วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

My Virtual Garden

หายไปนานเลย
ช่วงนี้งานเยอะมาก ยุ่งวุ่นวายทุกวัน
แม้แต่ข้าวเช้ายังต้องซื้อใส่กล่องขึ้นมากินข้างบน
โอ้ ชีวิตศรี
ช่วงนี้โทรมมาก เหนื่อยกับงาน ทรมานกับชีวิต
อีกสามเดือนก็ไปแล้ว
เฮ้อ
.......................

จริงๆอยากจะอัพเรื่องกีวีชีสพายที่เพิ่งทำไปอาทิตย์ก่อน
แต่ลืมโอนย้ายรูปมาใส่ในโน้ทบุ๊ก
ไว้เอนทรี่หน้าแล้วกันนะคะ

วันนี้มาดูสวนผักผลไม้ของนรากันดีก่า
อ๊ะๆ ไม่ใช่ของนราหรอก ของจัสตินเขาน่ะค่ะ
จัสตินตัวเขียวเพราะเป็นมนุษย์ต้นไม้
เกิดจากการพ่นยาฆ่าแมลงใส่ต้นไม้เยอะๆ
เลยโดนสาป พ่นอยู่ดีๆก็ บุ้มมม กลายร่างเป็นแบบนี้ซะละ

จัสตินมีบุตรหนึ่งคน
เป็นอะไรที่เยี่ยมยอดมาก คือไม่ต้องท้อง
แค่ใช้คำสั่ง "งอกต้นเบบี๋" บุตรก็จะปู๊ดออกมา
เดินได้เลยทันที จากเด็กโตเป็นผู้ใหญ่ทันที
และที่แจ๋วสุดคือ ค่าทักษะต่างๆจะเท่ากับคนที่ให้กำเนิดทุกประการ


นรามันพวกมือร้อน
ปลูกอะไรก็ไม่ค่อยรอด เห็นงอกงามอย่างเดียวคือถั่วเขียว
เม็ดเป้งๆ หยั่งกะเห็บหมาแน่ะ
เพื่อสนองสิ่งที่ขาดนี้ นราเลยทำสวนในเกมซิมส์สอง
ปลูกส้ม มะนาว แอปเปิลอย่างละต้น
และลงผักผลไม้ล้มลุกเวียนๆกันไปค่ะ


นานนะกว่าจะปลูกให้มันออกมางอกงามได้เนี่ย
แรกๆก็ตายบ้าง ลูกออกมาสีซีดๆแห้งๆบ้าง
คือสีผลไม้จะเข้มขึ้นตามความแข็งแรงงอกงามของต้นไม้ค่ะ

นี่มะเขือม่วง
มองไม่ค่อยเห็นหรอก เพ่งหน่อยแล้วกัน
สีม่วงเข้มสวยเชียว


ส้ม มะนาว แอปเปิล จะหยุดโตในฤดูหนาว
กว่าจะออกลูกก็น้านนาน
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับจัสตินผู้มีเหรียญรางวัลทำสวนสีทอง
อั๊งอ่างงง (ขอเลียนแบบหนูแนนหน่อยนะ)
มะนาวเอาไปคั้นแล้วดื่มจะลดอุณหภูมิร่างกายตอนหน้าร้อน
ส่วนแอปเปิลไม่รู้ แก้หิวเฉยๆมั้ง




ตอนนี้มะเขือเทศกำลังสุก
ต้นแรกสีซีดไปหน่อย ลืมดูแลไปนิดนึง ฮ่าๆ
แต่ต้นข้างหลังลูกสีแดงน่าหม่ำจริงจริ๊ง


ผัก ผลไม้พวกนี้เอามาปั่นรวมกันได้หลายเมนูด้วยนะเอ้อ

เห็นสวนเขียวๆก็ชื่นใจ เพราะบ้านตัวเองไม่มีแบบนี้
วันจันทร์ที่แล้ว เล่นตั้งกะเก้าโมงยันสามทุ่ม ฮ่าๆ
ใช้วันหยุดได้คุ้มค่าจริงๆ


วันจันทร์นี้ นราต้องเริ่มเดินสายดูแลกลุ่มเม็กซิโกแล้ว
เขาจะไปวัดพระแก้วกัน
โหย ไปจนเบื่อแล้วอ่ะ ร้อนล่วย
แต่ภาระหน้าที่ย่อมหลีกเลี่ยงไมได้
นรา..สู้ชีวิต
วันจันทร์ใครไปวัดพระแก้วอย่าลืมชะเง้อมองหานราล่ะ
ดูแลกลุ่มนศ.เม็กซิกัน สิบห้าคนนนน
แอร๊กกก
..........................

