนครบ
กดเสร็จตัวงี้เบาาา สบายยย หนังงี้ลอกร่วงเป็นแผ่นๆ กรอบเค็มเหมือนแคบหมูเชียว
แต่ประเด็นคือ แม่งเสือกออกมาแต่แบงค์สิบ
เดินมาดมั่นกลับเข้าไปในแบงค์ ฟาดตั้งเงินจำนวน 240 ใบดัง ตึ้มมมม ลงบนเคาน์เตอร์ต่อหน้าพนักงานรูปหล่อ
แหม่ อยากถ่ายรูปสีหน้าพ่อประคุณตอนเห็นเงินมาให้ดูกันจริงๆ
เป็นไง เจอเศรษฐีไทย ซึมไปเลย
.


ตอนนี้อากาศยังหนาวอยู่สำหรับกะเหรี่ยงกรุงเทพอย่างนรา แต่ฝรั่งบ่นกันว่าร้อน
อยู่มาสักสองสัปดาห์นราก็เริ่มทนได้นะ แต่มาวันแรกๆนี่ห่อตัวเองหนากว่าแหนมป้าย่นอีก ใส่ถุงเท้าสองชั้น เสื้อสี่ชั้น อยากจะใส่ถุงมือด้วย แต่กลัวเขาหาว่าบ้าเลยต้องทนหนาว
ดอกไม้กำลังบานสวย
นรานี่มีเวรมีกรรม ไม่เคยได้ทันเห็นตอนดอกแดฟโฟดิลมันบานทั่วเมืองเลย
ถ้ายังจำกันได้ ปีที่แล้วก็ไปติดแหง็กอยู่ที่สนามบินอัมสเตอร์ดัมหกวัน กลับมาถึงดอกไม้แม่งเหี่ยวหมด รอบนี้มาถึงก็ไม่เหลือแล้ว แดฟโฟดิล แต่ยังดีว่าดอกแอปเปิลกำลังบาน ดอกหน้าแมว ทิวลิป วิสทีเรีย กำลังสวยค่ะ
เห็นแล้วคิดถึงครอบครัว อยากให้มาเห็นด้วยกัน


สัปดาห์แรกที่มาถึง ไปเริงร่าอยู่ที่เชลท์นั่มกับกลอสเตอร์ก่อน
ได้ไปสวนดอกไม้ Hidcote ที่มันสำคัญยังไงก็จำไม่ได้ แต่ดอกไม้สวย
ฝรั่งก็แบกตะกร้าปิกนิกไปนั่งกินกันใต้ร่มไม้ โรแมนติกมากๆ
แต่ต้องระวังแม่ไก่ที่เขาปล่อยเดินแถวนั้น
ไก่อังกฤษเป็นไก่มีความมั่นใจในตัวเองสูง
ไม่กลัวคน ขนมในมือเมิงคือของกรู
หลักการเดียวกันนี้ใช้ได้กับนกพิราบเช่นกัน
ได้ไปเดินบนเขา ดูทุ่งดอกบลูเบลล์บานเป็นสีม่วงเต็มไปหมด
อากาศอังกฤษยังเป็นกลิ่นเดิมแบบที่เราจำได้
คือหอม หวาน สะอาด อวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้จางๆ
แล้วก็ไป Cotswold มา มันเป็นหมู่บ้านที่ก่อด้วยหินสีน้ำผึ้ง เอกลักษณ์ของคอทสว็อลด์เค้า แพงหูแหกกันเลยทีเดียว


นราไปทันเทศกาลอีสเตอร์ของเขาพอดี เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก
ได้ไข่ช็อกโกแลตมาสองใบโตๆ ชื่นใจจริงๆ
.
ข้อคิดวันนี้
ไปอยู่อังกฤษ ต้องกินให้เร็วๆ เร็วๆ
คนอังกฤษนั้น สันนิษฐานว่ามีฟัน 64 ซี่ และทั้งหมดทำงานในระบบเดียวกับเลื่อยไฟฟ้า
แม่งแดรกกันเร็วฉิบหาย
นราเป็นคนกินช้า เคี้ยวช้ามาแต่ชาติปางก่อน
เวลาไปทานข้าวกับครอบครัวเพื่อน อายยยยยที่สุดเวลาที่เขาทานกันเสร็จหมดแล้วต้องนั่งรอเราตามมารยาท
นึกสภาพเวลากินข้าวแล้วมีคนหกเจ็ดคนนั่งมอง รอกินของหวาน แต่กินไม่ได้เพราะเรายังไม่เสร็จของคาว
อึดอัดสุดๆ ให้ตาย

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

One Step Closer to England, Another Step Away from Home

Today and tomorrow are my last two days at work. I'm at Rangsit campus today to clean up my personal working pad, and tomorrow I will be at city campus to properly say goodbye to my colleagues and senior teachers. I am very excited about going back to England in 16 days, but in the same time I feel really sad that I have to leave all that I know since I was born behind for another three years. My gosh, I never realised time flies that fast. I'm torn between two feelings right now, and I am extremely sensitive these days. I can't listen to Michael Buble's Home without tears in my eyes (and that's the song they keep playing over and over in Charles). Watching the Little Mermaid will make me cry like a mad woman, especially when Aerial's dad lets her go to live on the land with her hubby. Basically, I can cry and be depressed just about everything that I can link to my family. My dad, my brother, and my sister went away to the north east of Thailand, so there were just me and my mum at home the last weekend. My gosh, I didn't know I love this woman this much. We barely ever said "I love you" to each other. I think I can partly blame it on Thai culture. We don't really express love and affection to each other, though I know some families like hugging and kissing. I feel awkward to hug or kiss them really, but I know I can now say "I miss you" more easily than before I left for my MA in English last year. I know she's gonna be very sad, and so am I. So am I. So the last Sunday, while my dad and siblings were away, I spent the whole day with my mum doing the chore. It seemed like forever since I handwashed my own clothes. And you know what, just listening to her advice about how long I should soak the clothes or how I should hang it outside in the sun was really comforting. I don't remember when was the last time we had a talk about house chores like this as I am a lazy person and will do everything to avoid it. And when I was out there, hanging clothes in the sun and feeling the sweat running down my forehead, I know how hard mum has worked to keep the table full of food, the house clean, and us children happy. The topic of me going abroad is still left unsaid between us, but occasionally she will ask me whether I have prepare everything for my trip already. I actually avoid it myself, because I know if we discuss about it any further, I will just end up being dramatic and cry my heart out. Some people said "you'll be sad only before you leave Bangkok. Once you're in England you will enjoy yourself so much you forget how much you have cried for your family". Well, I admit it, but not because I forget them so quickly, but because I don't see any points crying for something that is impossible. I can cry, but I won't be able to go home until next year no matter how hard I boohoo. So yeah I'm just gonna live my life, make my family proud, and get fucking wasted yeeeeeha! I have just started doing the laundry, and believe it or not, most of the stuff I brought back from England last year is still in the luggage HA HA. Yeah that should prove how sloppy I am. And thanks to my kitties, my luggage is now sprayed all over with their stinky liquid - so seems like I have a great job awaits. My working booth is now clean, just like before I trashed it. Man I feel empty. Better do something fun before I start feeling down again!
------------------------


วันนี้กับวันพรุ่งนี้เป็นวันทำงานสองวันสุดท้าย หลังจากวันพรุ่งนี้ไป นราก็จะไม่มาทำงานแล้วค่ะ เพราะจะต้องเตรียมตัวเดินทางแล้ว วันนี้มาที่วิทยาเขตรังสิต มาเก็บบู๊ธให้เรียบร้อยเพราะเราจะไม่ได้มาแล้ว ส่วนพรุ่งนี้ก็เข้ากล้วยน้ำไป ไปร่ำลาอาจารย์และเพื่อนๆก่อนหายหน้าหายตาไป เรากลับมาเขาจะจำเราได้เปล่าก็ไม่รู้


จริงๆแล้วนราตื่นเต้นนะ อีก 16 วันก็เดินทางแล้ว แต่ในขณะเดียวกันมันก็เศร้าจริงๆ ต้องจากบ้านจากครอบครัว จากทุกอย่างที่เรารู้จักมาตั้งแต่เกิดไปผจญภัยต่างแดนอีกแล้ว คราวนี้ตั้งสามปีด้วย ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลาผ่านไปได้เร็วจริงๆ ยังรู้สึกหมาดๆเหมือนเพิ่งกลับมาทำงานได้ไม่นานอยู่เลย (ก็ไม่นานจริงๆนะ 6 เดือนเอง) ช่วงนี้อารมณ์แปรปรวนค่ะ เหมือนข้างนอกฉาบหน้าไว้ด้วยความเฮฮาบ้าบอ ยิ้มตลอดตลกแดรกก็ยังได้ แต่ข้างในมันโบ๋ๆ มันโหวงเหวงยังไงบอกไม่ถูก แล้วจะอ่อนไหวเหลือเกิ๊นนน เพลง หนัง ภาพอะไรที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว การลาจาก พ่อแม่ ฟังไม่ได้ เห็นไม่ได้เลย เห็นทีไร ฟังทีไรก็น้ำตาไหลทุกที ขนาดดูลิตเติลเมอร์เมด ตอนที่พ่อของแอเรียลยอมให้ลูกสาวตามผู้ชายขึ้นไปอยู่บนบก ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเราเลยนะก็ยังดราม่าได้น่ะคิดดู


สุดสัปดาห์ที่แล้วคุณพ่อกับน้องสองคนไปอีสาน เหลือนรากับแม่สองคนอยู่บ้าน คืออยู่บ้านกันเฉยๆนะ ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่นรารู้สึกว่ารักแม่มากๆ ดีใจที่ได้อยู่กับแม่ เพราะปกติแม่จะงานเยอะ กลับบ้านค่ำๆแล้วก็ไม่ค่อยได้เจอกัน การบอกรักแม่เนี่ย นับครั้งได้ คือมันเขินนะ อันนี้ให้โทษประเพณีไทยเดิม คนสมัยก่อนเขาไม่กอดไม่จูบกันพร่ำเพรื่อหรอก เชื่อว่าคนไทยอีกหลายๆคนก็คงเป็นเหมือนกัน คือรู้ล่ะว่าบางครอบครัวเขาก็กอดกัน หอมกัน บอกรักกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เค้าเขิน เค้าอายนี่นา


