วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

"...and then he gave her his helmet"

ไล่อ่านบล็อกแรกที่ตัวเองเขียนไว้ มาจนถึงบล็อกหลังๆอันปัจจุบันแล้วพบว่า ตัวเองนี่เปลี่ยนไปเยอะนะ บล็อกแรกอัพเดทเรื่องชีวิตวัยเรียน ตุ๊กตุ่นตุ๊กตา เฮฮาตามประสาสาวน้อย พอมาเรียนอังกฤษก็เพ้อรำพันกับธรรมชาติอันสวยงาม ใบไม้ใบหญ้าสดใสเป็นคุ้งเป็นแคว ไล่มาเรื่อยๆจนพบว่าเอ็นทรี่หลังๆเริ่มมีด้านมืดเข้ามาปะปน สุดท้ายสรุปคือ กลายเป็นคนมองโลกแบบ realistic และ pessimistic ไปแล้ว โทษอังกฤษดีมั้ยนะ เพราะตั้งแต่มาเรียนที่นี่ก็เกรียนเอาๆ เกรียนไม่เกรงใจใครเลย เอาเป็นว่าขอโทษแฟนบล็อกด้วย (ถ้ายังมีอยู่บ้างอะนะ เหอะๆ) นะคะ หากแวะเข้ามาเพราะอยากรู้ว่าชีวิตในอังกฤษเป็นยังไง เพราะตอนนี้ดิฉันจะใช้พื้นที่เก่าแก่ตรงนี้เป็นศูนย์บัญชาการความเกรียนส่วนบุคคล (TM) แล้วค่ะ

เปลี่ยนหัวบล็อกซะอล่างฉ่างปานนี้ น่าจะพอรู้แล้วว่าดิฉันจะเกรียนเรื่องอะไร ขอเกริ่นย้อนไปเมื่อสมัยอาณาจักรทวาราวดี เมื่อดิฉันยังรุ่นราวเอ๊าะๆสัก 18 ได้ ใช่ค่ะ ดิฉันไม่ได้เกิดมาหน้าแก่แบบนี้เลย ก็พอจะมีวัยเด็กกับเขาบ้างเหมือนกันค่ะ คือดิฉันจะบอกว่าตัวเองก็เคยเป็นวัยรุ่นที่โลกทั้งโลกเป็นสีชมพู สีกุหลาบห่าเหวอะไรก็ว่ากันไปเหมือนกัน ชีวิตทั้งหมดหมุนรอบความรัก เฝ้าฝันถึงเจ้าชายหนุ่มหล่อที่หน้าตาเหมือนนายแบบน้ำหอม Lacoste คนนั้นทุกวัน พอมีแฟนก็ลุ่มหลงทุ่มเท ชีวิตนี้กูไม่มีใครสำคัญเท่านี้อีกแล้ว ทะเลาะกับแฟนทีก็น้ำตาหยดน้ำตาย้อย หมดสิ้นแล้วความหวังอันสูงสุด เปิดเพลงเศร้าซ้ำไปซ้ำมา รีดผ้าไปร้องไห้ไป ดราม่ามั้ย

ตอนนี้เป็นอีป้าวัยชรา มาคิดย้อนไปก็ทั้งฮาทั้งอาย โอ๊ยทำไปได้หนอกู ช่วงนั้นพ่อแม่คงหนักใจมากที่มีลูกสาวเป็นนางเอกมิวสิกวิดีโอ แฟนมาหาทีก็รีบแล่นออกไปเจอกระดี๊กระด๊า ทะเลาะกันก็นั่งเหม่อลอยไม่กินข้าวปลา ประกอบกับช่วงเรียนจบโท ได้มีประสบการณ์ความรักที่จบไม่สวยเท่าไหร่ ทำให้ดิฉันกลายเป็นเกรียนแก่กร้านโลกยังเช่นทุกวันนี้ ขอออกตัวก่อนว่าดิฉันไม่ได้เป็นคนต่อต้านความรัก ความหวาน ความโรแมนติกนะคะ ก็เป็นคนชอบดอกไม้ ชอบของขวัญ ชอบเงินและทรัพย์สินมีค่าทุกประเภทเหมือนกัน แต่ตั้งแต่เล่นเฟซบุ๊กมา ก็ได้เห็นข้อความเกี่ยวกับความรักที่โพสท์กันเต็มหน้าจอมากมาย บางอันก็น่ารักดี แต่เห็นบางอันแล้วมันตะหงิดๆ ยกตัวอย่างเช่น "จะทำยังไงถ้าคนที่ทำให้เราหยุดร้องไห้ได้ คือคนที่ทำให้เราเสียน้ำตา" เป็นไงซึ้งมั้ย แม่งอ่านแล้วโดนนนน แต่ดิฉันอ่านแล้วคิดได้เป็นข้อๆดังนี้

1) ที่ต้องร้องไห้ ร้องเพราะอะไร ถ้าร้องเพราะงอนที่แฟนไปคอมเมนท์บนเฟซบุ๊กของเพื่อนผู้หญิงที่หล่อนไม่รู้จัก ก็ขอเชิญไปนอนกลางทางม้าลายให้รถเทศบาลเหยียบเสียนะคะ หรือถ้าร้องเพราะแฟนนอกใจไปคบชู้ หล่อนยังจะร้องไห้ให้เสียเกลือแร่เปล่าๆกับผู้ชายสันดานกล้วยกะทกรกพรรค์นี้อีกเหรอคะ ร้องน่ะร้องได้ ดิฉันเองก็ร้องบ่อยค่ะ แต่ร้องแล้วควรรู้จักหยุดด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปพึ่งพาให้ใครมาหยุดน้ำตาให้นะคะ หญิงไทยแข็งแรงค่ะ
2) โปรดพึงระลึกว่า เวลาหล่อนร้องไห้ ผู้ชายมันไม่มานั่งถามหรือโทรหาเสมอไปหรอกว่า เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม เผลอๆแม่งนั่งเล่นดอทเอหรือวินนิ่งอยู่ร้านหน้ามหาลัยสบายใจเชิ้บๆ ไม่ได้รู้เหนือรู้ใต้อะไรกับความโศกาของหล่อน เพราะฉะนั้นเงียบๆไว้แล้วรอเวลาเอาคืนหนักๆเลยดีกว่า