ใบตองจ้า
แมวน่ารักเน้อๆ
เราไปทีไรก็ชอบตะกายเข้ามานอนในตักล่ะ
ขอแสดงความยินดีในวันรับปริญญาล่วงหน้านะคะ

หนูแนน
แมวหน้ามันโง่ๆหละแนน
เหมือนเอ๋อๆ
แล้วตั๋วเครื่องบินหรือยังเนี่ย ระวังไม่ได้กลับบ้านนะ

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Voice from the Kittens' Owner


สวัสดีค่ะ
มาอัพอีกแล้ว
มีบางคนสงสัยว่างานการไม่ทำหรือไง
บอกว่ายุ่งๆ แต่อัพบล็อกวันเว้นวัน
พอดีได้รับเกียรติจากแขกกิตติมศักดิ์ค่ะ
วันนี้จะไม่ใช่ผลงานการเขียนบล็อกของนรา
แต่เป็นของแฟนนรา
(หายากนะเนี่ย)
และประสบการณ์สู้รบตบแปะกับลูกแมวของเขา
เชิญทัศนาได้ ณ บัดนี้ๆๆๆ (เอ็กโค่เยอะๆ)
...............................



ถึงหมูที่หน้าอ้วน
เราจะเขียนถึงลูกแมวของเรานะ ตั้งแต่ที่เรารู้ว่านังจ่อยมันท้องกับแมวที่ไหนก็ไม่รู้ เราได้เห็นฉากเลิฟซีนที่บนหลังคาบ้านตอนเรานอนกลางวัน 2 ฉาก ไม่คิดว่ามันจะท้องด้วยซ้ำ เพราะเราพยายามขัดขวางทุกวิถีทาง โดยการหาสิ่งของมาขว้างปา แล้วก็เรียก มาย บุพการี มาขับไล่ไสส่ง แมวตัวผู้จรจัดไม่รู้จักหัวนอนปลายก้อย



แต่แล้วไม่อยากจะเชื่อ บาปกรรมอันนั้นมาสนองยิ่งกว่าเวรกรรมติดจรวด ตอนลูกแมวคลอด เราสัญญากับตัวเองว่าครั้งที่แล้วกูพลาด ครั้งนี้กูจะไม่ยอมพลาดวินาทีชีวิตอีกแล้ว(ของงี้หาดูยาก) วันที่นังจ่อยมันจะคลอด เผอิญ 5โมง พอดี เลยออกไปวิ่ง กลับมากะจะเห็นลูกแมวน้อยออกจากท้องแม่ครบทุกตัว แต่พอกลับมาแม่งยังไม่ออก ออกยากมาก ในที่สุดตัวแรกออกมา แต่เราไม่เห็น (มาย บุพการี พยายามช่วยมันคลอด แต่หมอบอกว่าแมวมันขี้อาย เลยไม่ออกต่อหน้าคน แต่แล้วไงละแม่มันเบ่งไม่ได้)


ตัวที่ 2 สุดสยอง ออกมาแค่หัว ตัวไม่มา คาหอยอยู่แบบนั้น แทบเป็นลมกู พอออกมาหมดตัว รกตัวไม่โผล่ออกมาอีก ลูกแมวตัวที่ 2 เลยคาหอยแม่มันอย่างนั้น นาน พอดู(ระหว่างตัว 1 กับ 2 คลอดห่างกัน ร่วม 3 ช.ม.) แล้วเราก็เข้านอนด้วยความหวังที่จะให้มันออกครบๆ เสร็จ และด้วยความเป็นห่วง จึงนอนหลับอย่างรวดเร็ว ลืมไปว่าน้องชายเฝ้าดูแมวคลอดตลอดทั้งคืน


เช้ามาลูกแมวออกครบ 5 ตัว ตาย 1 เนื่องจากคาหอยแม่ ส่วนตัวที่ 3 กับ 4 ออกยากมาก พ่อเราต้องดันหัวแมวกลับไปในหอยแม่แมวแล้วดึงออกไม่งั้นไม่รอด สรุป ลูก แมวผู้ทรหด ออกมาชมโลกได้ 4 ตาย 1 ขนาดความใหญ่เห็นได้ชัดเจน ตัวแรก ใหญ่ สุด ไล่มาถึงตัวสุดท้ายเล็กสุด



ตอนแรกเกิด อะไรๆ ก็ดูดีไปหมด น่ารักกก ไม่วุ่นวาย พอตอนโตนี่สิ สุดๆ ที่บอกว่าเวรกรรมติดจรวดที่ดันไปขัดขวางบทรักของพ่อแม่มัน คราวนี้ลูกๆ มันเอาคืนอย่างสาสม แม่งนิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นแดก แถมไม่ได้แดกน้อยๆ กินเยอะมาก กินอิ่มกูนอนแล้วนะ เวลากูตื่นอย่าลืมให้นมกูละ - -
ตอนนี้น้องแมวอ้อนมานั่งอยู่ ตัว 1 นั่งบนตัก ตัว 2 อยู่บนพื้นหลังตูด ตัว 3 อยู่แถวๆพุง ตัวที่ 4 มึงเป็นอะไร มาอยู่บนต้นคอกู



เวลาจะออกกำลังกาย ท่านเป็นอันต้องมายุ่ง นอนซิตอัพ บทโต๊ะซิทอัพ ท่านก็มาอยู่ที่หลังผม ออกกำลังไม่ได้ ยกเวท ท่านก็ไม่อยู่ข้างล่าง ผมละจิตนาการว่าถ้าเวทตกลงไป สงสัยไม่ทันมีเมีย ตายก่อนแน่ๆ เลิกก็ได้วะ ตอนกินข้าวก็มาร้อง มึงกินไรว้า ขอกูกินมั่งจิ มองด้วยสายตาขอร้องแกมบังคับ แล้วก็ร้อง ผมเลยจับขังกรง นั่งกินหมูปิ้งด้วยความบันเทิงใจโดยมีเสียงแมว แทนเสียงนก โรแมนติกดี ตอนนี้มันกำลังหลับโชว์ท้องลาย ดีแล้ว เดี่ยวมันตื่นก็ต้องมารบกันอีก ไหนๆก็ไม่ได้เลี้ยง ในฐานะผู้เล่น ก็ขอแม่(ของผม) ผู้เลี้ยงเลี้ยงมันด้วยความสุขเน้อ
..............................