อย่างหนึ่งที่ทำได้ง่ายขึ้นหลังจากกลับจากอังกฤษ คือบอกพ่อแม่ว่า คิดถึงป๋า คิดถึงแม่นะ เมื่อก่อนไม่พูดเลย รู้สึกสำนึกในบุญคุณพ่อแม่มากขึ้น รู้เลยว่าคนที่เราขาดไปจากชีวิตแล้วจะเป็นจะตายที่สุด ก็คือพ่อแม่นี่แหละ ไม่ใช่ผู้ชายที่ไหนทั้งสิ้น


เมื่อวันอาทิตย์แม่ลูกก็ซักผ้ากันทั้งวัน แล้วออกไปกินส้มตำตอนเย็นๆ นรานะไม่ได้ซักผ้าด้วยมือมานานกี่ปีแล้วก็ไม่รู้อ่ะ น่าจะห้าปีเห็นจะได้ เพราะพอย้ายมาบ้านที่อยู่ตอนนี้ก็มีเครื่องซักผ้าดีๆ เครื่องอบผ้าดีๆ ไม่เคยซักมืออีกเลย แต่ตอนที่ซักผ้าแล้วฟังแม่สอนว่า ซักผ้าต้องแช่นานแค่ไหน ควรจะตากยังไง นรารู้สึกสบายใจดียังไงก็ไม่รู้ คือเมื่อก่อนมักจะเป็นการด่า ฮ่า เพราะกว่าจะใช้ให้นังนี่ไปตากผ้าได้แต่ละทีเหมือนเข็นครกขึ้นคิลิมานจาโร แต่เดี๋ยวนี้มันอยากจะช่วยมากขึ้น ตากผ้าได้ไม่ต้องสั่ง แม่ก็พูดเพราะด้วย ชอบๆ ตอนที่ยืนตากผ้าอยู่กลางแดดแล้วเหงื่อไหลนี่เข้าใจเลยว่าที่ผ่านมาแม่ทำงานหนักแค่ไหนเพื่อให้เรามีข้าวกิน มีบ้านอยู่ ให้ลูกๆมีความสุขกัน


ทุกวันนี้เรื่องนรากำลังจะไปเรียนต่อเมืองนอก เราก็ไม่ค่อยพูดกันนะ ไม่ใช่อะไร เพราะกรูเองนี่แหละที่จะดราม่าใส่แม่ ตอนนี้พยายามแย็บๆให้แม่เคยชินกับเรื่องที่เราจะไม่อยู่อย่างน้อยหนึ่งปีก่อนกลับมาเยี่ยมบ้าน วันเดินทางจริงจะได้ไม่เศร้ามาก (อันนี้บอกตัวเอง)


มีคนเค้าบอกว่า "แหม จะเศร้าก็แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ เดี๋ยวไปอังกฤษแล้วก็ร่าเริงลั้นลาลืมพ่อลืมแม่หมด" อันนี้นรายอมรับในระดับหนึ่งนะ เพราะเป็นคนถือคติว่า จ๋อยไปก็ไลฟ์บอย ร้องไห้ไปก็ไม่ได้กลับบ้าน คร่ำครวญทุกวันก็ไม่ได้กลับ แล้วจะร้องให้ตาบวมเป็นลูกปิงปองไปทำไมอ้ะ เสียเวลา สู้ใช้ชีวิตอย่างสนุกแล้วมีเรื่องสนุกๆกลับไปเล่าให้ป๋าแม่ฟังดีกว่า แต่ที่แน่ๆ นราไม่ลืมพ่อแม่แน่นอน เพราะถ้าไม่มีพ่อแม่ ก็ไม่มีดาราจรัสแสงอย่างนาร่าสิจริงเปล่า ฮ่า


เมื่อวานเพิ่งเริ่มซักผ้าซักผ่อนเตรียมจัดกระเป๋า แล้วเชื่อหรือไม่ว่า เสื้อผ้าที่ดิฉันหอบใส่กระเป๋าเดินทางกลับมาจากอังกฤษปีที่แล้ว ส่วนใหญ่ยังแน่นิ่งอยู่ในนั้นเหมือนเดิม ฮ่าๆๆๆ เป็นงะเก๋มะ แถมแมวยังมาเยี่ยวใส่อีก ต้องล้างกันขนานใหญ่เลยค่ะ ส่วนบู๊ธตอนนี้ก็เกลี้ยงเกลาแล้ว รู้สึกเหงาๆยังไงไม่รู้น้อ...

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

Summertime

ปิดเทอมแย้ววววว

ช่วงนี้เป็นช่วงซัมเมอร์ค่ะ นราไม่มีสอนแล้ว เพราะจะเดินทางไปอังกฤษเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ ก็เลยสบายไป รอดตัวไม่ต้องสอนอีก แต่ก็ใช่ว่าจะสบาย มีงานประเมิน รายงานผลการเรียนการสอนรอให้ทำบานเบอะ เป็นอะไรที่น่าเบื่อมากเพราะต้องมาประมือกับภาษาไทยที่เราอ่านไม่เข้าใจ ดัชนีบ่งชี้ผลประสิทธิ์ ทักษะพิสัย มันแปลว่าอะไรฟะ?

วันก่อนโน้นไปดูหนังเรื่อง Just go with it มากับแม่และน้องสาว ดูจบแอบน้ำตาซึมๆทั้งๆที่หนังออกจะตลกหวานแหวว มันซึ้งอ้ะ ดูแล้วแม่งก็เหงา ดูแล้วอยากจะกุมมือใครซักคนให้ใจมันหายเคว้ง หันไปข้างๆก็มีแต่อาม่า อาซิ่ม ไปคว้ามือแกมาจับอาจจะโดนด่าว่าเก๋าเจ้งได้ หันไปอีกด้านก็เจอแต่คู่รัก ไม่ได้อิจฉา แค่อยากตบเบาๆเอาให้ฟันร่วงกันทั้งคู่เท่านั้นเอง แอร๊ย

แต่ประเด็นสำคัญไม่ใช่ตรงนั้น ประเด็นคือ เห็นนางเอกกับนางรองใส่บิกินี่แล้วนมกระเพื่อมบะลึ่มบึ่มบั่มแล้วก็อยากจะมีนมอย่างเค้าบ้าง เกิดพลังใจอยากจะไปอัพเต้าขึ้นมาอย่างจริงจัง ไม่ต้องมากมาย ขอแค่บีกลางๆก็็พอแล้ว ไม่โลภๆ แต่พอคุยกับคนที่ทำมาแล้วกับอ่านรีวิวก็แหยงไปอีก เค้าบอกว่าผ่าใหม่ๆ เดินไม่ได้ จามไม่ได้ หัวเราะไม่ได้ นอนไม่ได้ เพราะมันร้าวรานไปหมด นี่ละหนอเกิดมาเป็นหญิงไม่งามธรรมชาติ มันก็ต้องหาอะไรมาปะมาเสริมให้ลำบาก อยากสวยต้องทน อยากมีนมต้องกล้า สุดท้ายได้แต่คิด ใจเสาะฮ่ะ เก๊ากลัววว

จำได้ว่ามีใครไม่รู้เล่าให้ฟังเรื่องกระเทย คือกระเทยเค้าเสีย ก็จะเผาศพกัน ทีนี้พอเอาเข้าเมรุ ปรากฏว่าซิลิโคนในนมระเบิด ป้าง ป้าง เล่นเอาสะดุ้งกันยกวัด แหมเป็นการจากลาที่โด่งดังจริงๆ ฮ่า

นอกเหนือจากการทำรายงานประเมินผลการเรียนการสอนในเทอมที่ผ่านมาแล้ว งานหลักอีกอย่างของนราก็คือ เตรียมตัวไปเรียนต่อนั่นเอง ตอนนี้เหลือเวลาอีก 22 วัน คิดแล้วใจหายนะ จะไปอีกแล้วเหรอกรู พอกลับมาอยู่บ้านได้สักพักแล้วมันติดบ้าน ติดพ่อติดแม่ บางวันนอนคนเดียวแล้วก็แอบน้ำตาไหลนะ จะต้องไปเผชิญโลกอันเหน็ดเหนื่อย หนาวเหน็บ และหนักหนา (ว้าว หน- ล้วนๆ สัมผัสในสวยงาม ชนะเลิศศศ) อีกแล้วหรอ อาจะมีคนบางคนดีใจที่จะได้เห็นเราลำบากอีกแล้ว แต่ก็ถอยไม่ได้แล้วค่ะตอนนี้ นราเปิดเทอมวันที่ 3 พ.ค. แต่จะไปถึงอังกฤษวันที่ 21 ก็จะไปแร่ดแถวลอนดอนกับกลอสเตอร์ก่อนสักเล็กน้อย คราวนี้ที่ไม่ไปลงแมนเชสเตอร์เหมือนเดิมก็เพราะคุณแฟนบอกจะไปรับที่ฮีทโธรว์ ไอ้เราก็ตุ๊มๆต่อมๆนะ เกิดมันลืมไปรับจะทำไงฟะเนี่ย มิต้องปูกระดาษหนังสือพิมพ์นอนกันใต้สะพานลอนดอนเหรอ