จุดประสงค์สำคัญของบล็อกเก่าแฝงเงาใหม่นี้ ไม่ได้เพื่อเอาไว้สนองความปากกรรไกรของดิฉันเพียงอย่างเดียว แต่อยากให้เป็นเบรคอันเล็กๆของหนุ่มสาวให้โรแมนซ์กันอย่างมีสติ เพราะส่วนตัวคิดว่าสเตตัส/คำคมหลายๆอันมันฟังดูดีมากๆ อ่านแล้วเคลิ้ม แต่มันแย้งได้ด้วยหลักความเป็นจริงบางอย่างจากชีวิตจริง ที่ไม่สามารถจะโรแมนติกกันได้อย่างเดียวตลอดไป อนึ่ง สเตตัส/คำคมที่ดิฉันยกมาจิกกัดในบล็อกนี้ หากเพื่อนคนใดเคยโพสท์มาก่อนโปรดอย่าเข้าใจผิดว่าดิฉันเอามาหลอกด่านะคะ ดิฉันโจมตีที่เนื้อหาสเตตัส/คำคม มิใช่ตัวบุคคล และต้องขอบคุณที่แบ่งปันสเตตัส/คำคม ให้ดิฉันเกิดไอเดียเอามาเกรียนในนี้ต่อไป

มาเริ่มกันเลยดีกว่า ข้อความต่อไปนี้ดิฉันหาที่มาอันเก่าไม่เจอ แต่น่าจะมาจากเฟซบุ๊ก จะสรุปโดยสั้นไว้ดังนี้:

คู่รักคู่หนึ่งขับมอเตอร์ไซค์ไปตามถนน โดยฝ่ายชายเป็นคนขับ และฝ่ายหญิงเป็นคนซ้อน สักพักหนึ่งฝ่ายหญิงรู้สึกว่ามอเตอร์ไซค์วิ่งเร็วมากจนน่ากลัว จึงบอกแฟนให้ขับช้าลงหน่อย แต่แฟนหนุ่มก็บอกว่า ขับเร็วๆแหละดีแล้ว สนุกดี อะไรทำนองนี้ สักพักฝ่ายชายก็ส่งหมวกกันน็อกให้แฟนสาวแล้วบอกว่าฝากใส่หน่อย เกะกะมองทางไม่เห็น ไม่นานหลังจากนั้นทั้งคู่ก็เบรกแตกแหกโค้งไปชนต้นไม้ โดยผู้ชายเสียชีวิต สรุปคือ มอไซค์เบรกแตก ผู้ชายไม่อยากให้แฟนตกใจจึงแกล้งบอกว่ากำลังซิ่งรถเล่น แล้วเสียสละหมวกกันน็อกให้แฟนด้วยความรัก ทำให้หญิงสาวรอดมาได้นั่นเอง
หากจำมาไม่หมดหรือไม่ถูกต้องนักต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่เอาล่ะ มาวิเคราะห์กันซิว่าทำไมเรื่องราวความรักความเสียสละสุดโรแมนติกเรื่องนี้ถึงได้เข้าข่ายโรแมนซ์ที่สวยแต่แดรกไม่ได้

1) ริจะขี่มอเตอร์ไซค์ แต่ไม่รู้ว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินอย่างเบรคแตกต้องทำยังไง มอเตอร์ไซค์นะคะไม่ใช่จักรยานตราจระเข้ จะได้เอาเท้าลงไปแถ่ดๆๆแทนเบรกได้เวลามันวิ่งเร็วเกิน จะขับรถขี่ราก็ควรจะขับ "เป็น" ไม่ใช่ขับ "ได้" อย่างเดียว แถมการที่รับคนอื่นขึ้นมาซ้อนยิ่งจะเพิ่มความรับผิดชอบมากขึ้นไปอีกด้วย ไปหาอ่านเองนะเรื่องทำยังไงเวลามอไซค์เสียการควบคุม

2) "...แล้วส่งหมวกกันน็อกให้หญิงสาว..." นั่นหมายความได้สองอย่าง หนึ่งคือ มีหมวกกันน็อก แต่ไม่ใส่ทั้งคู่ ซึ่งเป็นนิสัยที่เฮงซวยมาก หรือที่เฮงซวยกว่านั้นคือ ไอ้ผู้ชายเป็นคนใส่หมวก แล้วให้ผู้หญิงนั่งหัวเปลือยลุ่นๆท้าแดดลมและขอบกั้นถนน ถ้าผู้ชายมันเป็นห่วงผู้หญิงจริง มันต้องเอาหมวกให้ผู้หญิงใส่ตั้งแต่ก่อนออกรถแล้วโว้ย คนขี่มอไซค์ออกไปซื้อโจ๊กหน้าซอย ไม่ใส่หมวกเพราะคิดว่าแป๊บเดียว ใกล้ๆ แว่บเดียวแบนเป็นหมึกบดก็เห็นกันอยู่บ่อยไป

แต่ในข้อนี้ดิฉันไม่อยากว่าผู้ชายฝ่ายเดียว เพราะผู้หญิงก็ควรจะรู้จักดูแลตัวเอง ดูแลกันและกันด้วย หาหมวกมาใช้ซะทั้งคู่แหละ ไม่ใช่มันไม่มีหมวกให้กู กูก็นั่งโต้ลมไปอย่างนี้เบรคแตกเมื่อไหร่ค่อยคิดกันอีกที