ขอแถมนี้ดส์
วันนี้นราไปเกิดอยากกินผัดผัก อยากกินหน่อไม้ฝรั่ง
แต่ที่โลตัสไม่มี เลยเอาเห็ดหอมมากล่องนึง
กับซุคินีสองแท่ง

จานนี้ ซุคินีผัดเห็ดหอมซอสหวานญี่ปุ่น
อร่อยดี หวานกรอบ รสชาติเหมือนน้ำเต้าสักอย่างมากกว่าแตงกวา
อย่าผัดสุกมากล่ะ เดี๋ยวเหี่ยว เละหมด


กินหมดแล้วก็ยังไม่สาแก่ใจ ลุกไปทำมาอีกหนึ่งจาน
ซุคินีชุบแป้งทอด
(แปลงมาจากเมนูมะเขือยาวชุบแป้งทอด)
รสชาติใช้ได้ แต่ไม่อร่อยเท่าผัดจานแรก


สงสัยจะกินเยอะไป ตอนนี้คลื่นไส้มาก
อัดแอร์เอ็กซ์ไปแล้วสองหน่วย
แอวะ
ไปละ พรุ่งนี้มีศึกใหญ่รออยู่อีกค่ะ

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

How Could Someone Be So Handsome?



วันนี้วันจันทร์
วันหยุดของเรา ตะละลาลี้ลู
หลังจากโหมงานหนักมาตลอดทั้งสัปดาห์
วันนี้นราก็เลยขอชาร์จพลังให้ตัวเอง ด้วยการตื่นเอาสิบโมง ฮ่า ฮ่า
.....................

เมื่อวันเสาร์ นราก็จัดการคิดค่าโปรแกรมสัมมนาเสร็จแล้ว
ค่อยยังชั่วหน่อย ภูมิใจนิดๆเหมือนกันนะเนี่ยว่าเราคิดเลขได้ด้วย
แต่พรุ่งนี้ก็ต้องกลับไปทำงานแล้ว เฮ้อ
ยังมีเรื่องเหลือให้ทำอีกเยอะแยะเลย
วิทยากรก็ยังเชิญไม่หมด แบบสอบถามยังไม่ทำ จดหมายขอดูงานที่บริษัทก็ยังไม่ออก หมายเลขโครงการก็ยังไม่ขอ ไหนจะจองรถทัวร์ โทรยกเลิกห้องที่วินด์เซอร์อีก
เหนื่อยจนหมดแรงจะบ่นแล้วฮ่ะ
......................

กลับมาเข้าเรื่องหัวข้อของวันนี้กันเถอะ
วันนี้ว่าง ไม่มีอะไรทำ จู่ๆก็นึกถึงหนังเรื่องนี้ขึ้นมาได้
Interview with the Vampire
แปลกดี อยู่ๆก็อยากดู
เลยเข้ายูถูป ไปเสิร์ชหาที่คนเอามาแปะไว้ แล้วก็นั่งดูทั้งวัน

พอดูจบแล้ว...
พระเจ้า
พระเจ้า
พระเจ้าาา
คนเราหล่อขนาดนี้ได้ยังไงกัน
แบรด พิทท์ ชาติที่แล้วคุณทำบุญด้วยอะไรคะ


ทอม ครูซ นี่ก็อีกคน
เมื่อครั้งยังใส ช่างหล่อกระชากใจสุดโคตร
ดูยิ้มที่มุมปากนั่นซิ อรั๊ยๆ ดูมีลับลมคมในน่าสงสัยจังเยยยย


อย่างนี้ซิเขาถึงเรียกว่าแวมไพร์สุดหล่อ เจ้าชายแวมไพร์
ดูดีกว่าพ่อแวมไพร์หน้าตาไม่สมมาตรจากแสงอาทิตย์อัสดงนั่นตั้งแยะ
(ขอสงวนสิทธิ์ในการไม่เอ่ยนาม รู้ว่าแฟนคลับแกเยอะ
รวมๆกันแล้วก็หลายบาทาอยู่)

เนื้อเรื่องคร่าวๆ เกี่ยวกับหนุ่มหล่อชื่อลูอี้
(นามสกุลอะไรไม่รู้เป็นภาษาฝรั่งเศส อ่านยากแถมยาวฮิหาย)
รับบทโดยแบรด พิทท์ ที่ตอนนี้เหี่ยวแล้ว
พี่แกเสียภรรยากับลูกไปตอนคลอด เลยสิ้นหวังสิ้นแล้วทุกสิ่งอัน
บังเอิญได้เจอกับแวมไพร์หนุ่มเลสแทท นามสกุลยาวๆ อ่านยากอีกแล้ว
เลยตกลงปลงใจยอมเป็นแวมไพร์กับเขาด้วยคน