ช่วงนี้ก็จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากๆ เจอแม่หลังเลิกงานบ่อยขึ้น ไปทานข้าวด้วยกันอะไรแบบนี้ คุยกับป๋ากับแม่ให้มากขึ้น พอไม่มีแฟนอยู่ที่ไทยแล้วเรารู้สึกได้เลยนะว่าที่ผ่านมาเราให้เวลาพ่อแม่ไม่มากอย่างที่เราควรจะทำ แล้วเขาเองก็คงเหงา ในอนาคตนราคงไม่มีลูกอ่ะเพราะกลัวลูกจะทำเหมือนที่ตัวเองทำ กั่กๆๆ จริงๆอยากกอดแม่กอดป๋าทุกวัน แต่มันเขินอ่ะ มันแปลกๆเหมือนแกล้งทำไงไม่รู้เพราะปกติเราไม่ทำไง คาดว่าวันเดินทางจริงจะต้องดราม่ากันน้ำตานองรันเวย์ ขนาดว่าช่องสามสามารถเอากล้องมาตั้งแล้วทำเป็นละครสั้นคั่นรายการได้เลยทีเดียว

คราวนี้นราจะไปมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิลค่ะ เริ่มมีคนฝากซื้อเสื้อบอลแล้วเรียบร้อย บางคนก็บอกว่าต้องไปเยือนถิ่นสาลิกาดงนะ ไม่อยากจะบอกว่าค่าตั๋วไปดูบอลนั้นแพงมหาศาล ตอนก่อนนู้นก็มีคนชวนไปโอลด์แทรฟฟอร์ด รวมเบ็ดเสร็จตกประมาณ 50 ปอนด์ ไม่เอาล่ะค่ะ ดิฉันก็ไม่ได้บ้าบอลอะไรปานนั้น 50 ปอนด์นี่กินอยู่ได้ทั้งสัปดาห์ ซื้ออาหารสดจากเทสโก้กลับมากินได้เป็นเดือน

นราเป็นคนแปลก ชอบไปที่แปลกๆ ที่ชาวบ้านไม่ไปกัน ตอนไปลอนดอนก็ไปสวนคิว เล่าให้เพื่อนฟังเพื่อนก็ถามว่า สวนคิว สวนไรวะ? มันเป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เคยเล่าแล้วในเอนทรีไหนก็ไม่รู้ไปค้นกันเอาเองนะคะถ้าสนใจ คือทั้งสวนมันไม่มีอะไรนอกจากต้นไม้ดอกไม้ คนที่ไม่ชอบไม่สนใจเรื่องพันธุ์ไม้ดอกไม้ไม่แนะนำให้ไปนะ ไม่มีอะไรเลย แล้วจะเบื่อเร็วมาก นราไปมาสองครั้งละ เดินไป 2 ใน 3 ของพื้นที่ คราวนีั้กลับไปรอบที่ 3 จะกลับไป FINISH HER สวนใหญ่มากจริงๆ เดินวันเดียวคงไม่ทั่วแน่เลย นราชอบสวนสัตว์ด้วย ไปสวนสัตว์ลอนดอนมา ไปฟิลิปปินก็อ้อนให้นัตตี้เพื่อนผู้ตกเป็นเหยื่อพาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ คุณแฟนเองก็ตามใจ บอกว่าพอไปถึงจะพาไปเที่ยวสวนพฤกษศาสตร์กับสวนสัตว์ซาฟารี นราก็ไม่ได้อะไรมากแต่จดลงปฏิทินไปแล้ว ลืม เอ็งตาย ก๊ากกก

บินไปอังกฤษคราวนี้นราไปกับ EVA AIR สายการบินอีว่า เหมาะกับอีบ้าอย่างเรามาก ไม่เข้าใจจริงๆทำไมมันจะงกน้ำหนักกระเป๋าไปไหน คือกรูจะไปเรียนสามปี สามปีเมิงให้น้ำหนักกรู 20 โล เอ่อ คิดว่าชาวบ้านเขาห่อเสื้อผ้าข้าวของใส่ใบตองแล้วเดินทางไปต่างประเทศกันหรือไง คือกระเป๋าอย่างเดียวก็เกือบสิบโลแล้ว แล้วเมิงจะให้กรูบรรจุอะไรเข้าไปในนั้นได้ ใส่กางเกงในสองตัวก็เต็มแล้วมั้ง เรื่องนี้ทำให้นราหุดหิดพอสมควร แต่คาดว่าแม่ของเรา ซูเปอร์แม่ จะสามารถช่วยเราจัดให้มันพอดีน้ำหนักได้ จริงๆนะนราคิดว่า คนเราพอเป็นแม่คนแล้ว สกิลด้านงานบ้าน การจัดกระเป๋าให้เนี้ยบ การทำอาหารยากๆ มันจะอัพขึ้นมาเอง นรานะรีดผ้ายังไงก็ไม่เรียบเหมือนแม่รีด จัดกระเป๋ายังไงผ้าที่พับก็ไม่เรียบกริบเหมือนแม่พับ

พูดถึงแม่ จะดราม่าอีกแล้วกรู ไม่เอาๆ เลิกๆ

ช่วงนี้อากาศแปรปรวน ดูแลตัวเองด้วยนะคะ เพราะดิฉันไม่ใช่ทิฟฟี่ ไม่อาจตามไปดูแลคุณได้ค่ะ

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

I Love My Students


After 13 weeks of blood, sweat, and tears, my Critical Reading course was over.
Other than teaching the kids what I know, I already learned a lot from them. Seriously, my teaching life wouldn't have been this nice if I ain't got these wonderful students.
When I said "wonderful", I didn't say that these kids are from heaven, that they are little angels who have done no wrong. I often got upset when they were very noisy even when their friends were giving a presentation in front of the class or when some of them came to me with the most innocent look they could manage and asked me what the assignment that I spent at least fifteen minutes every week explaining was. But most of the time they are nice enough not to provoke the devilish side in me.
.
I have never thought I would like teaching.
.
For years my family have been trying to persuade me to take Bangkok U scholarship and become a teacher. I hated it so much back then and tried everything from crying to begging, from raging to sobbing to make them understand that I did not want to be a teacher. Yet here I am, being in charge of approximately 500 students in two modules, and the oddest thing is that I enjoy my life now. I even look forward to some of my classes!
.
This is the first thing I learned from the students: teaching is not always boring, especially when you have nice, fun students to teach. My class wouldn't be this fun without all you lovely students, if you are reading. From you I have learned how to be very patient and not to give you a thick ear right away when my anger explodes. From you I have learned to be more careful as I have to grade your score carefully, and from you I have learned that teacher is not always the only core of the class.
.
Knowing it or not, you kids have given me a nice, memorable time of my first teaching experience. I hope you guys enjoyed my class, because I did enjoy teaching you. Thank you so much for coming to class and handing in assignments on time. Thanks for being honest with me when you forgot to do your homework. I am actually just a new teacher with zero experience, so if I did something wrong, I hereby apologise.
.
Please always remember that it is not only I who teach you - but it is also you who teach me how to be a good teacher.
.
Man, I love my students!
****************
.
หลังจากฝ่าด่านการเรียนมา 13 สัปดาห์จนเลือดตาแทบกระเด็น เหงื่อไหลแทบหมดร่าง น้ำตาไหลพร่างแทบขาดใจ ในที่สุดวันนี้นราก็ปิดคอร์สรีดดิ้งไปแล้วหนึ่งคอร์สค่ะ
.
ถ้าให้พูดจริงๆละก็ นราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากการสอนนักศึกษา ไม่ได้เป็นแค่ฝ่ายถ่ายทอดความรู้อย่างเดียวเท่านั้นนะเอ้อ สอนหนังสือคงไม่สนุกแบบนี้ ถ้าไม่ได้พบกับนักศึกษาดีๆเหล่านี้ทุกคน
.
เดี๋ยวจะหาว่าอวยกันเอง คือจริงๆแล้วนศ.เหล่านี้ก็ไม่ได้น่ารักตลอด 24 ชั่วโมงนะคะคุณขา บางทีก็มีบ้างบางเวลาเว้ยเฮ้ยที่กว่าจะขึ้นห้องมาได้ก็เกือบชั่วโมงเว้ย บางทีก็เม้าท์กันไม่ได้หยุด ด่าก็แล้ว ดุก็แล้ว ก็ไม่ได้ผล เงียบไปแปปนึงเดี๋ยวก็เอาอีกละ คุยกันซู่ๆซ่าๆกลบเสียงเพื่อนที่กำลังรายงานหมด เอ่อ ใจจริงอยากเอาน้ำสาดมาก แต่กลัวโดนไล่ออกเลยแค่ส่งสายตาฉึกๆนศ. โชคดีที่มีนศ.คอยทำเสียงจิ้งจกจุ๊ๆให้ คอยปรามเพื่อนเวลาเพื่อนเสียงดัง ประทับใจมากๆ หรือบางทีก็เดินทำหน้าอินโนเซนท์นุ้งนิ้งเข้ามาถามว่างานนี้ๆคืออะไร ซึ่งไอ้งานที่ว่ากรู เอ้ย ดิชั้นก็อธิบายไปแล้วทุกคาบ คาบละสิบห้านาที แล้วคุณไปอยู่ไหนม๊าาาา แอร๊ย สติจะแตก
.
แต่ส่วนใหญ่แล้วนศ.น่ารักกันมากๆ ยังไม่มีก่อปัญหาพอที่จะปลุกอีผีบ้าในตัวนราให้ตื่นได้ค่ะ ไม่งั้นละเอาให้เละไปข้าง
.
เมื่อก่อนนะ ไม่เคยคิดเลยว่าจะชอบงานสอนเลยให้ตาย แต่ก่อนเกลียดเข้าไส้ ยังไงก็จะไม่เป็นครูสอนหนังสือแน่ๆ ครอบครัวก็ทั้งปลอบทั้งโอ้โลมปฎิโลมนานา นราก็ค้านหัวชนฝาในทุกวิถีทาง ทั้งโวยวาย ซึมเศร้า ร้องไห้ ดิ้นพราดๆ เหลืออย่างเดียวคือยังไม่ได้ไปโดดตึกประชดครอบครัว สุดท้ายพอมารับทุนเป็นอาจารย์แล้ว เอ๊ะ แปลกเว้ย สอนหนังสือมันก็สนุกดีนี่นะ ที่แปลกก็คือบางวันถึงกับตั้งตาคอยให้ถึงเวลาสอนด้วยซ้ำไป โอ้ โลกนี้ถึงกาลล่มสลายแล้ววว
.
นี่คือสิ่งแรกที่นราได้เรียนรู้จากนศ. งานสอนหนังสือไม่ได้น่าเบื่อเสมอไป เวลามีเด็กน่ารัก เด็กตั้งใจเรียน เล่นเป็นเล่น เรียนเป็นเรียน เราก็อยากสอน อยากทำตัวตลกแดกให้นศ.ขำ เรียนไม่เบื่อ สอนมา 13 สัปดาห์นี่เด็กจำอะไรได้บ้างเปล่าก็ไม่รู้ นอกจากว่าอาจารย์มันเป็นตลกคาเฟ่
.
เอาวะ เป็นคาเฟ่ เป็นปาหี่ให้เด็กดูแล้วเด็กชอบมานั่งเรียนก็เอาวะ ศรีทนได้
.
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากนศ.คือ ต้องอดทนมากๆ บางทีแหมมันอยากจะป้าบเข้าให้สักทีนะ แต่ต้องอดทนๆๆๆๆๆ ทุกวันนี้ก็ใจเย็นลงมาก นอกจากนี้แล้วก็ยังต้องทำตัวให้เป็นคนระมัดระวังรอบคอบ เพราะเกิดไม่รอบคอบเวลาตัดเกรดแล้วเด็กเกรดผิดหรือเกรดไม่ออกละซวยเลย ตามแก้กันยาว
.
การที่ได้สอนหนังสือให้ นศ. ทุกคนทำให้ประสบการณ์การสอนครั้งแรกในชีวิตของนราเป็นอะไรที่น่าจดจำมากๆ ก็ได้แต่หวังว่านศ.ทุกคนจะชอบเรียนกับนรานะ เพราะนราก็มีความสุขที่ได้สอนนศ.ทุกคน ต้องขอบคุณมากๆที่มาเข้าเรียน มานั่งเฉยๆก็ยังดี ขอบคุณที่ส่งงานเรียบร้อยทำให้คนระเบียบแหลกเหลวอย่างนราไม่ต้องวุ่นวายมาก รวมไปถึงความซื่อสัตย์ของทุกคนที่ยอมรับกันอย่างภาคภูมิใจว่า "ผมยังไม่ทำการบ้านเลยคับ ฮ่า ฮ่า"
.
วันก่อนไปงานเลี้ยงอำลารุ่นพี่ปีสี่ (เป็นอาจารย์ ไปฟรี ฮ่ะฮ่า) พองานใกล้เลิกเค้าก็มีการแจกดอกไม้ให้เด็กนศ.เอามาไหว้อาจารย์ ไอ้เราเป็นอาจารย์ใหม่ก็ไม่ได้คิดว่าจะมีใครมามุฑิตาจิตกะเรา ก็กินของฟรีไปเรื่อยๆอย่างไร้ยางอาย ปรากฏว่ามีนศ.มาหา สามคน เอาดอกไม้มาให้ โหยวินาทีนั้นมันเข้าใจเลยอ่ะ ว่าทำไมคนบางคนถึงเป็นอาจารย์ได้แทบตลอดทั้งชีวิต
นศ.คนนึงมาไหว้ บอกว่า "อาจารย์ครับ ผมที่เรียน TOEIC กับอาจารย์ ขอบคุณอาจารย์มากครับที่สั่งสอนผม ผมไปสอบมาแล้วครับ" แหม้สมตุ้ยจะดราม่าเสียให้ได้ ซาบซึ้งจริงๆที่ได้รู้ว่าความรู้จิ๊ดจิ๋วของเราที่มีก็เป็นประโยชน์กับคนอื่นๆเหมือนกันนะ
ยังไงนราก็เป็นอาจารย์ใหม่ พูดจาอะไรไม่เข้าท่า สอนผิดพลาดชวนงงยังไงก็ขออภัยด้วยนะลูกศิษย์ทั้งหลาย แต่โปรดจำไว้ว่าอันที่จริงแล้วอาจารย์ไม่ได้สอนหนู หนูต่างหากที่ได้สอนอาจารย์ว่าควรทำอย่างไรจึงจะเป็นอาจารย์ที่ดีได้
รักเด็กในสังกัดจริงจริ๊งพับผ่า!

