วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

My Blog Is Now A Bi

Last night I read through my whole blog
and just realised how full of nonsense it is -_-"
Mainly I talked about my ordinary life, food, love, and stuff like that. Those entries I wrote when I was in England was kinda nice though as I had lots of wonderful moments there, and because my computer has decided when I arrived at bangkok in September that it had too much data in it and wiped out everything, including every photo I took there.

This is why I never trust technology. You never know what it has in its evil mind.

Right now I work at Bangkok University and I am trying to hard to get my arse back to England. I definitely fell in love with it. It was quite funny how much I whined, cried, and protested about studying abroad even before I know what England is like. Then I learned the fact of life:


"People change"


This is absolutely true. After six months, meeting lots of people whose ambition in academic stuff was high, I began to feel the urge to continue my study to PhD level. A voice in my head told me that I can be better than this, why stopping at MA when I can go further? At the end of my MA I decided to follow that voice, which cost me my relationship.

It hurt, yes, it hurt like hell.

To break up with someone always hurt, but to break up with someone when you still love them, man that's just even more painful

But anyway, I'm fine now. I'm with someone very nice (though he barely has time for me these days, and to be honest I'm quite lonely *sob sob*)


I wanna blog in English too because I noticed that my English skill is now increasingly dropping to the frightening level. Doing this might not be so helpful, but at least I will get to use English more.


Yesterday I dined alone.


I normally get very sensitive seeing someone eating alone in a restaurant. For some reasons I feel very sad for them. Why are they eating alone? Where are their friends? What about their family? If that person is an old person, man I'll get very sad.


Until I dined alone yesterday.


I was quite hungry at the end of the day, so I called my mum and my brother to ask if they wanted to dine together. Too bad mum had work to do, and my brother was busy practicing for the concert. So I went to the Japanese restaurant alone.

Right there, I found my peaceful space.

I don't think I have eaten in a restaurant alone before, so that was my first time. With a book in my hand, I started eating my dinner, which was massive: 12 salmon rolls, a full set of Yakiniku with salad, rice, and soup, plus green tea ice cream.


(I saw several waiters/waitresses glanced at the whole lot of food on my table and rushed to their friends in the kitchen. Seems like I have given them some kinda gossip tonight)

However, that was a nice experience.

I love reading while eating. It's a bad habit I know, but it just makes the food tastier, seriously. And to be able to read quietly while devouring my favourite food was a bliss.

I know I will look at people eating alone in a different way now.

Actually I will do a lot of eating alone next month, as I will be flying solo to Singapore. Yes!! Alone in Singapura! I'm both nervous and excited, but really, I can't wait!

PS. I'd be grateful if you go check my channel out
www.youtube.com/narawannara
Thanks loads!
..............

เมื่อวานไปดินเนอร์คนเดียวมาค่ะ

เลิกงานมาจากวิทยาเขตรังสิตก็หิวโซมาเลย โทรศัพท์ไปชวนแม่กับน้องชายไปกินข้าวด้วยกัน อยากกินอาหารญี่ปุ่น ปรากฏว่าแม่ติดงาน ท่าทางกำลังองค์ลงกับระบบคอมพิวเตอร์เฮงซวย เลยรีบวางสายก่อนโดนลูกหลง ส่วนน้องชายติดซ้อมดนตรีที่ม. สมตุ้ยเลยต้องไปกินคนเดียวอย่างช่วยไม่ได้ เพราะกระเพาะมันเรียกร้องก่อนสิ่งอื่นใด

ปกติจะไม่กินข้าวนอกบ้านคนเดียว เป็นคนมีปมง่ะ มีความรู้สึกว่าคนที่นั่งกินข้าวคนเดียวน่าสงสาร เพื่อนเขาไปไหน ครอบครัวเขาล่ะ ทำไมเขาต้องมานั่งกินคนเดียวด้วย เขาจะเหงามั้ย ยิ่งเห็นคนแก่นั่งกินข้าวคนเดียวนะ มองไม่ได้เลย สะเทือนใจอย่างแรง

แต่แล้วก็ได้พบความสงบสุขในรูปแบบใหม่

นราเนี่ยติดนิสัยอ่านไปกินไป เป็นนิสัยที่ไม่ดี แต่เลิกไม่ได้ วันไหนกินข้าวแล้วไม่มีหนังสือจะรู้สึกเหมือนอะไรมันขาดไปสักอย่าง เหมือนอาหารไม่อร่อย วู้ยอธิบายยาก
เมื่อวานพอรู้ว่าจะไปกินข้าวคนเดียว ถึงกับเดินอ้อมไปหอสมุด ไปยืมหนังสือมาสองเล่ม เอาไว้อ่านตอนกินโดยเฉพาะ
แนะนำหนังสือที่ทำให้อาหารอร่อย
Under the Tuscan Sun by Frances Meyes
Bon Appetit, Provence Series by Peter Mayle
Garlic and Sapphire by Ruth Rachel
แซบอีหลี