บอกตรงๆ จับใจความเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้
เพราะเหมือนมันไม่ค่อยมีอะไร
เป็นการให้สัมภาษณ์เรื่องชีวิตแวมไพร์ของตนกับนักข่าวคนหนึ่งมากกว่า
แบบว่าเป็นแวมไพร์ ต้องหัดควบคุมความอยาก
เป็นแวมไพร์แสนดีเลยต้องกินเลือดไก่ เลือดหนูแทนเลือดคน
วันดีคืนดี เผลอไปขม้ำเด็กหญิงเข้าให้
(หล่อนคือเคิร์สเทน ดันส์ท ตอนอายุประมาณสิบขวบค่ะ
เลยได้รู้ว่าหล่อนหน้ากลมเหมือนเหรียญห้ามาแต่อ้อนแต่ออก)
แล้วหล่อนก็กลายเป็นแวมไพร์รุ่นจิ๋วไป
ตอนหลังโดนจับไปตากแดดตาย ฮ่าๆ สะใจ
อายุแค่นี้ทำเป็นได้จูบแบรด พิทท์ตอนเอ๊าะหรอ หนอย ยอมไม่ได้
ที่ไม่รู้เรื่องอีกอย่างก็เพราะว่า
พี่แกเล่นกระซิบกระซาบกันทั้งเรื่อง
ไอ้เซ็กซี่ มันก็เซ็กซี่อยู่หรอกนะ เสียงแหบทุ้ม แผ่วเครือ
แต่ฟังไม่รู้เรื่อง ยูถูปไม่ทำซับไตเติลให้ด้วยสิ
(แต่ขอยืนยันคำเดิมว่าแบรด พิทท์หล่อเหลาที่สุดตอนเล่นเรื่อง Meet Joe Black)
.....................

พี่ทอม พอทำผมทอง คิ้วทอง ตาฟ้าแล้ว เหมือนจะหล่อน้อยลง
ดูจืดๆยังไงไม่รู้
พี่แกออกมาตั้งสองสามฉากแน่ะกว่านราจะนึกออกว่า
อ้าว ไอ้นี่มันทอม ครูซนี่นา
แถมในหนังดูหื่นๆยังไงก็ไม่รู้
เอาน่า มันแค่บทๆ


จริงๆ อยากจะบอกว่า แอนโตนิโอ แบนเดอราส ก็เล่นเรื่องนี้ด้วย
กำลังเอ๊าะเช่นเดียวกัน
เป็นเจ้าพ่อแวมไพร์ที่พูดติดสำเนียงอะไรสักอย่าง
แถมยังกระซิบแผ่วเบาตลอดเวลา ฟังไม่ออก
ขอไม่เอาภาพมาลง เพราะหล่อไม่พอที่จะได้ขึ้นบล็อกนาราโทโลจี ฮ่าๆ

ขอลาไปด้วยภาพหน้าเคลิ้มของแบรด พิทท์ ตอนถูกทอม ครูซดูดซอกคอ
อริ๊งอร๊างงง
ไปล่ะ ขอไปเช็ดเลือดกำเดาก่อนค่ะ

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

What A Bad Hair Day! (+Kitten Diary)

เมื่อวานนี้ หงุดหงิดแต่เช้า
นราขึ้นรถไฟฟ้าจากอ่อนนุชไปหมอชิต จะไปบ้านแฟน
โดยบัตรที่ใช้เป็นบัตรนักเรียนของน้องชายที่ยืมมา
ไม่ได้คิดอะไร เพราะปกติเช้าๆ ยิ่งวันอาทิตย์แล้วจะไม่มีคนมาคอยตรวจบัตร

ไหงวันนี้มันมีฟะ
นราก็ตกใจนิดหน่อย แต่ยังพยายามทำเนียนเดินออกไปนิ่งๆ
แต่ไม่รอด "น้องคะขออนุญาตตรวจบัตรด้วย"
ซวยละกู
แต่ยังไม่วายฟอร์ม ส่งบัตรประชาชนและบัตรนักศึกษาให้ไปอย่างสั่นเทา
แอบหวังว่าเขาคงไม่ดูวันที่บัตร นศ. หมดอายุหรอกนะ
เพราะมันหมดไปตั้งกะเดือนพ.ค.แล้ว

น่านไง กรูว่าแล้ว ไม่รอด
เจ๊เจ้าหน้าที่ถามว่า น้องเรียนจบหรือยัง
ด้วยความตกใจ บวกกับอยากได้บัตรคืน นราเลยตูแหลไปว่า
ยังค่ะ ลงเรียนที่ติดไว้อยู่ตัวนึงค่ะ
เจ๊ก็ว่า งั้นพี่จะยึดบัตรไว้ก่อน ให้น้องเอาหลักฐานการลงทะเบียนเรียนมาแสดงแล้วพี่จะคืนให้
เสร็จเลย อ๊าาาา จะไปมีได้ยังไง
สรุปว่าก็ต้องโดนยึดไปโดยปริยาย
.........................

