วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

Back to the UK

I hope all you had a great, great time during your new year holidays.
As I said, I didn't go anywhere, just staying with my family.
When the paradise was over and it was time to come back to work again, I found it very hard to leave the "holiday mood" behind.
It's darn difficult to drag myself off the bed in the morning!
And I was late for work more than twice now.

Anyway, yesterday at work, the Dean of School of Humanities saw me and said;
"Oh, here you are. I was looking for you. Can you come in my office for a second please?"
Then went into his room without waiting for my answer. He looked kinda serious too.
My heart dropped to my toes. Did I do something wrong? Did any students complain about me and my teaching? (In that case I'm gonna find out who they are and kill them).
I went into his office.
Then he said
"Congratulations, Nara, your scholarship for PhD in May has been granted"

Have you ever felt so shockingly happy, so sudden that you feel like you're bursting?
I mean, other than when you stuff yourself with food, of course.
That was what happened to me.
I stood there, literally shivering from head to toes. I saw nothing but blurry image. The blood vessel on my temples felt like it was about to pop. I felt like running around and screaming, but in the same time I felt like fainting.
This is it. It is actually here.
My time has come.

To tell you the truth, I am confused by two totally different feeling.
Part of me is overjoyed because this is what I have been waiting for.
But another part of me is shocked.
Am I really leaving home again?