อย่างหนึ่งที่ดิฉันยกให้ผู้ชายในเรื่องคือ อย่างน้อยก็ยังคุมสติได้ยามเกิดเหตุฉุกเฉิน แต่ยังไงก็เหอะ ดิฉันก็ยังเห็นว่าเรื่องซึ้งเรื่องนี้มันไร้สาระสิ้นดี วันหลังถ้าใครต้องนั่งมอไซค์ซ้อนท้ายโดยไม่มีหมวก ก็บอกไปเลยว่า ขอหมวกด้วย ไม่ต้องรอให้รถแหกโค้งก่อนหรอกถึงค่อยมาแสดงว่าเมิงคิดถึงสวัสดิภาพของกูเหนือสิ่งอื่นใด

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Racist Jokes Are Not Funny

คำเตือน: เนื้อหาวันนี้ซีเรียสจริงจัง อาจพาเครียดนิดหน่อย หากท่านมีอาการข้างเคียงหลังอ่านโปรดปรึกษาแพทย์

นราชอบรายการทีวีของอังกฤษมากๆ ทึ่งในคุณภาพของรายการโทรทัศน์หลายรายการ โดยเฉพาะ Planet Earth และพวกสารคดีทั้งหลายของ BBC ดูแล้วแบบ เออ มันไปตามถ่ายได้ไงอ่ะ ทั้งแสง สี เสียง คำบรรยายมันยอดเยี่ยมจริงๆ วันก่อนดูสารดีปลาโลมา พี่แกก็ตามถ่ายใกล้จนเห็นรูก้นปลาโลมาทีเดียว ดูแล้วก็ให้สงสัยว่าเขาลงทุนไปเท่าไหร่ถึงผลิตงานชั้นดีแบบนี้ออกมาได้ แต่ไอ้รายการห่วยๆก็แยะเหมือนกัน อย่างพวก Reality TV, Caught on Camera เนี่ย ปีนี้ปาเข้าไปปีที่เท่าไหร่แล้ว มันก็ยังเอาวิดีโอจากปี 1994 สมัยไดโนเสาร์มาให้ดู

แต่นะ ดูทีวีฝรั่งมากๆ มันก็เบี่ยเป็นเหมือนกัน บางทีก็อยากดูอะไรที่เราฮาได้โดยไม่ต้องแปล ได้ฟังเสียงภาษาที่เราคุ้นเคยมันก็แก้เหงา แก้คิดถึงบ้านได้เหมือนกัน รายการหลักๆที่นราดู อันดับหนึ่งเลย คนอวดผี โดยจะดูเฉพาะตอนประสบการณ์ขนหัวลุกกับตอนบรรเทาทุกข์ผี ไอ้ตอนพิสูจน์บ้านผีนี่ไม่ดูค่ะ เห็นสาวๆจากทางบ้านบางคนแล้วรำคาญ มาล่าท้าผีตอนตีหนึ่งตีสองแต่แต่งตัวเหมือนจะไปอาร์ซีเอด้วยแฟชั่นสะหมีเหอล่าสุด

พี่ป๋อง - น้องแอลฟี่/ลูกแพร์/อัลมอนด์/ชิฟฟ่อน (หรือชื่ออะไรก็แล้วแต่ที่บรรดาพ่อแม่สรรหามาตั้งให้ลูก โดยไม่ได้คิดเลยว่าพอลูกตัวเองอายุ 60 แล้วชื่อมันจะไม่เข้ากับวัยอย่างแรง) ไปนั่งห้อยขาที่บันไดครับ
น้องจากทางบ้าน - โอ๊ยพี่คะ ขาหนูเย็นมาก มันวูบวาบไปหมดเลย พี่หนูกลัววววววว
...

เมิงไม่ต้องไปนั่งตรงบันไดบ้านผีสิงหรอก ให้ไปนั่งในห้างคนเยอะๆเมิงก็เย็น ฟาย สั้นขนาดนั้นไม่เย็นก็แปลกแล้ว

เมื่อวานไปเจอรายการหนึ่ง เป็นรายการที่มีช่วงหนึ่งเป็นช่วงให้คนทางบ้านมาร้องเพลงแล้วให้กรรมการรับเชิญทายว่าใครร้อง ซึ่งนราก็สนับสนุนนะ เพราะเชื่อว่าคนมีพรสวรรค์ยังมีอีกมากแต่ขาดโอกาสแสดงตัว ตอนแรกๆก็เป็นคนทั่วไปธรรมดา หลังๆเริ่มมีเป็นเด็กบ้าง สาวประเภทสอง แล้วก็มีต่างชาติ เมื่อวานนี้เป็นแนวฝรั่งสามคนมาร้องเพลงไทย คนนึงเป็นฝรั่งแก่ๆ อีกคนเป็นหนุ่มผิวสี อีกคนเป็นหนุ่มอิตาเลียนหล่อฉิบหายยยย

แต่ที่เห็นแล้วมันเซ็ง มันสมเพชเวทนายังไงบอกไม่ถูก คือกิริยาของพิธีกรหญิง และบทสำหรับฝรั่งแต่ละคน เข้าใจว่าทางรายการคงอยากให้มันออกมาตลก เลยให้พิธีกรหญิงคนนี้มาทำหน้าที่นัยว่าเป็นล่ามแบบตลกๆ โดยพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้เป็นซำเนียงฟารังฮายมันดูอินเทอร์แนชั่นน่าว เสียเวลาไปเกือบสิบนาที โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย คนดูไม่รู้เรื่อง ฝรั่งไม่ได้พูด มีแต่แม่คนนี้พ่นภาษานกแก้วนกขุนทองซ้ำไปซ้ำมาด้วยเสียงที่แหลมมาก แหลมแบบที่ว่าอยากลุกไปตบสักฉาดให้มันเงียบเหลือเกิน ที่สำคัญคือมันไม่ตลก มันเฝือ และมันดูงี่เง่ามากๆ (อ้างอิงได้จากความเห็นผู้ชมคลิปในยูทูป)