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

I'm Wearing a Gown Too!


First of all, let me congratulate all of you Yorkers on your graduation. Man I wish I were there. To be honest, I don't really think York's Greyish gown is that beautiful, but I felt really sad seeing all my MALLE classmates and Thai friends wearing that gown, smiling, knowing I should have been there. Too bad the ceremony was held in mid Jan, which was in the middle of second semester here at Bangkok University, Thailand. That was why I couldn't go, plus the ticket would cost me a fortune.

However, I managed to wear a gown of knowledge, finally! I was supposed to attend my BA graduation ceremony in Feb 2010, but because by then I have already gone to England, I missed the whole thing. I actually didn't wanna bother postponing my graduation attendance to Feb 2011, the year after my graduation from York, but my mum insisted that I have to. So yeah, this is all for you, mum.

The rehearsal was on Jan 31, 2011 (yeah you missed it), from freaking 7.45 in the morning to about 11.30. I got quite mad since like 5 since the taxi I called failed to show up, so my dad and I had to walk and find a cab instead. Then when I got to the uni, I went to get the gown which I have booked since 2009. To my shocking, the lady there said "Sorry, I can't find your name here in the lists". Well I actually half expected that this was gonna happen. I explained that I postponed my graduation attendance from year 2010 to 2011, and she said there might have been some problems with the student lists or something like that. Finally I had to pay another 1800 THB AGAIN just to have a gown to wear. The shop owner said that if I can find an evidence that I have already paid, he will give me the money back. Pfft. It's been a year, and that receipt was small. I bet it's lying somewhere in a public dump site. So you can imagine why I was so upset that day.

The rehearsal went pretty well, boring as usual. I was the second of all Humanities students to receive my certificate. After I went up there, pretending to take a certificate from the hand of uni's president, I had to wait for another 400 students to do the same. Waiting is boring. I really wanted to sleep, but can't, as I was sitting in the front row.

The colour of school of humanities is yellow. It's good, but I'd prefer it to be purple, so that it would match the uni's theme colour: orange and purple. Crimson looks great too. The real ceremony will be on Feb 12th at Sirikit Convention Centre. I didn't wear much make ups on the rehearsal day, but I think I'll have to put on some more on the 12th. This is like once in a lifetime. I missed one in York, and I don't know if I'll be able to stay in the UK for my PhD one, IF I can graduate, of course, so yeah I have to make this one the most memorable one for now!

The funny thing about that day was that I did not cancel my afternoon class. I ran to teach in the student uniform I wore underneath the gown. You should have seen the kids' face HAHAHA they were priceless!

***********

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีแก่บัณฑิตใหม่จากยอร์กทุกท่านนะคะ ใจจริงอยากไปรับที่โน่นด้วยมากๆ เสียดายว่าช่วงกลางเดือนมกราที่เขารับกันไปนั้นมันเป็นช่วงกลางเทอมสองของม.กรุงเทพพอดี มิสามารถอำลาภาระหน้าที่ไปได้ เพราะถ้าไปงานเข้าแน่ ทั้งจัดสอนชดเชย ตรวจงานย้อนหลัง วุ่นวายไม่เข้าเรื่อง อีกอย่างคือบ่จี๊กาลอจี๊ ไม่มีเงินซื้อตั๋วเครื่องบินค่ะ

แต่ในที่สุดนราก็ได้ใส่ครุยบัณฑิตสมใจ เป็นครุยป.ตรีค่ะ ป.โทพลาดไปไม่เป็นไร รับของป.ตรีก่อนก็ได้ อันที่จริงรุ่นนราต้องรับไปตั้งแต่ปี 2553 แล้ว แต่พอดีว่าตอนนั้นมันตรงกับช่วงที่เดินทางไปอังกฤษแล้ว เลยไม่ได้รับกับเพื่อนๆ ต้องขอเลื่อนมารับกับรุ่นน้องปี 49 แทน จริงๆว่าจะไม่รับแล้ว ขี้เกียจวุ่นวาย แต่ท่านแม่มีพระราชโองการส่งสาส์นลงมาว่าแอร๊ย ต้องรับนะยะ อ่ะดิชั้นก็จัดให้

พิธีซ้อมมีไปเมื่อวันที่ 31 มกราที่ผ่านมานี่เอง วันจันทร์นรามีสอนด้วย เลยต้องยกเลิกชั้นเรียนตอนเช้าไป เพราะต้องเข้าหอประชุมที่รังสิตตั้งแต่ 7.45 แหกขี้ตาตื่นมาก็มีเรื่องให้อารมณ์เน่าแต่เช้าเลย เรียกแท็กซี่ไว้ตอนตีห้า แท็กซี่ก็ไม่มา ต้องให้นังสมตุ้ยกับพ่อมันเดินออกไปหาแท็กซี่กู้สถานการณ์กันเอง ไปถึงนราก็พุ่งขึ้นไปเอาชุดครุย ปรากฏน้องผู้หญิงที่ร้านบอกว่า "มันไม่มีชื่อพี่อ่ะค่ะ" นราก็แบบ น่านไง กูว่าแล้ว แอบคิดๆอยู่เหมือนกันว่ามันต้องเป็นแบบนี้แหง ก็อธิบายให้เค้าฟังว่า เราไม่ใช่รุ่นนี้ เราขอเลื่อนมาจากรุ่นที่แล้วนะคะ เขาก็ไปค้นเพิ่มเติม ก็ยังไม่เจอ สรุปโดนไปอีก 1800 เป็นค่าเช่าครุย เจ้าของบอกว่าถ้าเรามีหลักฐานมายืนยันว่าที่เคยจองไว้เมื่อปี 2009 เราจ่ายหมดแล้ว เขาก็จะคืนให้ แม่ง คงจะเจอหรอก ใบเสร็จก็ใบนิดเดียว แล้วเราจ่ายเรียบร้อยเราก็เอาไปซุกไว้ไหนก็ไม่รู้ ป่านนี้อยู่ในเขตทิ้งขยะกทม.แล้วมั้ง