ทีนี้ นราก็เดินลงมาอย่างหัวเสีย
เจอรถตู้ก็โบก แล้วขึ้นไปเลย อยากออกไปจากที่นั่นไวๆ
ปรากฏว่ารถวิ่งมาได้สักพัก นราก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
บางอย่างที่ทำให้เสียวสันหลังวาบบบ
เอ๊ย เมื่อกี้ว่าจะไปกดตังค์นินา เพราะเงินหมดแล้ว
แต่เจอตรวจบัตรก่อนเลยลืม
เปิดกระเป๋าตังค์ดู มีเศษเหรียญอยู่สิบห้าบาท กรุ๋งกริ๋งๆ
แต่ค่ารถยี่สิบห้าบาท
โอ๊ยยยย ฟายเอ๊ย เกลียดความเฟอะฟะของตัวเองจริงๆ

นราก็ตุ๊มๆ ต่อมๆ โทรบอกแฟน
แฟนบอกว่า รถถึงสี่แยกบางพลูแล้วโทรมา จะเอาเงินออกไปให้
นราก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
พอถึงแยก นราก็โทรหา
แต่วันนี้พี่รถตู้ซิ่งมาก วางหูปุ๊บ อีกีหนึ่งนาทีต่อมาก็ถึงที่หมายแล้วอ่ะ
แล้วแฟนกรูจะออกมาทันได้ยังง้ายยย
นราเลยต้องแบกหน้าอ้วนๆ อันแสนอับอายไปบอกคนขับว่า
พี่คะ ขอโทษนะคะ หนูมีเงินไม่พอ ลืมกดเงินมา มีอยู่สิบห้าบาทเนี่ย
ขอโทษจริงๆ นะคะ
โชคดีเจอคนขับใจดี เขาบอกว่าไม่เป็นไร
แต่อีเมียที่นอนๆ อยู่ลุกขึ้นหันมามอง
โอ๊ย อับอายจริงๆ เกิดมาไม่เคยทำแบบนี้เลย

นี่ขนาดอยู่เมืองไทยนะ
ไปอยู่เมืองนอกตัวคนเดียว จะรอดหรือเรา...
..........................

ตอนนี้หนูแมวตาลืม เดินแข็งขึ้นแล้วล่ะ น่าร้ากกก
เสียดายลืมเอากล้องแม่มา มีแต่กล้องมือถือน้องโมฯ ห่วยๆ
พอเดินเก่งแล้วก็ว่อนกันทั่วบ้านเลย ปีนออกมาจากตะกร้า
ร้องกันทั้งวัน ไม่รู้ร้องอะไรนักหนา
เพราะแม่แมวตัวเล็ก แล้วก็ท้องนี้ท้องแรก เลยไม่ค่อยมีนม
ก็เลยต้องช่วยกันป้อนนมแพะให้แทน เพราะไขมันสูงพอทดแทนกันได้
แต่ห้ามป้อนนมวัวให้ลูกแมวเด็ดขาดนะคะ เพราะมันยังย่อยแลคโตสในนมวัวไม่ได้
กินเข้าไปอาจจะท้องอืด ท้องเสีย แล้วก็เท่งทึงได้
ไม่มีนมแพะ ใช้นมเด็กทารกแทนก็ได้ค่ะ แต่ผสมให้เข้มข้นขึ้นเท่านึง


มีสี่ตัว ชื่อ เงิน ทอง โชคดี แล้วก็ ตุ้น (อันนี้นราตั้งให้เอง) ไม่ได้เข้าพวกเล้ย
ตอนนี้ยังแยกไม่ออกอ่ะว่าตัวไหนเป็นตัวไหน
รอให้มันโตก่อนนะ




อยากเอาใส่กระเป๋ากลับบ้านมาก
แต่กลัวไอ้จืดที่บ้านจะทับตาย
เมื่อวานก็มากลิ้งๆบนเตียง แล้วนอนพาดขา
โอ่ย สิบนาทีเท่านั้นแหละ ขาชาไปเลย
ไอ้จืด รุ่นเฮฟวีเวทค่ะ
แมวอ้วน เหนียวนุ่มหนืดมือ
.............................
ปล. นราหนักหกสิบแล้วแหละ เข้าขั้นวิกฤตอย่างแรง

ใบตองจ้า
นราไปอังกฤษเดือนตุลาค่ะ ต้นเดือนมั้ง
ใบตองไปเดนมาร์กมาอะหนุกป่ะ ไม่เห็นเอารูปมาอวดเลย

มุกกุ
นรายังไม่ได้สอนหรอกค่ะ ก็เขาส่งมาช่วยงานที่ฝ่ายกิจการต่างประเทศก่อน
ส่วนเรื่องเป็ด คงไม่กล้าเอามาย่างกินอ่ะ
เดี๋ยวโดนไล่ออกข้อหาประทุษร้ายเป็ด
เมื่อวานไปหาเอเจนท์ ไปเลือกหอพัก
เปิดหน้าแนะนำมาหน้าแรก ก็เจอรูปเป็ดเดินหน้าหอ
อืมมม ธรรมชาติดีจริงๆ