พอมาถึงหนุ่มลูกครึ่งอิตาเลียน อีกสิบนาทีก็เสียไปกับการรอให้แม่พิธีกรหญิงกระบิดกระบวนขวยอาย โอ้โลมปฏิโลมสุดหล่อคนนี้ให้เสร็จ เห็นอย่างนี้แล้วมันทู่เรสลูกกะตา นราเองไม่ปฏิเสธว่าเคยบ้าผู้ชายฝรั่งแบบสุดๆ ชนิดเฝ้าฝันถึงหายใจเข้าเป็นผมบลอนด์ หายใจออกเป็นตาฟ้า ไปเดินห้าง เที่ยวไหนนี่สอดส่ายสายตามองหาฝรั่งไว้เชยชมเป็นขนมหวานก่อนเลย แต่ในฐานะประธานสมาคมเหล่ฝรั่งแห่งประเทศไทย การเหล่ควรจะอยู่ในศีลธรรมและวัฒนธรรมอันดีของประเทศ การเหล่ฝรั่งถือเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง เพราะยากนักที่จะเหล่ได้อย่างแนบเนียนสมเป็นกุลสตรีแต่จิกลึกยิ่งกว่าอีกาปากเหล็ก ใครสนใจวิธีเหล่ฝรั่งแบบแนบเนียนให้ส่งจดหมายจ่าหน้าซองถึงตัวท่านเองมาหานรานะคะ

พอถึงตาหนุ่มผิวสีร้องเพลง ทางรายการก็คงกำหนดบทว่าให้เต้นท่าสุดท้ายเป็นท่ายกแขน โดยให้แดนเซอร์หญิงมาซบแล้วทำสลบเป็นลมไปกองกับพื้น จริงอยู่ว่าเรามักมีภาพรวมของคนชาติต่างๆอยู่ในหัว เช่น เราบอกว่าคนผิวดำกลิ่นตัวแรง คนจีนเสียงดัง คนญี่ปุ่นสุภาพ ซึ่งบางทีมันไม่จริงเสมอไป แต่นั่นเป็นเรื่องของทัศนคติและประสบการณ์ส่วนบุคคล การเอาเค้ามาเล่นมุกตลกที่เราคนไทยมองว่าฮาสัดๆ มันเหมือนเอาเค้ามาเป็นปาหี่ออกทีวีมั้ย เป็นเรื่องสมควรหรือไม่ ลองนึกดูว่าเราเล่นมุกคนดำตัวเหม็นแบบนี้ ถ้าคนไทยสักคนไปออกรายการฝรั่ง แล้วพิธีกรมาทำตลกบริโภค โอ้ มาจากไทยแลนด์เหรอ ปิงปองโชว์ให้ดูหน่อย เราจะตลกออกกันมั้ย

อีกเทปนึงยิ่งร้ายใหญ่ พิธีกรหญิงก็นะ มามุกเดิม พ่นภาษา "...อิสสะมะแค่วอะสะเยสคิสซะเอิ้ล ฯลฯ" แล้วก็ถามแขกรับเชิญ "ยู วาย อา ยู โซ แบล็ก เนี่ย แบล็กกว่าเพื่อนยูคนอื่นๆเลย" ฟังแล้วก็หน่ายกับความไร้ความคิดของทางรายการและพิธีกรหญิงอย่างยิ่ง เล่นได้แต่มุกตลกไม่สร้างสรรค์ เอาจุดด้อยของผู้ร่วมรายการมาเป็นเรื่องฮา ทำไมต้องยกเรื่องสีผิวมาเป็นเรื่องตลก ให้คนดูหัวเราะกับความดำของเขา เป็นคุณจะรู้สึกอย่างไร มาออกรายการในประเทศที่คุณพูดภาษาของเขาไม่ได้ แล้วมีพิธีกรมาพูดสำเนียงเลียนเสียงภาษาของเขาแต่คุณฟังไม่รู้เรื่อง คุณไม่เข้าใจ แล้วคนดูก็หัวเราะกันครืนทั้งห้องส่ง โดยมีคุณยืนเด๋อไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

รายการนี้เป็นรายการดีนะ แต่ไอ้มุกตลกหางแถวห่วยๆนี่แหละที่จะพารายการลงเหว

จบมันดื้อๆแบบนี้แหละ ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะที่พาดพิงถึงเชื้อชาติต่างๆ ไม่มีเจตนาจะล้อเลียนใดๆทั้งสิ้นค่ะ

*******************

Warning: Today's blog entry will be quite serious. Please do not expect it to be as funny as usual (if it ever be). If you have side effects after reading, consult your doctor.

I love English TV programmes. I'm often astonished by the amazing quality of them, especially Planet Earth and other BBC documentary. I always wonder how they can make such wonderful programmes - everything is so good, from camera work to narrating voice. I just watched one about dolphins the other day. The cameraman obviously got so close to the dolphins I can actually see their anus! I dare not think about how much they have spent to make such wildlife documentary. But, of course, there are also awful TV shows, for example, Caught on Camera. We're now living in the 21st century and yet they're still showing us videos from 1990s.

But eventually, I always have to come back to Thai TV shows, because sometimes I do feel like hearing something funny without having to translate them into my language, and by doing so it saves me from homesick too. What I watch the most often is Ghost TV, but I only watch the parts when people come talk about their supranatural experience and when the medium comes solves people's ghostly problems. The part when they go to haunted houses I wouldn't lay my eyes on at all - it's pure annoyance. I just get irritated everytime I see female volunteers come to this ghost hunting, at midnight or so, at a deserted place with loads of plants and trees growing like jungle, wearing extremely short shorts. Here is the most idiotic conversation in my opinion:

The Boss - Right, now go sit on the wooden stairs and hang your legs between stair boards.
The girl - OH MY GOD, my legs are so cold! It's freezing cold! I'm scaaaaaaaared!

Yeah, sure. With those shorts you will still feel cold sitting in a crowded department store.