ว่าไปแล้วกินข้าวคนเดียวมันก็ดีเหมือนกันนะ มันเขินๆหน่อยตอนแรกเพราะไม่เคยทำ แต่พอกางหนังสือ กิน มีความสุขจังเลย
พนักงานก็บริการขยันขันแข็ง โค้งแล้วโค้งอีก คาดว่าถ้าเอาพรมแดงมาปูได้คงทำไปแล้ว
นราสั่งเยอะมาก เซ็ทหมูกระทะร้อนหนึ่งชุด แซลมอนโรลสองจานสิบสองชิ้น ไอติม
แอบเห็นพนักงานเสิร์ฟเหล่มองแล้วไปคิกคักกันครัว ดังอีกแล้วกรู อายยย

ต่อจากนี้คงมองการต้องนั่งทานข้าวคนเดียวในมุมมองที่ต่างออกไปค่ะ

อันที่จริงเรื่องกินข้าวคนเดียว อีกหน่อยก็ต้องกินคนเดียวสามมื้อสามวันแล้ว จะไปฉายเดี่ยวที่สิงคโปร์ค่ะ อิอิ ทั้งกังวลและตื่นเต้น ณ ขณะนี้ยังหาที่พักไม่ได้เลย ไม่อยากพักโรงแรมเพราะไปคนเดียว แพง และน่ากลัวอ่ะ

มิตรรักแฟนเพลง ขณะนี้นราเปิด YouTube Channel แล้วนะคะ แวะไปอวยกันหน่อย
www.youtube.com/narawannara
ขอบคุณคร้า