การซ้อมก็ราบรื่นและน่าเบื่อตามปกติทั่วไป สมตุ้ยขึ้นรับคนที่สองของคณะ รับเสร็จต้องลงมานั่งรอ นศ. อีกสี่ห้าร้อยคนขึ้นไปรับบ้าง โคตรง่วงอะ จะนอนก็นอนไม่ได้ เสือกนั่งแถวหน้าสุดเลย อาจารย์ตรึม แต่จะว่าไปเราควรจะใช้พลังเบ่งในฐานะอาจารย์ของเราขอออกไปนอนท่าจะดี แหมทำไมเพิ่งมาคิดได้นะ น่าเสียดายๆ

สีของคณะมนุษยฯเป็นสีเหลืองแอ๋อย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ เหลืองมันก็สวยนะ แต่ถ้าให้เลือกก็อยากได้สีม่วง มันจะได้เป็นสีมหาลัยพอดี ม่วง-แสด สีเลือดหมูของวิศวะก็สวยดีเหมือนกัน วันรับจริงคือวันที่ 12 ก.พ.นะคะทุกท่าน ที่ศูนย์สิริกิติ์ ตั้งแต่สิบเอ็ดโมง แต่ต้องไปก่อนแหงอยู่แล้วละ ถ่ายรูปๆ โดยนราได้ทำการหักคอปุ๊งปิ๊งอดีตเพื่อนร่วมทุนประกายเพชร คณะนิเทศ ให้มาถ่ายรูปให้ อิอิ นราพลาดรับปริญญาของยอร์ก แล้วในอนาคตจะได้อยู่รับของป.เอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะเรียนจบหรือเปล่ายังไม่รู้เลย เอาเป็นว่างานนี้ไม่ยอมพลาดแน่ อย่างน้อยๆขอมีรูปตัวเองใส่ครุยหน่อยสิวะ

วันซ้อมแทบไม่ได้แต่งหน้าเลย DIY ล้วนๆ โบกรองพื้นหนาแบบพิเศษ แต่งตาหนักๆ ทาลิปนิดๆ จบ แต่วันจริงเนี่ยไม่ด๊ายยย ต้องเอาหนักกว่านี้หน่อย ที่บอกว่าหนักนี่คือแบบพอดีนะ เห็นบัณฑิตสาวๆบางคนแล้วฮา นั่นขนตาปลอมหรือกันสาดกันแน่ ทั้งหนาทั้งยาว ประมาณว่ากระพริบตาเร็วๆนี่สามารถเอาไปตั้งตามมุมห้องเป็นพัดลมได้เลย ทรงผมที่ฮอตฮิตมากกคือทรงกึ่งโมฮอว์ก ทรงเดียวกับที่จิ๊บ ปกฉัตรทำเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรแล้วโดนด่าฉิบหายทั่วบ้านทั่วเมือง ที่นี่ทำกันคึ่ก ไม่เข้าใจคอมมอนเซนส์พวกมันจริงๆเลย คู่มือเขาก็เขียนอยู่ว่าทรงผมให้เกล้ามวยเรียบร้อย ไอ้ทรงโมฮอว์กยีฟู ทรงรังนกกระทากลางหัว หรือทรงเครือกล้วยผ่าซีกมันเรียบร้อยตรงไหนวะ เห็นแล้วอยากไปกระชากให้หลุดออกมาทั้งกบาล

ที่ชนะเลิศนศ.สติเสียได้แก่นศ.หญิงที่ใส่รองเท้าส้นเตารีดสวยเก๋รัดส้นเปิดหน้าเปิดข้างเปิดนิ้วเปิดแม่งทุกอย่างมารับปริญญา มึงเอาอะไรคิด หัวเข่าใช่ไหม โอ๊ยเห็นแบบนี้แล้วจะบ้าตาย ไม่แปลกใจว่าทำไมคนเขามองม.กท.มาตรฐานต่ำจัง

เรื่องฮาก่อนกลับบ้าน ตอนบ่ายนรามีสอน ก็วิ่งไปสอนมันทั้งชุดนักศึกษานี่แหละ ว่าจะไปทั้งชุดครุยแล้วแต่มันร้อน ต้องถอด แหมอยากให้เห็นสีหน้านศ.จริงๆ อึ้งจนลืมคุยกันไปเลย วันนั้นห้องเงียบเชียว บอกนศ.ว่า วันนี้ชอบไหมอ.แต่งชุดนศ.เอ๊าะๆมาให้ดู อาทิตย์หน้าอาจารย์แต่งชุดนางพยาบาลมาสอนเอาไหม อาทิตย์ต่อไปเป็นตำรวจหญิงรัดติ้ว ได้รับการพยักหน้าอย่างแข็งขันจากนศ.ชายหลังห้องเลยทีเดียว ฮ่า

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

Caught in A (Bad?) Romance


I am unqualified to be a mother by all means. Yet I feel like I'm becoming more like a mother to my younger sister.

My sister is turning 17 this month. Yeah, beautiful number isn't it? I used to be 17 too, for your information. I was in highschool by that time, feeling I'm already a mature. Right now at the age of 23 (sigh) I feel funny when I look back and remember how I acted like I knew everything in the world back then.

Anyway, back to the topic, anyone knows that most puppy romance blooms in high school. I thought I fell in love with my PE teacher when I was in grade 10, and my computer teacher, grade 12. Therefore I'm not so surprised when my sister began to talk about boys.

I'm glad she talked about it with me, but in the same time I felt a bit strange. It feels odd to have to admit that my sister is no longer a chubby little girl running around, asking me if she can borrow my Barbie. Now she's becoming a young lass, spending forever in the bathroom, and another forever in front of the mirror. Recently she just asked mt dad to help her buy BlackBerry, which I kinda disagreed. Studying in high school, I see no necessity why she needs this gadget which was originally designed for businessperson. The only good thing about it is that you can keep in contact with people online all the time and that you can chat with your friends who also have a "BB" without having to pay. But since it was my dad's money and decision to pay 2/3 of its price for her, I wouldn't complain. That's the first mother's trait in me.

We talked about her school and friends one day and finally ended up talking about boys and her crush. I didn't get too surprised knowing what girls these days talk about, because I actually did all that before (nasal snorting). I told her what I was like when I was her age, then talked about boys. Not that I'm so experienced in this kinda thing. But after having two ex-boyfriends and being fooled by and asshole, I think I have enough experience to tell my sister what kind of boys she should stay away from and how to act when you like someone. Simple advice, just like what a mum can give to her daughter, but I did it in a very chilled out way - more like chitchatting, not lecturing. I do not want what happened to me happen to my sister.

I'm not saying that I will protect her from heartbreak, tears, and pain that will definitely come once she gets into serious romance. That's what comes with a relationship and you have to face that, no matter if you like it or not. I just want to be someone who she can turn to when these things do happen. I won't be nosy with her personal life, but I'll make sure that whoever that breaks my sister's heart with bullshit reasons will get his legs ripped off his body. Yeah this is the second mother's trait.

I don't know how long it will take until my sister stop sharing this kinda thing with me, but I'll make sure that before that happens, I'll tell her all she needs to know. I'm glad she didn't hesitate to tell me how her romance is going or to show me her BB. Though she can be quite irritating (less these days) but still she is my little sister and I feel the urge to protect and guide her until she is mature enough to take care of herself and be responsible for her own decision.

My sister is a good, (most 0f the time) well-behaved girl and I'm not too worried about her. However, romance can be dangerous if one doesn't know how to control it, and that's my only worry.

And because she's becoming better and better cook these days, I'm sure gonna miss her a lot when I'm away. I will miss her duck cookies and cheese-topped mashed potato and how I get terribly upset when I am terribly late for work but she is still in the bathroom, styling her hair!

*****************

ในบรรดาสัตว์โลกเพศเมียทั้งหลาย สมตุ้ยไม่เหมาะที่จะเป็นแม่คนที่สุด แต่ปัจจุบันเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองทำตัวเหมือนคนเป็นแม่เข้าทุกทีๆ ผู้ตกเป็นเหยื่อคือน้องสาวนราเอง

ก็แหม น้องสาวจะ 17 แล้ว อายุเอ๊าะๆที่พวกเราสาวเทื้อทุกคนอยากย้อนเวลากลับไปเมื่อครั้งยังเต่งตึงใสเด้ง เมื่อก่อนตอน 17 นราก็รู้สึกว่ายุ้ยเป็นสาวแล้ว รู้สึกว่าตัวเองรู้ไปหมดทุกอย่าง ดูแลตัวเองได้ โตแล้ววว โกรธแม่ไปก็หลายทีเวลาแม่ไม่ยอมให้ไปนอนค้างบ้านเพื่อน ก็ 17 แล้วโตแล้ว ทำไมต้องมาคอยห้ามกันด้วยนะ เดี๋ยวนี้เป็นอีป้าอายุ 23 มองกลับไปแล้วฮา เออหนอตูนี่ก็ปัญญาอ่อนได้ถึงปานนั้นเชียว

แต่เรื่องของเรื่องคือ ในวัยประมาณนี้ เรื่องรักๆใคร่ๆความรักวัยใสมันก็เริ่มเข้ามา อันนี้พูดแบบเฉลี่ยนะ เพราะบางคนก็ล่าแต้มกันตั้งแต่อายุ 14-15 บางคน 40 ยังหาคนมาโจมตีฐานตั้งมั่นไม่ได้ ตอนนราอยู่ม.ปลาย อายุประมาณนี้ก็เคยหลงรักอาจารย์สอนพละตอนม.4 หลงรักอาจารย์คอมฯตอนม.6 พอน้องสาวเริ่มพูดเรื่องหนุ่มๆ เรื่องปิ๊งปั๊งๆอะไรงี้ให้ฟังก็เลยไม่ค่อยตื่นเต้นตกใจเท่าไหร่