Yesterday I came across one TV show that lets people from home come on stage and sing, which I agree that it's a good idea because I believe that there are so many potential stars waiting to be discovered. At first it was just an ordinary singing contest, then there were kids, ladyboys, and foreigners singing Thai songs. What I saw yesterday were three foreigners: an old man in his 50's, a coloured dude from Cameroon, and a drop-dead gorgeous Italian lad.

But what really bored me was the way the female presenter acted towards each contestant - or maybe that was in her script. I do understand that the show wanted this to be hilarious, using this female presenter as a funny interpreter by speaking something that sounded foreign, pretending she was fluently speaking English, but that was both pathetic and silly (according to comments left on YouTube.com). Ten minutes was lost on how she kept blabbering alien language to contestants. Audience had no idea what she was saying. The contestants didn't get to say a word. She was like a parakeet with extremely annoying high-pitch voice, so high you feel like going there and slapping her till she's silent.

When she moved on to the handsome Italian guy, another ten was spent on acting shy and flirty with him. I don't deny that I was once crazy about western guys, so crazy I dreamed of blond hair when I inhaled and blue eyes when I exhaled. Wherever I went, the first thing I will do was to look for some eye-candy western "farang" boys. However, on behalf of Hot Farang Spotting Association, I suggest that such activity must be conducted within proper Thai cultures and traditions. This is indeed an art and you should learn how to enjoy watching hot western guys secretly from a distance - not drooling all over him, giggling and shouting to the world that you have found the father of your future children.

When it was the Cameroonian guy's turn, I bet he was told to finish his song by raising both arms up while the dancers, dancing close to his armpits, acting dizzy and collapsing to the floor. This was a horrible joke about stereotypes. We do have different stereotypes for people from different countries: coloured people smells, Chinese people talk loudly, and Japanese people are polite, for example. These stereotypes are not always true and it greatly depends on personal attitudes and experiences. Mocking someone about something we think is really funny about them ON TV is such a cheap idea. What would you say if a Thai person going to a foreign TV show is asked "Oh, you're from Thailand? Can you do Ping Pong Show?" Of course we will be mad at it - something that the Cameroonian contestant had all the rights to be.

Another tape was even worse. The female presenter, still going on and on with a sick joke of speaking English-sounding bullshit, finally asked one contestant "...Why you so black? Your friend not very black, why you black than them?" I can't help but feeling so sick of how idiotic this show and the presenter can get. It was as if making fun of people's skin colours was the only thing they can think of to keep the audience laughing. Imagine yourself in a foreign TV show in a foreign country where you cannot speak nor understand its language, then the presenter starts mocking your language, saying things you don't understand and hence not know what to reply, then everyone in the studio laugh their ass off, leaving you confused of what is going on. How terrible would that feel?

I'm gonna stop right here because this is the longest blog entry I have ever written. I hereby apoligise for mentioning some nationalities in my writing. I have no intention to insult or anything.







วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

9500ish Miles Apart, Still We're Looking at the Same Moon



เมื่อวานฝนตกกว่าครึ่งวัน อากาศเย็นสบายชื่นใจมาก เหมาะแก่การนอนอืดอ่านหนังสือบนเตียงแล้วหลับกู้ก้าเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่ได้ปวดเนื้อปวดตัวไปหมดเพราะบ้าเล่นแบดมินตันไปสองชั่วโมงติดๆเมื่อวันเสาร์ก็คงดีกว่านี้
ตอนนี้เดินตลกมาก เดินเหมือนผีซอมบี้ไมเคิล แจ็กสัน
อยู่มาสองเดือน ไม่เคยรู้สึกว่าบ้านมันใหญ่แบบนี้มาก่อนเลยให้ตาย
ทีวีก็ไม่มีรีโมท กว่าจะกระเดื๊อบลงจากโซฟาไปกดเปลี่ยนช่องได้นี่ ทรมานปางตาย ขึ้นลงบันไดไม่ต้องพูดถึง สมเพชตัวเองเหลือเกิน ค่อยๆเลื้อยลงมาตามขั้นบันได หงิกงอง่อยแดกเป็นอันมาก
เอาน่ะ เพื่อสุขภาพที่ดีและรูปร่างสวยงามไม่อ้วนอืดเหมือนวัวตกมัน ก็ต้องอดทนเข้าไว้

โอ๊ะ อัพเดทการจับจ่ายสักเล็กน้อยค่ะ
วันเสาร์ก่อนไปตีแบด แวะเข้าเมืองไปซื้อรองเท้ากีฬา เพราะคู่ที่ซื้อปีที่แล้วไม่ได้เอากลับมาจากไทย แม่งี้บ่นใหญ่ ได้ FILA มาคู่นึง สีดำ 22 ปอนด์ ลดแล้วนะเนี่ย
แล้วก็ซื้อไม้แบดมาเป็นของตัวเองซะเลยหนึ่งไม้ YONEX Nanospeed Alpha X อะไรสักอย่าง
ใช้ได้ดีพอสมควร ไอ้เรามันก็ไม่ใช่ทีมชาติอะไร เอาไม้ระดับกลางๆที่ใช้ได้นานๆก็พอแล้ว
พูดแล้วก็คิดถึงไม้ Kumpoo ที่บ้าน ใช้โคตรดี เบาและเด้งดึ๋ง ชอบมาก รู้งี้จิ๊กใส่กระเป๋าเดินทางก่อนมาก็ดีหรอก

ช่วงนี้พระอาทิตย์ตกช้ามาก
เกือบสี่ห้าทุ่มโน่นฟ้าถึงมืด
ไอ้เรานั่งเล่นทำโน่นทำนี่เมื่อวาน รู้สึกตัวอีกทีก็มืดแล้ว
มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นพระจันทร์ครึ่งลูกเอียงกะเท่เร่อยู่บนฟ้า
คิดถึงบ้านจังเยย