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

First Experience with a Fortune Teller

วันก่อนมีโอกาสได้ไปพบปะกับอาจารย์ท่านหนึ่ง
ซึ่งอาจารย์ท่านนี้มิได้สอนหนังสือแต่อย่างใด
แต่เป็นอาจารย์คล้ายๆกับนั่งทางใน บอกอนาคตอะไรได้ทำนองนั้น ถ้าอธิบายผิดต้องขอโทษด้วยไม่รู้เขาเรียกกันว่ายังไง ไม่มีเจตนาจะลบหลู่ค่ะ
เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสไปดูดวงดูอนาคตแบบนี้
ถามป๋าแล้ว ว่ารู้จักอาจารย์คนนี้ได้ยังไง ป๋าบอกรู้มาจากน้า
น้ารู้มาจากหนังสือ
น้าโทรไปหาอาจารย์ก่อน ถามว่าทำไมชีวิตถึงมีแต่เรื่องเดือดร้อน ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ
อาจารย์เงียบไปพักหนึ่ง แล้วถามน้าว่า คุณไปทำอะไรมา มีเด็กสองคนเขาตามเกาะแขนเกาะขาคุณอยู่ เขาไม่ปล่อยคุณเลย
น้าฟังแล้วสะดุ้งแหงๆ เพราะในอดีตมีเหตุเกี่ยวข้องกับการทำแท้งสองหน
เรื่องบางเรื่องมันก็อธิบายด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้เนอะ
ป๋าไปถามเรื่องที่ดิน พอถามเสร็จก็ให้อาจารย์ช่วยดูให้นรา
อาจารย์บอกว่า เป็นคนที่โชคดี กรรมหนักแทบไม่มีเลย ที่ได้ดีโชคดีผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้ตลอดเป็นเพราะกินบุญเก่า พร้อมทั้งแนะนำให้นราหัดทำบุญเพิ่มเติมบ้าง
อารมณ์คล้ายๆการเติมเงินมือถือมั้ง
พอบอกว่าเรียนเรื่องภาษา ท่านก็บอกว่าดีแล้ว ตรงโฉลกพอดี ในอนาคตจะเป็นคนมีชื่อเสียงด้านการแปล จะมีงานเยอะ เงินเยอะ ทำงานถึงขั้นบ้างานเลยทีเดียว
ฟังมาถึงตรงนี้ บอกตรงๆว่าความรู้สึกประมาณ "จริงเร้อ" มันผุดขึ้นมาทันที
เพราะรู้ตัวเองว่าเป็นคนโคตรขี้เกียจ ถ้างานไม่ต้องส่งก็ฝันไปเหอะว่าจะทำ
เป็นคนทำงานเท่าที่ต้องทำน่ะค่ะ ไม่ได้ขวนขวายอะไรมากมาย
แปลกใจที่อาจารย์ท่านพูดถึงเรื่องงานแปล
ท่านบอกเวลาแปลให้สร้างสำนวนของตัวเอง อย่าแปลห้วนๆ
แล้วก็ให้ระวังเรื่องปาก เป็นคนพูดตรงเกิน คิดอะไรก็พูดเลย นิสัยฝรั่ง
ใครรู้จักนราดีช่วยคอนเฟิร์มทีสิว่าอันนี้ตรงหรือเปล่า
นราตั้งใจไว้แน่นอนแล้วว่าจะไม่ถามเรื่องความรักเด็ดขาด
ไม่อยากรู้
เพราะถ้ารู้แล้วมันจะคิดมากไปเปล่าๆ
แต่อาจารย์แกแถมให้ง่ะ
พอพูดเรื่องเรียนจบแกต่อเรื่องความรักทันที จะบอกว่า ไม่เอ๊า ไม่อยากรู้ ก็ไม่ทันแล้ว
อาจารย์บอกว่า ตอนนี้ที่คบๆอยู่คือคู่กรรม
คู่บุญเราจะมาต่อเมื่อเรียนเอกจบแล้ว ดวงความรักจะพุ่งหลังเรียนจบ
ดวงเนื้อคู่ เป็นต่างชาติ แต่ไม่ได้อยู่ในที่ที่เราจะไปเรียน
อื่มมมมม
แถมบอกด้วยว่าปีหน้า เมื่อไปเรียนต่อ จะมีคนชั่วมาก เข้ามายุ่งเกี่ยว ให้ระวัง
เดินออกจากบ้านอาจารย์ด้วยอาการสั่นๆ คาดว่าเป็นเพราะบรรยากาศบวกกับความตื่นเต้นที่ได้ดูดวงอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในชีวิต
ก่อนกลับหยอดปัจจัยสมทบทอดผ้าป่ากับป๋าไปคนละร้อย
เป็นการประเดิมการต่ออายุบุญที่ดี
กลับมานั่งในรถ คิดกลับไปกลับมา