นราก็ดีใจนะที่น้องสาวมาเล่าเรื่องพวกนี้ให้เราฟัง แต่จริงๆก็รู้สึกแปลกอยู่เหมือนกัน ยากที่จะยอมรับได้ว่าน้องเราที่แต่ก่อนมีฟันสองซี่ ใส่ชุดหมีสีแดงยืนเต้นดึ๋งดั๋งอยู่หลังรถ แล้วชอบมาขอตุ๊กตาบาร์บี้เราไปเล่น ตอนนี้จะเป็นสาววัยรุ่นที่อาบน้ำนานเป็นชาติแถมใช้เวลาหน้ากระจกในนั้นต่ออีกสองชาติ โคตรนาน เมื่อเร็วๆนี้เขาเพิ่งขอให้ป๋าช่วยออกตังค์ซื้อเครื่องแบล็กเบอร์รีให้ ทำเอานราฉุนเหมือนกัน เพราะไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่เด็กนักเรียนระดับม.ปลายยังไม่มีเงินเดือนจะซื้อไอ้เครื่องราคาหลักหมื่นที่เขาผลิตออกมาดั้งเดิมเพื่อให้นักธุรกิจใช้มาครอบครอง ข้อดีที่เห็นจะมีอยู่สองอย่างของมันคืออัพเดทสังคมออนไลน์ได้ตลอดเวลา กับคุยกับเพื่อนที่มีเครื่องบีบีเหมือนกันได้ไม่เสียตังค์ จบข่าว แต่ในเมื่อเขาซื้อไปแล้ว แถมเป็นเงินกับการตัดสินใจของป๋า นราก็ไม่บ่นค่ะ (เหมือนแม่ #1)

วันก่อนคุยกันเรื่องที่โรงเรียนเค้า เพื่อนเค้า แล้วมาจบเรื่องหนุ่มที่เค้าแอบปิ๊ง นราไม่แปลกใจเท่าไหร่กับเรื่องอย่างว่าที่เด็กๆสมัยนี้เค้าคุยกัน เพราะฉันทำมาหมดแล้วย่ะ เชอะ แต่ก็เล่าให้น้องฟังว่าสมัยนราอายุเท่าน้อง ไปทำอะไรไว้บ้าง เหอะๆ ไม่ได้แก่กร้านร่านแร่ดอะไรมาก แต่หลังจากมีแฟนมาสองคน บวกกับโดนไอ้หน้าตะกวดที่พัทยาหลอกอีกหนึ่งครั้ง ก็คิดว่าตัวเองน่าจะมีดีกรีชีวิตพอสั่งพอสอนน้องในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ได้บ้างว่าควรจะเลี่ยงผู้ชายแบบไหน ผู้ชายที่ทำแบบนี้ๆเป็นคนยังไง ก็คุยกันแบบสบายๆ เหมือนเล่าให้ฟังมากกว่า ไม่ได้อบรม ไม่อยากให้เรื่องที่เกิดกะเราไปเกิดกะน้องไง

แต่ก็ไม่ได้หมายความนราจะทำตัวเป็นวอนเดอร์วูเม่น คอยปกป้องน้องจากความเจ็บปวดในความสัมพันธ์นะคะ อีหนูเอ๋ย อยากจะมีแฟนก็ต้องเตรียมรับไว้เลย ทะเลาะกัน งอน ไม่ได้ดั่งใจ ร้องไห้ คำพูดเสียดสีขึ้นสเตตัสเฟซบุ๊ก เจอแน่ๆ แต่นราแค่อยากจะเป็นพี่ที่น้องสาวเข้ามาปรึกษาได้เวลามีเรื่องไม่สบายใจ ไม่ได้จะยุ่งเรื่องส่วนตัว ปล่อยให้เขาจัดการเอง แต่ผู้ชายคนไหนมาทำเรื่องเลวแบบรับไม่ได้กับน้องนรา นราก็แค่จะส่งคนไปฉีกขาแม่งให้ขาดสะพายแล่งไปถึงลูกกระเดือกเท่านั้นเอง (เหมือนแม่ #2)

ในอนาคตเมื่อน้องโตกว่านี้เขาอาจจะไม่มาคุยเรื่องนี้กับนราแล้วก็ได้ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นนราขอสอนน้องเรื่องทุกเรื่องที่น้องต้องรู้เกี่ยวกับโรมานซ์ ฟีลลิ่งก่อนแล้วกัน วันก่อนขอเขาดูบีบีเขาก็ให้นะ ก็ดีใจแหละนะที่เขาไม่ปิดบังให้เราไม่สบายใจ ถึงบางทีนังน้องนี่ก็น่ารำคาญจนอยากจะเอาไปมัดกับรังมดแดงซะให้เข็ด (เดี๋ยวนี้ดีขึ้นเยอะแล้ว) แต่น้องก็เป็นน้องเรา เราก็อยากจะเป็นพี่ที่ดูแลจนกว่าเขาจะโตพอที่จะดูแลตัวเองและรับผิดชอบการตัดสินใจของตัวเองได้ เท่านั้นเอง

น้องนราเป็นเด็กดีนะ (ส่วนใหญ่) นราเลยไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ มีเรื่องรักใคร่นี่แหละที่อยากให้ระวัง ความรักท่านว่าเป็นดั่งเพลิงอัคคี แผดเผาชีวีมอดไหม้หากไม่รู้จักควบคุม เห็นมาเยอะแล้ว เอารักเข้าว่า แต่งงานอายุน้อย หนังสือหนังหาไม่เรียน จะไปฝ่าฟันอุปสรรคพิสูจน์รักแท้กับยอดรัก ไม่ถึงปีผัวทิ้ง แล้วยังไงความรู้ก็ไม่มี กลับมาตายรังเป็นภาระสองชั้นให้พ่อแม่อีก

นราคงคิดถึงน้องแล้วก็กับข้าวน้องมากเวลาที่ต้องไปเรียนต่อ น้องนราทำกับข้าวเก่งนะจะบอกให้ นราคงคิดถึงคุ้กกี้เป็ด (นรากินไปคนเดียว 3/4 ทั้งกล่อง) มันบดโปะชีส กับเวลาที่โมโหเวลาเราสายแล้วแต่น้องใช้ห้องน้ำอยู่นั่นแล้วไม่ออกมาซะที!

**************

ปัด
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ หวังว่าเราจะมีช่วงที่กลับบ้านตรงกันบ้างนะ

บุ๋ม
ขอบคุณมากที่แวะมาเยี่ยมเยียนค่ะ นัดรวมห้องเมื่อไหร่บอกด้วยเด้อนางเด้อ

วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

Back to the UK

I hope all you had a great, great time during your new year holidays.
As I said, I didn't go anywhere, just staying with my family.
When the paradise was over and it was time to come back to work again, I found it very hard to leave the "holiday mood" behind.
It's darn difficult to drag myself off the bed in the morning!
And I was late for work more than twice now.

Anyway, yesterday at work, the Dean of School of Humanities saw me and said;
"Oh, here you are. I was looking for you. Can you come in my office for a second please?"
Then went into his room without waiting for my answer. He looked kinda serious too.
My heart dropped to my toes. Did I do something wrong? Did any students complain about me and my teaching? (In that case I'm gonna find out who they are and kill them).
I went into his office.
Then he said
"Congratulations, Nara, your scholarship for PhD in May has been granted"

Have you ever felt so shockingly happy, so sudden that you feel like you're bursting?
I mean, other than when you stuff yourself with food, of course.
That was what happened to me.
I stood there, literally shivering from head to toes. I saw nothing but blurry image. The blood vessel on my temples felt like it was about to pop. I felt like running around and screaming, but in the same time I felt like fainting.
This is it. It is actually here.
My time has come.

To tell you the truth, I am confused by two totally different feeling.
Part of me is overjoyed because this is what I have been waiting for.
But another part of me is shocked.
Am I really leaving home again?