ในหนังสือชุดบ้านเล็กของลอร่า อิงกัลส์ ไวล์เดอร์ ฉบับแปลโดยสุคนธรส
อยู่ตอนหนึ่งที่พ่อหรือแม่เขานี่แหละ บอกว่าพระจันทร์นั้นทำมาจาก "เนยเขียว"
ไอ้เราก็งงว่า มันเขียวตรงไหนวะ ก็เห็นเหลืองบ้างส้มบ้าง ไม่เคยเห็นมันเขียวเลยสักที
ผ่านไปสิบปี จึงได้รู้ว่า "เนยเขียว" แปลตรงตัวมาจาก "Green Cheese" ซึ่งหมายถึง "Young Cheese" หรือเนยที่ยังบ่มไม่ได้ที่นั่นเอง
อ้า ปริศนาทั้งหมดไขกระจ่างแล้ว
เรื่องบางเรื่องก็ใช้เวลานานเหมือนกันนะกว่าจะเข้าใจ

ตอนนี้ห้องสมตุ้ยที่บ้านยกให้ป๋าเข้าไปนอน แต่เห็นแม่บอกว่าบางทีก็ไปกลิ้งๆแล้วหลับไปเหมือนกัน
จากหน้าต่างห้องนอนสมตุ้ย จะเห็นพระจันทร์ชัดมาก ยิ่งเวลาเต็มดวงนะกลมบ็อก ใกล้เหมือนจะจับมาขยำได้
นี่ ป๋ากับแม่น่ะ ถ้าไปนอนเล่นในห้องเค้า อย่าลืมมองพระจันทร์แล้วคิดถึงเค้าบ้างนะ

ช่วงนี้ก็ยังฝึกฝนการถ่ายรูปด้วยตัวเองไปเรื่อยๆ
ลองผิดลองถูก รูปออกมาสวยบ้างห่วยบ้างไปตามประสา
อย่างรูปพระจันทร์นี่ ก็ค้นพบด้วยตัวเองว่า ต้องปรับค่าแสงให้ต่ำสุด มันจะได้ไม่สะท้อนแสงจันทร์กลับมา ถ่ายออกมาแล้วเห็นเป็นจุดวาวๆอยู่บนพื้นดำ
อาจเป็นความรู้พื้นฐานโคตรๆ ของคนที่เล่นกล้อง
แต่สำหรับนราที่ไม่เคยได้เรียนได้รู้อะไรกะเขา ก็เป็นการค้นพบที่น่าดีใจพอสมควรทีเดียวค่ะ

************

It rained almost the whole day yesterday. It was so pleasantly cool. A perfect weather to lay in bed, read some nice books and fall asleep. If only I wasn't aching all over from two hours of hardcore badminton on Saturday. Now I walk like Michael Jackson zombie.

I've been living in this house for almost three months, but never have I felt that the house has been this huge before. It takes me forever to crawl to the bathroom. And because our TV remote doesn't work, I have to drag myself off the sota and crawl like a wounded slug to the telly just to change the channel. Let alone walking up and down the stairs. Argh.
But then, for good health and perfect shape, I guess I'll have to put up with it a bit more.

On Saturday, before heading to devastating my own muscles at badminton, I popped into town to buy a new pair of trainers because I didn't bring the one I bought last year back with me. My mum has been complaining a lot about how I spend money like water, but hey, this is necessary right? I finally got myself a pair of black FILA for 22 quid. Not bad, though I wish I could get something cheaper. I also grabbed YONEX Nanospeed Alpha X for 20 pound. It's alright. I'm not a national athlete anyway therefore I see no reason why I have to get a hi-class, expensive professional one. I really miss Kumpoo rackets we have at home in Bangkok. They're so light and flexible. Sigh. I really should have brought them here with me.

English sun sets really late at night. It won't be before 10 or 11 till the sky gets really dark.
Last night I noticed this half moon hanging in the pitch-black sky. Amazing. I really miss home.

In Little House series by Laura Ingalls Wilder, the one translated into Thai by Sukhontaros, I remember Laura's either mom or dad telling her that the moon is made of "green cheese". I could have never been that confused back then. Why the heck is it green when it's always yellow or orange? It took me about ten years to realise that "green cheese" doesn't literally mean green colour but "young cheese." Ah. All mystery solved. There are things in life that take you years and years to understand.

My bedroom at home is now dad's, though sometimes mum likes to have a nap in there as well.
I don't know if they notice, but from my bedroom window, you can see the moon very clearly, especially on a full moon night when the moon is as round as a tennis ball, so close you can almost squeeze it.
Mum, dad, if you have a chance to look at the moon, think of me. I'm looking at the same moon here in England.

I'm still practicing my photographing skill, trying this and that, discovering what my camera could do little by little.
To take this photo of the moon, I discovered by myself that I should set the exposure compensation very very low, so that the moonlight won't glow too much and the moon itself appears to be just a bright orange spot on a black background.
This might be the most basic knowledge for those professional photographers, but for me who have never had any lessons about photographing at all, this is considered to be quite a nice discovery.


See you when the sky is blue
พบกันใหม่เอนทรีหน้าค่ะ
(ปล. ดูเอนทรีนี้เป็นคนดีจังเนอะ)

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Cookin' Like A Biyatch: Veggie Stir-fry Egg Noodles

บล็อกติดเรท 18+ เนื้อหาไม่ค่อยมี มีแต่ภาษารุนแรงและมุกถ่อยๆเยอะมาก
Rated PG-13 for strong language and crude humour

ว่าจะอัพบล็อกให้มากกว่าหนึ่งครั้งต่อเดือน แล้วก็เหลวจนได้ เซ็งมากมายมหาศาล เวลามันก็มีอยู่หรอก แต่ไม่รู้จะอัพเรื่องอะไร เป็นสัญญาณเตือนว่าเรากำลังคุ้นเคยกับชีวิตที่นี่มากเกินไปจนเริ่มมองไม่เห็นความสวยงามแปลกใหม่ ไม่ได้การละๆ เดือนนี้นราจะพยายามอัพให้ได้มากกว่าหนึ่งนะคะ เพื่อ little Narasters ทั้งหลาย (ไมอ่ะ ทีเลดี้กาก้ายังมี little monsters ได้เลย)