เอมิลี
นราว่าติดฝิ่นมันไม่ผอมอย่างเดียวอะดิ จะตายเอา
มาออกกำลังกายเป็นเพื่อนกันเหอะ ตอนนี้ขานราใหญ่เท่าเสาเข็มสุวรรณภูมิแล้ว
เรื่องแมวไม่ต้องห่วงนะคะ นราไม่แกล้งร้อกกก
ฮี่ฮี่ฮี่

แนนโกะ
ดูท่าทางล็อตนี้จะขนไม่ยาว เพราะพ่อเป็นแมวไทย
แต่ดูจากลักษณะขนแล้วน่าจะฟูนุ่มๆนะคะ
แบบว่าผสมกันออกมา
กุ้งญี่ปุ่นแพงเหรอ วันนั้นนรากินกุ้งแบบ เบื่อไปนานอ่ะ เรอออกมาเป็นกลิ่นกุ้งด้วย
โฮะๆๆๆ


วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Humanities in Suphan Buri (Vol.2)

ก่อนจะต่อภาคสองของทริปมนุษยศาสตร์
ขอแจ้งข่าวความคืบหน้าของนราก่อน
ในที่สุด หลังจากนั่งคิด นอนคิด เขมือบคิดอยู่นาน
ก็ตกลงใจได้แล้วว่าจะไป University of York ค่ะ
เพราะพอมาแยกเหตุผลที่ทำให้เราอยากไปแต่ละมหาลัย
พบว่าเหตุผลหลักที่ทำให้อยากไปเดอแรมนั้น
มีแค่การที่มันชื่อเสียงดีกว่า มีปราสาทเก่าแก่
และเป็นที่ถ่ายหนังแฮร์รี พอตเตอร์เท่านั้น แฮะๆ
ถ้าพูดถึงเรื่องคอร์สเรียน มันก็งั้นๆ นราก็ไม่ได้สนใจเท่าไร
เลือกเรียนในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับเราระยะยาวดีกว่าเนอะ
ปราสาทเดี๋ยวไปเที่ยวเมื่อไหร่ก็ได้
.................................

ม่ะๆ ต่อๆ
ความเดิมตอนที่แล้ว อ.นรา อิ่มหนำสำราญใจกับกุ้งและกุ้งและกุ้ง
ถึงเวลาเดินทางต่อไปแล้วค่ะ
ป้ายต่อไป เรามากันที่พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร
หรืออุทยานมังกรสวรรค์ค่ะ สนับสนุนการก่อสร้างโดยทั่นบรรหาร
เป็นมังกรยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
สร้างขึ้นเพื่อฉลองความสัมพันธ์ไทย-จีน 20 ปี และนำเสนอประวัติศาสตร์อารยธรรมจีนต่างๆ ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน


ด้านหน้าก่อนที่จะเข้าไปเป็นศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรีค่ะ
สวยแบบจีน ข้างในคลุ้งกลิ่นควันธูปบูชา
เจ้าพ่อหลักเมืองเป็นประติมากรรมสลักหินนูนต่ำรูปพระนารายณ์สี่กร
คาดว่าถูกพบโดยชาวจีนเมื่อกว่าร้อยห้าสิบปีที่แล้ว โดยวางจมโคลนอยู่ ชาวจีนจึงอัญเชิญขึ้นมาและสร้างศาลเป็นที่ประทับให้ด้วย


ข้างในมีซุ้มขายดอกไม้ ทองแผ่น ธูป เทียนเหมือนวัดทั่วไป
นราไม่ค่อยมีกำลังทรัพย์ ได้แต่ยกมือไหว้ขอพรแบบธรรมดา
ได้บุญไม่ได้บุญ มันอยู่ที่ใจย่ะ อิอิ แก้ตัวเข้าไปนั่น
............................

เข้าไปในพิพิธภัณฑ์มังกรยักษ์แล้ว เจ้าหน้าที่ก็แจกถุงพลาสติกสีฟ้ายืดๆมาให้
หน้าตาเหมือนหมวกคลุมผมสำหรับอาบน้ำ
แต่สงสัยว่าทำไมให้มาสองอัน
อ้อ ปริศนาทั้งหมดไขกระจ่างแล้ว เขาเอาไว้ทำแบบนี้ตังหาก


ฉลาดดีเนอะ อาจเป็นเพราะข้างในมันปูพรมหนา ทำความสะอาดลำบากมั้ง
เลยหุ้มเท้าคนเดินมันซะเลย กรั่กๆ เหมือนห่อมะม่วงกันค้างคาว

ก่อนเข้าไปในห้องจัดแสดง ก็มีผังปะไว้ข้างฝาผนัง
เทียบตารางเหตุการณ์สำคัญๆ ในยุคและราชวงศ์ต่างๆ ไว้ให้ดู
ไอ้เราไม่ค่อยสนใจเรื่องจีนๆ อยู่แล้ว เลยอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง
แต่บางอย่างก็คุ้นตาอยู่เหมือนกัน อย่างเครื่องกระเบื้องราชวงศ์หมิง


บอกตามตรงว่า ไม่คิดว่าจะเจออะไรแบบนี้เลย
นึกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมดา เงียบๆ เหงาๆ มีไอ้นั่นไอ้นี่ตั้งโชว์ไว้ให้ดูแค่นั้น
โอ้โห อลังการงานสร้างมาก เอฟเฟคกระจายยย
แสงสีเสียงสุดตื่นตา มีการยิงแสงเลเซอร์ลงมาเป็นภาพก็มี พื้นหมุนได้ก็มี
ประตูเป็นระบบเสียบกุญแจพิเศษแล้วเปิดปิดอัตโนมัติ
ถ้าออกมาไม่ทันมันปิดก็ซวย โดนขัง เพราะเปิดจากข้างในไม่ได้
.............................