My biggest worry now is about my mum.
Western-raised people might not understand why we Thai people seem to be so attached to our parents. You leave home at 18, getting yourself a good job, working to pay for your own tuition fee. But Thai culture is different. We like to live as a big family, and even though we are married and move out to start our own family, lots of people still love to stay with their parents, and parents tend love it to be that way as it shows that we, their children, love them and willing to take care of them when they get older.
Anyway, about my mum and I. I have told her since the first month I came back from my masters in England that I wish to continue my PhD as soon as possible.
You can read my previous blog entry to see how she reacts or answers to that.
I understand how she feels, but man, it's damn hard for me to break this news to her.
The news that I got a scholarship and again and will leave for England again in April.
I will be studying at Newcaste University.
PhD school of English Literature, Linguistics, and English Language.
I don't know yet whether I will be living in York or Newcastle, though I hope that I can live in York.
If any of you know some nice areas to live in Newcastle, let me know, as I know nothing about this town.
Now I'm X3 busy, as I have teaching work to carry on, teaching assessment, research papers, and now preparing important documents for tier 4 visa.
Yup, it's gonna be exhausting, but I don't mind.
I'll see you people in England soon!
--------------
หวัดดีค่ะ หวังว่าทุกท่านคงฉลองปีใหม่กันอย่างสนุกสนานนะคะ
อย่างที่บอก นราไม่ได้ไปไหนเลย อยู่บ้านอย่างเดียว
พอถึงเวลาต้องไปทำงานอีกแล้ว แหม่มันช่างตื่นยากตื่นเย็นเหลือเกินนิ
กว่าจะลากตัวเองออกจากเตียงได้
ตอนนี้ตัวแดงในเวลาทำงานนรามันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแล้วแหละ
บางทีไปถึง กระเป๋าไม่ต้องวางอ่ะ ไปสอนเลย
ไปถึงแล้วต้องทำหน้าตึงๆ เหมือนมานานแล้ว มาดดีฉิบหาย
เมื่อวันก่อน เดินๆอยู่ ไปป๊ะคณบดีเข้า
คณบดีบอกว่า "อ้าว นราวัลลภ์ มาพอดีเลย ผมตามหาตัวคุณอยู่ เดี๋ยวมาพบผมในห้องหน่อยสิ" ว่าแล้วแกก็เดินเข้าห้องไป
บอกตามตรงตอนนั้นหัวใจหล่นลงไปอยู่ที่หัวแม่ตรีน ฉิบหาย กรูไปทำไรไว้เปล่าเนี่ย โดนนศ.ร้องเรียนอะไรเปล่าเนี่ย (ถ้าเป็นกรณีนี้จะตามหาตัวแล้วตบรางวัลให้อย่างสาสม)
เอาวะ คงไม่มีอะไรหรอก อย่าตื่นตูมไปสมตุ้ย
ว่าแล้วนราก็ตามเข้าไป แล้วคณบดีก็บอกว่า
"ยินดีด้วยนะนราวัลลภ์ มหาลัยอนุมัติทุนศึกษาต่อป.เอกเดือนพ.ค.ของคุณแล้ว"
ทุกท่านคะ ท่านเคยดีใจมากจนรู้สึกเหมือนตัวจะระเบิดหรือไม่
แน่นอน นอกจากเวลากินมากเกินไปนะยะ แอร๊ย
ตอนนั้นนราตัวชา ยืนเด่อยู่อย่างนั้น มือสองข้างปิดปากไว้แบบนางงามเวลาได้ตำแหน่ง ตานี่มองอะไรไม่เห็นหรอกมันเบลอไปหมด เส้นเลือดเต้นตูมๆเหมือนจะแตก ตอนนั้นอยากแหกปากแล้ววิ่งกะโด๊งกะเด๊งไปให้ทั่วมหาลัยมากๆ แต่ในเวลาเดียวกันก็หวิวๆเหมือนหมดแรงจะเป็นลม
ในที่สุดโอกาสมาถึง
ถึงเวลาของเราแล้ว ยิปปี้
(อธิบายเกร็ดความรู้ว่าทำไมนังนี่จึงได้ดีใจออกนอกหน้าขนาดนั้น: ตามปกติแล้ว ม.กท. จะพิจารณาส่งอาจารย์ป.โทไปต่อป.เอกก็ต่อเมื่ออาจารย์คนนั้นจบโทและกลับมาทำงานที่ม.กท.ได้อย่างต่ำหนึ่งปีหรือมากกว่านั้น แต่ในกรณีนรา เนื่องจาก ม.กท. กำลังปรับปรุงและพัฒนาบุคลากร ประกอบกับการชเลียร์อย่างเอาเป็นเอาตายของนรา นราจึงเป็นอาจารย์คนแรกที่ได้ไปต่อเอกหลังจบโทและทำงานไม่ถึงปีค่ะ นราทำงานมาถึงตอนนี้สามเดือนเอง)
จริงๆมันมีสองความรู้สึกที่ตีกันอยู่
อันนึงคือดีใจมาก ดีใจโคตรๆ สิ่งที่เราตั้งใจไว้มันเป็นจริงแล้ว
แต่อีกอันคือ ใจหาย เสียใจนะ
เราจะจากบ้านไปอีกแล้วเหรอวะเนี่ย
คราวนี้ยาวเลย สามปีแน่ะ
เรื่องอื่นนราไม่ห่วงเลยนะ
ห่วงแต่แม่คนเดียวนี่แหละ
ฝรั่งคงไม่เข้าใจว่าทำไมคนไทยถึงเป็นลูกแหง่ติดพ่อติดแม่กันจัง
ก็แหงสิยะ พวกหล่อนออกไปหางานทำจ่ายค่าเรียนหนังสือกันเองตั้งแต่อายุ 18 แยกตัวออกไปบ้านช่องไม่ค่อยกลับ แต่สังคมไทยเราชอบอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ บางคนแต่งงานแล้วก็เอาเมียเอาผัวเข้าบ้านเห็นเยอะไป พ่อแม่ก็หวังอาศัยลูกยามแก่เฒ่านี่แหละจริงไหม สังคมเราไม่ใช่แบบฝรั่งที่จะแตกบ้านแล้วแยกออกไปตั้งแต่อายุน้อย ถึงจะมีบางคนที่ทำอย่างนั้นก็เหอะ
เอาเป็นว่า เรื่องของนรากับแม่เนีย คือจริงๆนราก็บอกเขาตั้งแต่เดือนแรกๆแล้วว่าอยากจะกลับไปเรียนให้เร็วที่สุดนะ
ถ้าจำไม่ได้ว่าแม่นรามีปฏิกิริยาต่อการไปเรียนต่อของนรายังไง ให้ย้อนกลับไปอ่านเอนทรีก่อนหน้านี้สักสองสามเอนทรีนะ
นราเองก็เข้าใจความรู้สึกแม่ นราเองก็ใจหายเหมือนกัน ว่าต้องไปอยู่คนเดียว ไกลบ้านไกลครอบครัวอีกแล้ว
ไม่รู้จะบอกแม่ยังไงดีฟ่ะ พูดไม่ออก มองหน้าแม่แล้วพูดไม่ได้ พูดแล้วเค้าก็ร้องไห้ เราก็จุกอก
ไม่รู้จริงๆว่าจะเริ่มยังไงดี จะบอกยังไงว่า แม่ อุ้ยได้ทุนไปต่อเอกที่อังกฤษแล้วนะ เดินทางเดือนเมษานี้
วันก่อนบอกป๋าให้แย็บๆ เกริ่นๆ ให้หน่อย
แล้วนราก็เงียบๆ ให้เวลาแม่เขาทำใจ
เขาก็คงรู้บ้างแล้ว วันก่อนเถียงกันเรื่องกลิ่นดอกไม้ แม่บอกว่า "เนี่ยถ้าไม่ใช่กลิ่นดอกกล้วยไม้หน้าบ้านนะ อุ้ยไม่ต้องไปเรียนต่อเมืองนอกเลย"
กดไฟแดง เปลี่ยนหัวข้อคุยทันที เหอะๆๆ
คราวนี้ได้ที่นิวคาสเซิลค่ะ
PhD School of English Literature, Linguistics, and English Language
ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะไปอยู่ที่ไหน แต่ที่แน่ๆไม่อยู่หอแล้ว แม่งแพง
ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจะอยู่ยอร์กหรือนิวคาสเซิล แต่อยากอยู่ยอร์กนะ คิดถึงยอร์ก
ตอนนี้ก็ยุ่งสามเท่า นอกจากจะต้องสอนแล้วก็ต้องเตรียมออกข้อสอบปลายภาค ตรวจข้อสอบ ประเมินผล สคอ.5 แล้วก็ต้องเริ่มเตรียมเอกสารต่างๆสำหรับขอวีซ่าแล้วค่ะ
เพื่อนๆทุกคน
ดิว่าจะอยู่ไทยให้มีทแอนด์กรี๊ดกันถึงแค่ต้นเดือนเมษานะคะ
เพราะงั้นรีบๆมาเจอกันเถอะ