My biggest worry now is about my mum.
Western-raised people might not understand why we Thai people seem to be so attached to our parents. You leave home at 18, getting yourself a good job, working to pay for your own tuition fee. But Thai culture is different. We like to live as a big family, and even though we are married and move out to start our own family, lots of people still love to stay with their parents, and parents tend love it to be that way as it shows that we, their children, love them and willing to take care of them when they get older.
Anyway, about my mum and I. I have told her since the first month I came back from my masters in England that I wish to continue my PhD as soon as possible.
You can read my previous blog entry to see how she reacts or answers to that.
I understand how she feels, but man, it's damn hard for me to break this news to her.
The news that I got a scholarship and again and will leave for England again in April.
I will be studying at Newcaste University.
PhD school of English Literature, Linguistics, and English Language.
I don't know yet whether I will be living in York or Newcastle, though I hope that I can live in York.
If any of you know some nice areas to live in Newcastle, let me know, as I know nothing about this town.
Now I'm X3 busy, as I have teaching work to carry on, teaching assessment, research papers, and now preparing important documents for tier 4 visa.
Yup, it's gonna be exhausting, but I don't mind.
I'll see you people in England soon!
--------------
หวัดดีค่ะ หวังว่าทุกท่านคงฉลองปีใหม่กันอย่างสนุกสนานนะคะ
อย่างที่บอก นราไม่ได้ไปไหนเลย อยู่บ้านอย่างเดียว
พอถึงเวลาต้องไปทำงานอีกแล้ว แหม่มันช่างตื่นยากตื่นเย็นเหลือเกินนิ
กว่าจะลากตัวเองออกจากเตียงได้
ตอนนี้ตัวแดงในเวลาทำงานนรามันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแล้วแหละ
บางทีไปถึง กระเป๋าไม่ต้องวางอ่ะ ไปสอนเลย
ไปถึงแล้วต้องทำหน้าตึงๆ เหมือนมานานแล้ว มาดดีฉิบหาย
เมื่อวันก่อน เดินๆอยู่ ไปป๊ะคณบดีเข้า
คณบดีบอกว่า "อ้าว นราวัลลภ์ มาพอดีเลย ผมตามหาตัวคุณอยู่ เดี๋ยวมาพบผมในห้องหน่อยสิ" ว่าแล้วแกก็เดินเข้าห้องไป
บอกตามตรงตอนนั้นหัวใจหล่นลงไปอยู่ที่หัวแม่ตรีน ฉิบหาย กรูไปทำไรไว้เปล่าเนี่ย โดนนศ.ร้องเรียนอะไรเปล่าเนี่ย (ถ้าเป็นกรณีนี้จะตามหาตัวแล้วตบรางวัลให้อย่างสาสม)
เอาวะ คงไม่มีอะไรหรอก อย่าตื่นตูมไปสมตุ้ย
ว่าแล้วนราก็ตามเข้าไป แล้วคณบดีก็บอกว่า
"ยินดีด้วยนะนราวัลลภ์ มหาลัยอนุมัติทุนศึกษาต่อป.เอกเดือนพ.ค.ของคุณแล้ว"
ทุกท่านคะ ท่านเคยดีใจมากจนรู้สึกเหมือนตัวจะระเบิดหรือไม่
แน่นอน นอกจากเวลากินมากเกินไปนะยะ แอร๊ย
ตอนนั้นนราตัวชา ยืนเด่อยู่อย่างนั้น มือสองข้างปิดปากไว้แบบนางงามเวลาได้ตำแหน่ง ตานี่มองอะไรไม่เห็นหรอกมันเบลอไปหมด เส้นเลือดเต้นตูมๆเหมือนจะแตก ตอนนั้นอยากแหกปากแล้ววิ่งกะโด๊งกะเด๊งไปให้ทั่วมหาลัยมากๆ แต่ในเวลาเดียวกันก็หวิวๆเหมือนหมดแรงจะเป็นลม
ในที่สุดโอกาสมาถึง
ถึงเวลาของเราแล้ว ยิปปี้
(อธิบายเกร็ดความรู้ว่าทำไมนังนี่จึงได้ดีใจออกนอกหน้าขนาดนั้น: ตามปกติแล้ว ม.กท. จะพิจารณาส่งอาจารย์ป.โทไปต่อป.เอกก็ต่อเมื่ออาจารย์คนนั้นจบโทและกลับมาทำงานที่ม.กท.ได้อย่างต่ำหนึ่งปีหรือมากกว่านั้น แต่ในกรณีนรา เนื่องจาก ม.กท. กำลังปรับปรุงและพัฒนาบุคลากร ประกอบกับการชเลียร์อย่างเอาเป็นเอาตายของนรา นราจึงเป็นอาจารย์คนแรกที่ได้ไปต่อเอกหลังจบโทและทำงานไม่ถึงปีค่ะ นราทำงานมาถึงตอนนี้สามเดือนเอง)
จริงๆมันมีสองความรู้สึกที่ตีกันอยู่
อันนึงคือดีใจมาก ดีใจโคตรๆ สิ่งที่เราตั้งใจไว้มันเป็นจริงแล้ว
แต่อีกอันคือ ใจหาย เสียใจนะ
เราจะจากบ้านไปอีกแล้วเหรอวะเนี่ย
คราวนี้ยาวเลย สามปีแน่ะ
เรื่องอื่นนราไม่ห่วงเลยนะ
ห่วงแต่แม่คนเดียวนี่แหละ
ฝรั่งคงไม่เข้าใจว่าทำไมคนไทยถึงเป็นลูกแหง่ติดพ่อติดแม่กันจัง
ก็แหงสิยะ พวกหล่อนออกไปหางานทำจ่ายค่าเรียนหนังสือกันเองตั้งแต่อายุ 18 แยกตัวออกไปบ้านช่องไม่ค่อยกลับ แต่สังคมไทยเราชอบอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ บางคนแต่งงานแล้วก็เอาเมียเอาผัวเข้าบ้านเห็นเยอะไป พ่อแม่ก็หวังอาศัยลูกยามแก่เฒ่านี่แหละจริงไหม สังคมเราไม่ใช่แบบฝรั่งที่จะแตกบ้านแล้วแยกออกไปตั้งแต่อายุน้อย ถึงจะมีบางคนที่ทำอย่างนั้นก็เหอะ
เอาเป็นว่า เรื่องของนรากับแม่เนีย คือจริงๆนราก็บอกเขาตั้งแต่เดือนแรกๆแล้วว่าอยากจะกลับไปเรียนให้เร็วที่สุดนะ
ถ้าจำไม่ได้ว่าแม่นรามีปฏิกิริยาต่อการไปเรียนต่อของนรายังไง ให้ย้อนกลับไปอ่านเอนทรีก่อนหน้านี้สักสองสามเอนทรีนะ
นราเองก็เข้าใจความรู้สึกแม่ นราเองก็ใจหายเหมือนกัน ว่าต้องไปอยู่คนเดียว ไกลบ้านไกลครอบครัวอีกแล้ว
ไม่รู้จะบอกแม่ยังไงดีฟ่ะ พูดไม่ออก มองหน้าแม่แล้วพูดไม่ได้ พูดแล้วเค้าก็ร้องไห้ เราก็จุกอก
ไม่รู้จริงๆว่าจะเริ่มยังไงดี จะบอกยังไงว่า แม่ อุ้ยได้ทุนไปต่อเอกที่อังกฤษแล้วนะ เดินทางเดือนเมษานี้
วันก่อนบอกป๋าให้แย็บๆ เกริ่นๆ ให้หน่อย
แล้วนราก็เงียบๆ ให้เวลาแม่เขาทำใจ
เขาก็คงรู้บ้างแล้ว วันก่อนเถียงกันเรื่องกลิ่นดอกไม้ แม่บอกว่า "เนี่ยถ้าไม่ใช่กลิ่นดอกกล้วยไม้หน้าบ้านนะ อุ้ยไม่ต้องไปเรียนต่อเมืองนอกเลย"
กดไฟแดง เปลี่ยนหัวข้อคุยทันที เหอะๆๆ
คราวนี้ได้ที่นิวคาสเซิลค่ะ
PhD School of English Literature, Linguistics, and English Language
ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะไปอยู่ที่ไหน แต่ที่แน่ๆไม่อยู่หอแล้ว แม่งแพง
ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจะอยู่ยอร์กหรือนิวคาสเซิล แต่อยากอยู่ยอร์กนะ คิดถึงยอร์ก
ตอนนี้ก็ยุ่งสามเท่า นอกจากจะต้องสอนแล้วก็ต้องเตรียมออกข้อสอบปลายภาค ตรวจข้อสอบ ประเมินผล สคอ.5 แล้วก็ต้องเริ่มเตรียมเอกสารต่างๆสำหรับขอวีซ่าแล้วค่ะ
เพื่อนๆทุกคน
ดิว่าจะอยู่ไทยให้มีทแอนด์กรี๊ดกันถึงแค่ต้นเดือนเมษานะคะ
เพราะงั้นรีบๆมาเจอกันเถอะ

วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

Happy New Year 2011

A bit belated, but still I wish everyone, whether you're just a passerby or my loyal fan who's been following my rubbish blog for some time, a very very happy new year 2011!! Hopefully everyone had a great time with friends and family.

If you don't count last new year that I had to work at a Thai restaurant in York so that I will get more money to spend for my solo trip in London, this was the most quiet new year party in my life. I didn't go out anywhere. I just stayed in with my family. We cooked, had a massive dinner together until the clock struck 12 and watched the fireworks show on TV. It was very quiet, yeah, but also very nice. Being with my family again for something important like this felt very nice, especially after having to live by myself for almost a year.

Man, I miss England, or to be more specific, I miss York, York and everything about it (Well, except those random drunkards that tried to grab my ass, or worse, make me grab their "You-Know-What" in the clubs). I miss how daffodils paint the whole town yellow and how the whole traffic has to stop just to let the ducks cross the roads. Of course, I miss people there. I love how I can truly be myself there (to some proper extent, of course). If I have to sacrify a few years, probably about 10, just to live 3 years in England, hell yeah I would do it.

Actually, I HAVE decided to take that deal. Now, before I go any further, let me announce my very good news!!

(Drum rolls)
I got a PhD offer from Newcastle University!!
(Applause)

So as soon as I knew that I got an offer to study there, I wrote up an internal memo asking for a permission to continue my study in April and a full scholarship from Bangkok University. I got this good news only a few days before new year holiday, so I think my memo is now stuck somewhere in the middle of its way to the desk of the executives. What I am doing now is waiting, praying, and looking forward to the good news. I wish that this wait will end soon so that I won't have to think about it night and day, wondering if I will get to go back to England and its beautiful people.

Some people I know asked me something like "why do you wanna go back? There's nothing in England! It's cold. It's dark. Everything is so expensive, and people are so unfriendly" Oh well I think that depends on personal attitude or how you look at things around you. If all you do there is staying in your room, waiting for the day you can go home, and refusing every invitation from friends, then of course life in the UK must be darn boring. I made friends, I went out, got drunk, got crazy, traveled around, and lots more. I'm not saying that England is so nice there's nothing bad about it. There are, for examples, slightly racist people who kept calling me a "Chinese girl" or asked me to do a PingPong show, but there are also beautiful things. What I did was to look at the beautiful side of it. Why minding a dog's dropping on the street when you can look at flowers and butterflies and cute guys?