ตำนานกำเนิดโลก
เขาว่าโลกสร้างขึ้นโดยเทพบิดรผานกู่ ที่สละชีวิตแยกแผ่นดินแผ่นฟ้าออกจากกัน ดวงตากลายเป็นพระจันทร์ พระอาทิตย์ เส้นผมกลายเป็นดาว ลมหายใจกลายเป็นสายลม ฯลฯ


ตำนานเกิดมนุษย์บอกว่า เทพธิดาหนี่วาปั้นคนหญิงชายคู่แรกจากดินแม่น้ำเหลือง
เป็นเหตุผลที่ทำให้ชาวจีนผิวเหลือง
เอ แล้วพวกคนผิวดำแถวบร็องซ์จะปั้นมาจากดินอะไรง่ะ ดินที่เกิดจากการเผาถ่านเหรอ


ห้องนี้โชว์พวกอาวุธโบราณที่ใช้ในยามศึกค่ะ
พวกอาวุธยาวๆนั่น ยาวเกือบสองเมตรแน่ะ ใหญ่ ดูหนักเชียว
เขาบอกว่า ชาวจีนสมัยก่อนตัวโต๊โต อาวุธก็เลยโต๊โตไปด้วย
สองเมตรเนี่ยนะ?
หนูว่าพี่เลิกจับอาวุธ แล้วไปเล่นมวยปล้ำเหอะ แชมป์ออฟเดอะเยียร์ชัวร์


โอ้ๆ ห้องนี้ตำนานเกิดมังกรสมัยราชวงศ์เซี่ย-ซาง
เรื่องก็คือ ปลาหลีฮื้อมันว่ายทวนน้ำตกหรือแม่น้ำอะไรขึ้นไปได้สำเร็จนี่แหละ
ก็กลายร่างเป็นมังกร
มังกรสีทอง แขวนลอยอยู่ข้างบนสวยงามมาก
แต่พอเปิดไฟสีแดงข้างในแล้ว เห็นโครงเหล็กเป็นปล้องๆ ดันดูเหมือนไส้เดือนไปซะฉิบ


ห้องนี้เด็ด ชอบมาก ให้สิบดาว
มาสุพรรณฯ ทำไมได้เจอท่านเปาด้วย
ทั้งท่านเปา หวังเฉา หม่าฮั่น หน้าถอดแบบจากที่เคยเห็นในช่องสามมาเด๊ะๆ
ตอนนี้กำลังจะประหารราชบุตรเขยล่ะ
หุ่นขี้ผึ้งเขาทำได้เนียนดีจริงๆ มีกระทั่งรอยตีนกาและรูขุมขน



"ประหาร!"
ท่านเปาประกาศก้อง
เมื่อสิ้นเสียง แผ่นไม้สีแดงที่ท่านเปาถือไว้ในมือก็กระเด็นปุ๊ออกมาทันที
พร้อมกับหวังเฉา (หรือหม่าฮั่นไม่รู้) ก็ยกมือขึ้นสับมีดประหารดังฉับ
ส่วนจั่นเจาและกงซุน กำลังจะตามมาเร็วๆนี้
.............................

เข้ามาสู่ยุคราชวงศ์ชิง ยุคที่ชาวจีนเป็น "คนป่วยแห่งเอเชียตะวันออก"
เหตุเพราะชาวจีนติดฝิ่นที่ฝรั่งอังกฤษเอามาแผยแพร่งอมแงม
นำไปสู่การที่จีนต้องปล่อยเกาะฮ่องกงให้อังกฤษเช่าถึง 99 ปี

นี่ถ่ายมาจากตู้ใบเล็กๆ ข้างในจัดตุ๊กตาปูนปั้นเป็นเรื่องเป็นราว
ชอบฉากมากเลย ทำละเอียดดี เห็นเสื้อ เห็นกางเกงที่แขวนอยู่ข้างหลังไหมคะ
หน้าตาคนติดฝิ่นดูเคลิ้มและป่วยได้อารมณ์มาก


จักรพรรดิองค์สุดท้าย


ปูยี จักรพรรดิวัยสามขวบ โอรสของพระนางซูสีไทเฮา
เขาไม่ได้แค่เอาตุ๊กตามาแต่งตัวแล้วแหมะไว้บนเก้าอี้นะ
เป็นหุ่นขี้ผึ้ง สวมเสื้อผ้าที่ตัดมาพอดีตัว ฉากข้างหลังเป็นภาพที่ฉายจากสไลด์
แจ่มแจ๋วหาใดปาน