2 ความคิดเห็น:

  1. ก่อนอื่นยินดีด้วยกับสิ่งที่รอคอยค่ะ
    แต่ก็เข้าใจความรู้สึกใจหายที่ต้องห่างบ้าน ทุกวันนี้ปัดก็สองอารมณ์ใจนึงมันชินกับการใช้ชีวิตที่นี่ แต่อีกใจก็คิดถึงบ้าน สองจิตสองใจจะหางานทำเลยดีมั้ย หรือว่าจะกลับไปหาที่ไทย...คิดหนักจริงๆ

    สามปีก็แอบนาน แต่อย่างที่นราบอก ยังไงก็ต้องได้กลับไปเยี่ยมบ้าน คุยSkypeกันก็พอทำให้หายคิดถึงได้ เพื่ออนาคตที่สดใสสุดๆ ของเรา เราต้องสู้ค่ะนรา

    เป็นกำลังใจให้ทั้งการสอนในตอนนี้ และการเตรียมตัวไปเรียนต่อค่ะ

    ปล.ปัดอัพบล็อกเก่าปัดแล้วนะ หายไปปีนึงได้ ฮ่าๆ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ16 มกราคม 2554 เวลา 22:49

    ขอแสดงความยินดีอย่างเป็นทางการด้วยคนค่ะ ยินดีกะนราคนเก่งจริงๆค่ะ ปลาบปลื้มใจจริงๆ รู้สึกภาคภูมิใจที่มีเพื่อนเก่งๆเช่นนรานะคะ

    บุ๋มขอเปนหนึ่งในกำลังใจให้นราสู้ๆ และมีความสุขกับชีวิตที่มีนะคะ
    เราคงต้องนัดเจอกันสักครั้งน่าจะดีนะคะ นัดรวมห้องเลยดีมั้ย อยากเจอทุกคนเลย อัพเดทความเปนไปในชีวิต

    รักและคิดถึงค่ะ
    บุ๋ม

    ตอบลบ