The only thing that holds me back from running around screaming about my PhD offer is my mum. It's kinda like a dilemma here. I wanna study, but in the same time I don't want to make my mum sad. My mum is very 'clingy' to us daughters and son, which I understand. When I told her about the offer, she said "why back so soon? You just came home" and I was pretty sure I saw a glimpse of tears in her eyes. Who wouldn't feel guilty seeing that. I want to study, but I don't want her to feel that I'm abandoning her.

Anyway, please keep your fingers crossed for me, and I'll let you know once the result is out. Wish you guys a happy new year once again! And for people in York, wish I could see you again soonish!
******************

ช้าไปสักเล็กน้อย แต่ก็ขอสวัสดีปีใหม่ 2554 แด่มิตรรักแฟนเพลงทุกท่านนะคะ ไม่ว่าจะแค่ผ่านมาเฉยๆ หรือแอบตามอ่านมานาน ขอให้มีความสุขมากๆ นราจะพยายามสรรหาเรื่องไร้สาระมาอัพให้อ่านเรื่อยๆนะ ปีใหม่ไปฉลองไหนกันมามั่งคะ

ถ้าไม่นับปีใหม่ของปีที่แล้วที่ต้องไปทำงานเป็นสาวเสิร์ฟชั่วคราวที่ร้านอาหารไทยในยอร์กเพื่อหารายได้สมทบทุนการไปแรดในลอนดอนคนเดียว ปีนี้ก็ถือว่าเป็นการฉลองที่เงียบเชียบมาก ไม่ได้ไปไหนเลย อยู่บ้านกับครอบครัว ทำกับข้าวบริโภคกัน แล้วก็รอดูพลุฉลองปีใหม่ทางทีวี ได้อยู่กับครอบครัวครบหน้าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ มีความสุขไปอีกแบบ ที่ผ่านมารู้สึกว่าเป็นบุตรีที่เหี้ยมาก หน้าเทศกาลสำคัญอะไรก็แรดออกไปกะผู้ชายตลอด ปีนี้อยู่บ้านก็รู้สึกดีไปอีกแบบ โดยเฉพาะหลังจากต้องอยู่คนเดียวมาเกือบปี

คิดถึงอังกฤษฉิบเป๋งเลย
หรือจะเอาแบบเจาะจง คิดถึงยอร์กที่สู้ดดด
แน่นอนว่ายกเว้นตอนที่โดนไอ้ขี้เมาเดินแอ่นหน้าแอ่นหลังมาหยิกตูด หรือที่ร้ายกว่านั้นคือเจอขี้เมาพยายามจะเนียนให้เรามาจับโปเกม่อนเหี่ยวๆของมันในคลับ
พูดถึงคลับ คิดถึงเหมือนกัน คลับเมืองไทยอะไรก็ไม่รู้
ไม่ได้ตอแหลจะไฮโซ หัวสูง แหมผับไทยเข้าไม่ได้
ผับไทยมันคืออะไรวะ เต้นก็ตรงโต๊ะ แดกเหล้าก็ตรงโต๊ะ สูบบุหรี่ก็ตรงโต๊ะ นั่งๆอยู่โดนบุหรี่เผาหนังหัวได้ไม่รู้ตัว
มันมั่วไปหมดเลยอะ เข้าไปแล้วหาความสนุกไม่เจอ
รอกลับไปแรดที่อังกฤษไม่ได้แร้นนน
คิดถึงยอร์กตอนที่ดอกแดฟโฟดิลมันบานเหลืองไปทั้งเมือง หรือตอนที่รถติดกันทั้งถนนเพราะต้องรอเป็ดข้ามให้เสร็จก่อน
คิดถึงผู้คนที่โน่น
คิดถึงการที่เราเป็นตัวเองได้เต็มที่
ถ้าต้องแลกชีวิตการทำงานสักสิบปีเพื่อการได้ใช้ชีวิตในอังกฤษอีกสามปีเต็ม จะไม่ลังเลเลยค่ะ

อันที่จริงก็ตัดสินใจไปแล้วหละ อิอิ
ก่อนจะเข้าสู่ท้องเรื่องไปมากกว่านี้ ขอบอกข่าวดีของนราก่อน อิอิ
ได้รับข้อเสนอให้เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาเอก ณ มหาลัยนิวคาสเซิลแล้วจ้า
ท้ามท้ามท้ามถ่ามมม
(ปรบมือกึกก้อง)

ตอนนี้ก็เขียนจดหมายเวียนภายในส่งขึ้นไปยังผู้บริหารละ ถ้าโชคดี มหาลัยใจดี ก็จะได้ไปเรียนเดือนเมษายนที่จะถึงนี้เลย ถ้ามหาลัยยังไม่อยากให้รีบไป ก็คงต้องรอไปเดือนกันยา-ตุลาเลย นานหน่อย แต่ได้ไปแน่ การออดอ้อนครั้งนี้อาศัยการชะเลียร์อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลานานมาก นราเจออาจารย์ผู้บริหารที่ไหน เลียแหลก ทั้งอ้อน ทั้งหงิงๆ ยิ่งกว่านางอิจฉาตอนแอแน้ใส่พระเอกอีก (ถ้าไม่รู้ว่าแอแน้แปลว่าอะไรให้ไปถามใครก็ได้ที่พูดจีนแต้จิ๋ว) อยากรีบไปเรียนต่อก่อนไฟจะหมด ตอนนี้ก็เริ่มขี้เกียจจะเรียนแล้วหลังจากทำงานตรากตรำผจญเด็กพิลึกพิลั่นมากมารยามาสามเดือน ตอนนี้ติดช่วงวันหยุดปีใหม่ ก็ได้แต่รอแล้วค่ะว่าผลจะออกมาว่ายังไง

บางคนมาถามว่า จะกลับไปเรียนต่อทำไม อังกฤษไม่มีอะไรดีซักอย่าง ทั้งหนาว ทั้งอึมครึม ของแพง คนก็หน้าหงิกเป็นตูดตลอดเวลา แต่นราว่าเรื่องอย่างนี้ขึ้นอยู่กับทัศนคติการมองโลกของแต่ละคนโดยแท้ค่ะ ถ้าไปแล้ววันๆหมกศพอยู่แต่ในห้อง เรียนเสร็จกลับห้อง นั่งเฝ้านับวันจะกลับบ้าน เพื่อนชวนไปไหนก็ไม่ไป ชีวิตเมิงก็คงจะสนุกขึ้นมาได้หรอก เผอิญว่าดิอั๊นสร้างเพื่อนใหม่ตลอดเวลา แรดทุกครั้งที่โอกาสอำนวย (จนเกือบตกเรียงความหนึ่งเรื่อง) เมาหัวทิ่ม ไปเที่ยวเมืองโน้นนี่ เหล่ผู้ชายอิ่มหนำสำราญ (คนไหนหัวบลอนด์เสร็จกรูหมด)

แต่ก็ไม่ได้จะบอกว่าอังกฤษมันดีไปหมดทุกอย่างเลยนะ เจอเหมือนกันพวกคนเหยียดเชื้อชาติ เรียกกรูเป็นคนจีนอยู่ได้ แล้วจงใจเรียกด้วยเพราะก็บอกไอ้ชิงหมาเกิดนี่ไปหลายรอบแล้วว่ากรูไม่จีน กรูคนไทย ฟาย มันก็ยัง ไชนีสเกิวๆ อยู่นั่น คาดว่าบรรพบุรุษมันคงโดนคนจีนตีท้ายครัวเลยฝังใจ กับประเภทที่เจอกันทีไรก็บอกว่า ยูๆ แสดงปิงปองโชว์ให้ดูหน่อย คิดในใจว่าถ้ากรูนี่นะทำปิงปองโชว์ได้กรูจะพ่นใส่หน้าเมิงนี่แหละคนแรก แต่เราจะไปใส่ใจกับเรื่องไม่ดี ด้านห่วยๆของอังกฤษทำไม แค่ระวังไว้ไม่ต้องยุ่งกะมัน แล้วมองแต่สิ่งสวยๆงามดีกว่า มีดอกไม้ให้ดูจะไปมองขี้หมาทำไม เอ๊อ

เหตุผลใหญ่เหตุผลเดียวที่ทำให้นราลังเลเรื่องจะไปเรียนต่อก็คือคุณแม่นี่แหละ อยากไปเรียนนะ อยากได้ด็อกกะเตอร์มานำหน้าชื่อก่อนอายุสามสิบ แต่ก็ไม่อยากให้แม่เสียใจที่เราจะไม่อยู่บ้านอีกแล้ว แม่นราเขาเป็นคนติดลูกมากเลย แค่บอกเฉยๆสั้นๆนะ ว่าเนี่ยคบหนุ่มฝรั่งอยู่นะ โอ้โหคุณแม่ท่านจินตนาการไปจนถึงตอนแต่งงาน ย้ายถิ่นฐานไปเมืองนอก แล้วก็คร่ำครวญว่าอุ้ยทิ้งแม่ ฮือๆๆๆ สมตุ้ยก็เลยงงเต้กเพราะว่ายังไปไม่ถึงไหนกะตานี่เลย แม่สมตุ้ยจินตนาการแบบฟาสต์ฟอเวิดไปถึงตอนลงหลักปักฐานแล้ว แม่บอกว่า เพิ่งกลับมายังไม่ทันไร ทำไมจะไปอีกแล้ว ใครได้ฟังแล้วไม่รู้สึกผิดก็ประหลาดละ อยากไปเรียนน่ะอยากไป แต่มันรู้สึกเหมือนจะทอดทิ้งแม่อีกแล้วยังไงชอบกล มันรั้งๆกันอยู่ บอกไม่ถูกเหมือนกัน

ยังไงก็แล่วแต๊ ขออวยพรให้ทุกท่านมีความสุขถล่มทลายในปีกระต่ายทอง (เขาว่างั้น) นะคะ คิดสิ่งใดขอให้สมหวัง และขอให้ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้อวยพรทุกคนในที่นี้ส่งผลให้ข้าพเจ้าได้ไปต่อเอกเดือนเมษานี้เทอญ (หว่านพืชหวังผลแบบสุดตีน)