จริงๆมีภาพมากกว่านี้ มีห้องที่พื้นหมุนไปรอบๆให้เราดูการแสดงตู้โชว์หุ่นจิ๋วพร้อมภาพสามมิติที่ฉายขึ้นมาได้ มีประวัติสาวงาม "ไซซี มัจฉาจมวารี" "หวังเจาจวิน ปักษีตกนภา" "หยางกุ้ยเฟย บุปผามิกล้าบาน" คือสวยชนิดปลาเห็นแล้วลืมว่ายน้ำ นกลืมบิน ดอกไม้ถึงกับอายกันเลย แต่ถ้าเอามาลงหมดคงเยอะไปนะคะ
ว่าแล้ว "นราบ่จี๊ เห็นทุเรียนเป็นไม่ได้ต้องกิน" ก็กลับไปขึ้นรถทัวร์ดีกว่า ถึงเวลาต้องไปที่หมายต่อไปแล้ว
................................

อันที่จริง ที่ต่อไปที่จะไปเยี่ยมชมตามตารางที่กำหนดไว้คือวัดไผ่โรงวัว
นราก็นึกดีใจ เพราะอยากไปดูวัดนี้มาตั้งนานแล้ว
ปรากฏ เขามาคุยกันว่า วัดนี้มันอยู่นอกเส้นทาง
ถ้าไปต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับมากขึ้น อาจจะกลับกรุงเทพฯ ได้ช้ากว่าเดิม
เลยอดไปตามระเบียบ
ฮื้ออออ ไม่ยอม เอาเปรตที่หนูควรจะได้ดูคืนม้าาาา

ชาวคณะเปลี่ยนใจไปวัดป่าเลไลยก์ AKA วัดขุนช้างขุนแผน
นราก็เข้าไปไหว้พระ (ไม่ซื้อธูปเทียนอีกแล้ว) แหะ แหะ
มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่มากอยู่ในโบสถ์
ไกด์บอกว่า ที่นี่จะมีพระปางเลไลยก์เป็นปางพิเศษ
ก็ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่านะคะ แต่ใหญ่มาก ใหญ่จริงๆ


เดินลัดไปข้างโบสถ์สักหน่อย จะเจอเรือนขุนช้าง
(ไม่น่าใช่ของขุนแผนนะ รายนั้นเขาจนไม่ใช่เหรอ)
เป็นบ้านไม้เรือนไทยสวยสะอาด ต้นไม้ร่มรื่น
มีป้ายไม้ทำเป็นรูปขุนช้างนอนเอกเขนกให้เราเอาหน้าไปใส่ด้วยละ
แต่นราขอบาย แค่นี้ก็ช้างพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มความช้างให้ตัวเองอีก


ปิดท้ายโปรแกรมของวันนี้ด้วยการให้อาหารปลาค่ะ
อาหารปลาที่นี่มีแบบเป็นถัง สิบห้าบาท เอาทัพพีตักเอา
ดีนะ ไม่ใช้ถุงพลาสติก ก็ไม่มีขยะ
เจอตะพาบน้ำตัวใหญ่บะลั่กกั้ก
อาจารย์ที่ยืนอยู่ด้วยกันบอกว่า เนี่ย เมื่อก่อนบ้านครูก็มี
มันลากหมาลงไปกิน
แอร๊ยยยย ตะพาบแน่เหรอจารย์ จระเข้รึเปล่าเนี่ยโคตรโหดเลย


กลับถึงมหาลัยทุ่มกว่า ถึงบ้านสองทุ่ม ตายสนิท
โชคดีอาจารย์ฟิลิปขับไปส่ง ไม่งั้นละก็ คงได้นอนที่มหาลัยนั่นแหละ ง่วงสุดๆ
........................................

มุกกุคะ
อย่าว่าแต่มุกเลย นราก็ขำเป็นบ้าไปเลยเหอะ ฮ่าๆ ที่แท้จระเข้มันก็เรียนหนังสือถึงป.สามนี่เอง
ถึงว่าทำไมอ่านหนังสือออก

ใบตอง
ขอบคุณที่มาแวะเยี่ยมจ้า
คอมเมนท์ไม่เป็นระเบียบไม่เป็นไร ขอแค่ใจสั่งมาเท่านั้นพอ
อะฮิ้ววววว

นังกระต่ายโฉด
ฉันว่าตลาดสามชุกมันก็ไม่ค่อยมีอะไรอ่ะนะ
จุดขายของมันคือความเก่า ความโบราณ ไม่มีอะไรมากหรอกถ้าเธอไม่ได้จะไปช็อปขนมกง ขนมรังนกกลับบ้านทีละสามโหล!

ท่าน รมต. กระทรวงคนรักแมว
ดิฉันใคร่ขอเรียนให้ทราบว่า บัดนี้ น้องแมวทั้งสี่ได้ลืมตาแล้ว เป็นที่บ้องแบ๊วน่ารักเป็นยิ่งนัก อนึ่ง ลูกแมวทั้งสี่ยังคงขาอ่อนแรงป้อแป้ จำต้องฝึกฝนการเดินต่อไป แต่ดิฉันจะคอยติดตามและรายงานการเจริญเติบโตอย่างใกล้ชิด
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