อาจารย์บอกว่า หนูไม่มีกรรมหนักมาถ่วงเลย เพราะงั้นชีวิตจะดีจะชั่ว ขึ้นอยู่กับหนูทำตัวเองทั้งนั้น
ข้อนี้ฟังแล้วสะอึก จริงๆเลย
เพราะตอนที่พลาดหวังป.เอกที่ยอร์ก นี่แหละคือสิ่งที่นราคิด
เรามีโอกาสมาเรียนแล้ว ถ้าก่อนหน้านั้นเราตั้งใจเรียนกว่านี้ ตั้งใจทำงานกว่านี้ มันคงได้คะแนนมากพอที่จะต่อเอกต่อไป
อาจารย์บอกด้วยว่า อย่าไปเรียนที่ลอนดอน จะเรียนไม่จบ แล้วตอนเรียนอย่ามีแฟน จะเรียนลำบาก เรียนไม่จบอีกเหมือนกัน
ถ้าคบไปตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่ จะเปลืองเนื้อเปลืองตัว
คิดดูดีๆแล้วอาจารย์คงบอกเราเรื่องความรักเพราะข้อนี้ละมั้ง
นึกถึงที่โน้ต อุดมเคยพูดเอาไว้ในเดี่ยวไหนสักเดี่ยว น่าจะเร็วๆนี้ เรื่องเกี่ยวกับนิสัยผู้หญิง
ชอบไปดูหมอ แล้วถ้าหมอทักว่ามึงกะกูไม่ใช่เนื้อคู่กัน มึงจะเลิกกะกูไหม
นราว่าไปดูดวงแบบนี้ นอกจากจะต้องมีวิจารณญานแล้วยังต้องมีสติพิจารณาด้วยนะ ไม่ใช่ตะบันเชื่อ
อาจารย์บอกว่าอนาคตจะดัง จะเงินเยอะ
กลับบ้านมากระหยิ่มยิ้มย่อง กูจะรวยๆๆ งานไม่ทำ วันๆชิวไปเรื่อยเพราะอาจารย์บอกแล้วว่าอนาคตเราจะรวย ไม่ต้องทำงานก็ได้ มันคงจะรวยหรอก
หรือหมอดูบอกว่าคนนี้ไม่ใช่เนื้อคู่ คบไปจะมีแต่เรื่องเดือดร้อน
กลับบ้านมาเลิกกับแฟนทันที
อันนี้บ้าไปแล้ว สติเสื่อมมาก
เรื่องความรักนราไม่ใส่ใจกับคำทำนายทายทักอะไรเท่าไหร่
โอเคเราอาจจะมีเนื้อคู่ คู่บุญอะไรจริง
แต่ชีวิตของเรา เราเลือกเอง ใช่หรือไม่
การที่เรามีเนื้อคู่รออยู่ ไม่ได้แปลว่าไอ้เนื้อคู่ที่ว่านี่มันจะเป็นคนดีเสมอไป
เป็นเนื้อคู่ มีดวงผูกพันกันมาแต่ปางก่อน แต่ชาตินี้เป็นคนขี้เกียจสันหลังยาวเกาะเมียกิน พนันเอาเหล้าแดก กับใครอีกคนที่ไม่ใช่เนื้อคู่ เป็นคู่กรรมกันมา แต่ขยันทำงาน อนาคตไกล ดูแลเราได้
ยังงี้ยังจะเอาเนื้อคู่อีกไหม?
คนไหนใช่ไม่ใช่ อยู่ที่เราเลือกเอง
คิดมากเรื่องความรักไปพักใหญ่ ตามประสาสาววัยรุ่น อิอิ
แต่พอคิดได้อย่างที่เล่าไว้ข้างบน ก็เลิกคิด
จะเกิดอะไรขึ้นก็คอยดูต่อไป คนที่ได้รู้จักได้คบมาจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครทำให้เราต้องเจ็บช้ำน้ำใจเท่าไหร่ ได้เจอแต่คนดีๆ คอยเป็นห่วงและช่วยเหลือ
ไอ้เนื้อคู่นะจะเจอเมื่อไหร่ก็เจอเถอะ ไม่ซีเรียส ตอนนี้ขอเงินมาก่อน ฮะฮะ
เรื่องสำคัญที่อยากรู้น่ะคือเรื่องเรียนต่อ
ถามอาจารย์ว่า มีโอกาสจะได้เรียนเอกต้นปีหน้าไหม ประมาณเดือนเมษา จากที่ปกติต้องรอจนเดือนตุลาถึงจะได้ต่อเอก
อาจารย์บอก หนูจะได้ เขาจะลัดคิวให้ ให้หมั่นทำบุญเสริมดวงกับเด็กๆแล้วเดือนเมษาหนูจะได้ไปนะ
อาจารย์บอกด้วยว่านิวคาสเซิลเป็นเมืองดีนะ มหาลัยดีทีเดียว
เรื่องนี้เสริมกำลังใจสมตุ้ยเป็นอย่างยิ่งฮ่ะ
จากนี้ไปเจอเด็กทีไหนจะกราดเข้าไปแจกตังค์แจกขนม
นราไม่ได้เชื่อเต็มร้อยนะ เผื่อใจไว้สำหรับความผิดหวังอย่างที่ทำเสมอแหละ แต่ลึกๆก็แอบหวังว่าอาจารย์ท่านจะพูดถูก อันนี้ก็ต้องรอติดตามผลกันต่อไป
นราวัลลภ์ รายงาน
สมหมาย ถ่ายภาพ
สุภาพ ตัดต่อ