ไหนๆก็อัพแล้ว ขออิชั้นนอกเรื่องเล่าประสบการณ์เจอมนุษย์เหยียดผิวเป็นครั้งแรกในอังกฤษหน่อยละกันนะ ถ้าเป็นเมื่อปีก่อนตอนอิชั้นย้ายมาเรียนที่อังกฤษใหม่ๆ อิชั้นคงตกใจตาเหลือกนมเนิมงี้สั่นขวัญแขวนกับความทรามของไอ้มนุษย์สายพันธุ์คอเคเซียนตัวนี้เป็นอย่างมาก แต่พอดีว่าอิชั้นได้จบหลักสูตรช่างแม่ง 101 มาด้วยนอกเหนือจากป.โท อิชั้นจึงจิตแข็งขึ้นพอสมควรค่ะ ไม่สนใจเท่าไหร่ ออกจะทุเรศสมเพชนิดหน่อยด้วยซ้ำไป

เรื่องก็คือ อิชั้นกำลังจ้ำเดินดุ่มๆจะไปซื้อของที่ร้านแถวบ้านที่ห่างออกไปประมาณสิบนาที พอดีก็สังเกตเห็นผู้ชายฝรั่งคนหนึ่ง อายุอานามก็ไม่น้อย น่าจะประมาณสี่สิบห้าสิบเห็นจะได้ ยืนทำไม้ทำมืออยู่ห่างออกไปประมาณหกช่วงตีนเหมือนกำลังไล่ใครอยู่ พอเดินเข้าไปใกล้ ไอ้นี่ก็สืบเท้าเข้ามาแล้วพูดว่า "Go home! We don't want you here!" ต๊าย ดอกมากกก ดิชั้นเลยทำไม่สนใจ เดินต่อไปเรื่อยๆไม่อยากเสียเวลาสนทนากับคนหยาบช้ายิ่งกว่าส้นตีนช้างสุรินทร์ที่โดนบังคับให้เข้ามาขออ้อยกินในกรุงเทพฯ แต่มันก็เดินตามมาตะโกนต่อ "Go home! x&#$@*%"

อยากจะบอกแม่งมาก ว่าเงินที่รัฐเอาไปทำสวัสดิการจ่ายให้มนุษย์ไร้น้ำยาจากพวกเมิง ส่วนหนึ่งก็มาจากเงินค่าเล่าเรียนที่นักเรียนต่างชาติหน้าเหลืองๆอย่างพวกกรูที่จ่ายปีละเป็นหมื่นเป็นแสนปอนด์นั่นแหละ น่าสมเพชเวทนาราวหมาติดขี้เรื้อนเป็นอย่างยิ่งกับไอ้พวกบัวใต้ขี้ตมพวกนี้ คิดว่าอังกฤษแสนจะเลอเลิศประเสริฐบริสุทธิ์และต่างชาติกำลังเข้ามาปนเปื้อนประเทศมัน ฟาย กรูไม่ใช่เชื้อราในถั่วเหลืองเฟ้ย

นอกเรื่องไปไกลมาก ที่จะบอกวันนี้คือ ตลอดสองเดือนที่ผ่านมากินแต่เส้นพาสต้า ขนมปัง นมเนย โอ่ยไม่ไหว ท้องจะผูก อาทิตย์ที่แล้วเพิ่งไปหม้อหุงข้าวมาจากอาร์กอส สนนราคา 12 ปอนด์กว่าๆ ทำให้สถานการณ์ชีวิตสมตุ้ยดีขึ้นเป็นอย่างมากค่ะ ตั้งแต่ได้หม้อหุงข้าวมา สมตุ้ยก็ทำกับข้าวเหมือนผีเข้า อร่อยด้วยไม่อยากจะบอก เมื่อก่อนตื่นมาได้กินแต่ซีเรียล นม ไข่เจียวแบบฝรั่งที่แบนๆ ใส่เนย ถั่วในซอสมะเขือเทศ เดี๋ยวนี้ซัดแหลกแต่อาหารหนัก แปลกดีนะอยู่ไทยแทบไม่ค่อยอยากจะกระดิกตัวทำ มานี่ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่คิดว่าจะทำได้ ทำแล้วแฟลตเมทมาขอกินด้วยอีกต่างหาก สดๆร้อนๆเพิ่งทำข้าวผัดอเมริกัน บะหมี่ผัดผักรวม ข้าวผัดผัก ข้าวต้มหมูสับถั่วแระญี่ปุ่น หมี่กรอบราดหน้า

วันนี้เลยอยากจะนำสูตรบะหมี่ผัดผักรวมมาฝาก เพราะ 1) มันง่ายมาก เสร็จภายในไม่เกินครึ่งชั่วโมง นับตอนเตรียมหั่นผักแล้วด้วยนะ และ 2) เผื่อเป็นประโยชน์กับใครที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองบ้างค่ะเผื่อนึกไม่ออกว่าอยากกินอะไร ถ้าขี้เกียจอ่านภาคภาษาอังกฤษ ให้ไถๆเมาส์ลงไปดูวิธีทำได้เลยจ้า

***************

I aimed to update my blog more than once a month and apparently, I failed. It's not that I was so busy I ain't got no time to do it, I just didn't know what to write! This is not good, as it is a sign of me losing interest in life here in England and no longer finding anything new or interesting anymore. Oh well, hopefully I'll be able to update it more often this month for my little Narasters (Lady GaGa has her little monsters, why can't I?)

Before I start blabbering about today's topic, let me talk about my first racist experience in England. Had this happened to me last year when I was still an innocent Asian girl moving to England for her study, I must have had been so shocked I could die because of this Caucasian from hell. Luckily, I also gained the skill of ignoring other than my MA, therefore this man didn't really bother me. To be honest, I think he was so pathetic I couldn't be bothered being upset.