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Because Life is Random#1

ช่วงนี้ไม่ได้อัพบล็อกเลย
งานเยอะมาก ไม่คิดว่าสอนหนังสือมันจะยุ่งอย่างนี้
ทุกวันกลับบ้านมาก็พุ่งหลาวใส่เตียงนอน หลับกู้ก้าๆน้ำท่าไม่ได้อาบเป็นประจำ (อายจัง)
ทำงานมาไม่ได้ไปเที่ยวไหน หรือทำอะไรหนุกๆเหมือนตอนอยู่อังกฤษเลย ก้มหน้าก้มตาปั๊มเงิน รอกลับไปอังกฤษลูกเดียว
คิดถึงยอร์กมาก คิดถึงอังกฤษมาก
อยากขนครอบครัวไปไว้ที่โน่นให้หมด
อยากกลับไป แล้วไม่ต้องกลับมาอีกเลย
ทนหนาวหน่อย แต่ไม่ต้องทนกับอากาศร้อนเหงื่อตกกีบ
ไม่ต้องทนกับคนไทยใจแคบบางคน
.

วันนี้มาแบบปรัชญา
เพราะอารมณ์ไม่ค่อยดี ตลกแดกไม่ไหว
แน่นอน ปรัชญายอดนิยมมันต้องเป็นเรื่องความรัก
คนเราเนี่ยนะ เวลารักใครแล้วเนี่ย มันมีสองแบบ
แบบแรกคือรักเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ รักเป็นเจ้าชีวิต
ไอ้รักน่ะมันรักแน่ แต่รักก็ต่อเมื่อคนที่เรารักเขาเป็นอย่างที่เราอยากให้เขาเป็น วันใดที่เขาเผยด้านที่เรารับไม่ได้ออกมา เราก็พร้อมจะหันความรู้สึกด้านลบใส่เขาทันที

อีกแบบคือรักเพราะรัก รักมีพื้นฐานจากความปรารถนาดี
แม้ว่าความรักฉันท์คู่รักมันจะหมดไปแล้ว แต่ความรักแบบนี้มักจะทิ้งความรักแห่งความปรารถนาดีเอาไว้ด้วยเสมอ ปรารถนาที่จะเห็นคนที่เราเคยรักมีความสุข ปรารถนาที่จะเห็นเขามีชีวิตที่ดี

น่าเสียดาย คนส่วนใหญ่ยังก้าวไม่พ้นรักแบบแรก
เมื่อถึงวันแตกหักกันไป ก็เหลือแต่ความคับแค้น
ถึงเวลาที่ตัวละครเอกนามว่าอัตตา หรือชื่อภาษาอังกฤษว่าคุณ Ego จะออกมาแสดงบทบาท
ใครอัตตาน้อยหน่อย ก็ไม่คิดอะไรมาก จบก็จบ
ใครอัตตาสูงหน่อย จะเกิดอาการทุรนทุราย ทนไม่ไหว ต้องการการแก้แค้นเอาคืนอย่างมาก เพราะถือว่าอัตตากูโดนเหยียบย่ำ
เกิดเป็นการถากถาง เสียดสี อะไรร้ายๆที่เมื่อก่อนไม่เคยพูด วันนี้ไม่เคยกลัวที่จะปล่อยมันหลุดจากปาก

คนเคยรักแบบแรก คอยเฝ้าดูแต่ความฉิบหาย ความหายนะ ความลำบากของอีกฝ่าย รอหัวเราะเยาะและเหยียบย่ำด้วยความสะใจ
คนเคยรักแบบสอง อยากรู้ข่าวคราวความเป็นไป นึกถึงด้วยความปรารถนาดีเสมอ คอยติดตามข่าวดีของอีกฝ่ายเพื่อจะได้ดีใจอยู่เงียบๆ

น่าเสียดาย
อยากเป็นเพื่อนกันต่อไป
แต่มุมมองมันต่างกันเสียแล้ว
ก็ขอเป็นคนเคยรักแบบใหม่ แบบที่สามจะดีกว่าไหม
ทีวีไดเร็กขอเสนอ
คนเคยรักแบบที่สาม
"เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอ"
อะไรดี อะไรไม่ดี คราวนี้ตัดทิ้งออกไปจากชีวิตให้หมด ไม่ต้องเก็บเผื่อเลือก
วิน-วิน กันทั้งคู่
ถ้าไม่อยากเจอกันอีกแล้วชาตินี้ ก็ไม่ต้องเจอ ต่างคนต่างอยู่
ส่วนฝ่ายที่ยังทำใจลำบากที่ชาตินี้จะไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อน ก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาคร่ำครวญหวนไห้ถึงความหลัง
ถือเป็นการให้เกียรติฝ่ายที่ไม่อยากเจอด้วยนะเนี่ย
เดี๋ยวจะหาว่ามีสิทธิ์อะไรมาเอาเขาไปคิดถึง
คิดถึงวันนี้เป็นวันสุดท้าย
ร้องไห้วันนี้เป็นวันสุดท้าย
แล้ววันต่อไป คนคนนี้ก็คือคนแปลกหน้าสำหรับเรา
วันต่อไปก็จะมีคนรู้จักลดลงไปอีกหนึ่งคน

เอาวะ
อย่างน้อย
ฝ่ายรีไซเคิลขยะของยอร์กก็คงดีใจ
ที่ได้กระดาษการ์ดดีๆจากเมืองไทยไปหมุนเวียนใช้
ถือว่าทำบุญ ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องโดนทิ้งหรือทิ้งใครไง