So, I was minding my own business, walking to a groceries store when this guy who is about 40-50ish, standing not too far away, started to wave his arms in the air. When I walked closer, he approached me, shouting "Go home! We don't want you here!" What a fucker! Because I didn't want to mess with this kind of person, I just kept walking, but still he followed and shouted "Go home! x&#$@*%"

What this fucker probably didn't know was that it is us "yellow-monkey" Asian students who brought loads of money, say 10 000 GBP++, individually, here into England so that dickheads like this dude will get fed because he is a loser who truly believes that England is so prestigious and pure it shouldn't be contaminated with foreign people. What a pathetic douchebag. It's already 21st century and there he is, obsessed with in white supremacy from Hiter's era.

Ok. That was too much off topic already lol. What I wanted to say today is that I have been eating just pasta, bread, and milk for the whole first two months I live here. But finally, I managed to get one rice cooker from Argos for 12ish quid, not bad at all, and since then my life has been improving! After getting this rice cooker, I've been cooking like mad. Forget those breakfast cereals, milk, English omelettes, and beans in tomato sauce! Now I can cook loads of heavyweight food I always love eating: American fried-rice, stir-fry egg noodles, vegetable fried rice, boiled rice with pork and Japanese soy beans, and deep-fried egg noodles with vegetable sticky sauce etc.

What I wanna leave here on my blog today is the recipe of veggie stir-fry egg noodles because 1) it's so fucking easy to prepare and cook. All process takes less than 30 min and 2) it should be useful for those living overseas knowing not what to eat today!

ใส่อะไรบ้างยะเนี่ย:
What the hell should I have for this dish?

บะหมี่ไข่
Egg noodles - can be found at Morrisons

ผักอะไรก็ได้ อยากกินอะไรก็ใส่ไปเหอะ วันนี้สมตุ้ยคุ้ยตู้เจอเห็ด แตงซุกินี หน่อไม้กระป๋อง ผักฉ่อย กะถั่วงอก
whatever vegetables you can find in your fridge - mine has mushrooms, courgette, bamboo shit, I mean, shoots, pak choi, and beansprouts.

หนึ่ง หั่นผัก พวกหล่อนคงไม่กระเดือกกันเป็นต้นๆ เป็นดุ้นๆ ใช่ไหมยะ
Step one: chop all vegetables into bite-size pieces. You're not gonna swallow the whole veggie like that, are you?

สอง ใส่น้ำมันพืชในกระทะพอประมาณ ไม่ต้องมากเดี๋ยวเลี่ยน รอให้ร้อน
Step two: pour small amount of vegetable oil into the wok. Don't put in too much oil as the food will get too oily! Be patient and wait for the wok to heat up properly.


สาม โยนซุกินีที่หั่นแล้วลงไปผัดเป็นอันดับแรกค่ะ เพราะเป็นผักที่สุกยากที่สุดในบรรดาผักที่มี สมตุ้ยไม่ชอบเวลามันไม่สุก เหม็นเขียวลื่นๆยังไงบอกไม่ถูก
Step three: add courgettes, as they are the thickest and the most difficult veggie to be cooked of all that we have.


สี่ ไม่ต้องผัดนานมากนะยะเดี๋ยวเหี่ยวเกินกินไม่อร่อย กะเอาพอให้เริ่มสุกดูใสๆก็เทผักฉ่อยและเห็ดโครมตามลงไปเลย เติมซอสถั่วเหลือหรือเครื่องปรุงรสได้ตามใจ
Step four: Don't leave courgettes for too long as they will get too soggy and you will feel like eating wet sponge later. Add mushrooms and pak choi when courgettes look slightly cooked. Add some seasoning sauce (I used just thin soy sauce) as you wish.


ห้า พอเห็ดกับผักฉ่อยเริ่มสุกก็ตามด้วยถั่วงอก อย่ามาติชั้นนะยะที่ไม่เด็ดหาง ไม่มีอารมณ์ย่ะ
Step five: When pak choi and mushrooms look quite cooked, add beansprouts. Good Thai housewives will get rid of those long beansprouts' roots, but I don't do it because I am one lazy biyatch. Any questions?


หก ใส่หน่อไม้กระป๋องเป็นผักอย่างสุดท้ายเพราะมันสุกอยู่แล้ว ใครใช้ของสดคงต้องใส่เป็นอันดับแรกนะคะ คอยชิมและปรุงให้ถูกใจ น้ำผักออกมาเยอะบางทีแม่งจืด
Step six: Bamboo shoots will be the last to be added in as they are already cooked. Stir. Keep tasting to see if you like its taste already and add more soy sauce if you want.


เจ็ด ใส่เส้นบะหมี่ลงไปผัดรวมกับผัก บะหมี่ต้องสุกแล้วนะยะ ขืนใส่ดิบๆผงแป้งได้เต็มปาก พอเข้ากันดีแล้วเติมซอสหอยนางรม แต่พอดีว่าอีแฟลตเมทมังสวิรัติของอิชั้นมันอยากจะกินด้วย เลยใช้ซอสผัดแบบมังฯจ้ะ
Step seven: add noodles and stir fry a bit more till the noodles soak up all the flavour. After that add some oyster sauce. I used vegetarian stir-fry cause because I was cooking this for my vegetarian flatmate as well. Stir well!

แปด ย้ายไปใส่จาน แล้วเขมือบได้ตามอัธยาศัยโลด
Step eight: EAT IT.


See you when the sky is blue!
เจอกันใหม่บล็อกหน้าค่ะคุณๆ

ปล. อาจจะงงว่าทำไมในรูปมีไข่แต่ไม่เห็นใช้ คำตอบคือ ฉันลืมย่ะ เลยเอาไปทำไข่ดาวแทน
PS. if you're wondering why I didn't mention eggs that you see in the first pic, I forgot to put it in. Full stop.