วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

I Hate Technogy

ถ้านราเคยสงสัยสิ่งที่โมมดจิพูด
ว่าตัวเองนั้นหรือคือ Trouble Magnet
อารมณ์แบบว่า เฮ้ย จริงเร้อ ไม่จริงมั้ง
วันนี้ค่ะ เชื่อแล้ว
ขอคารวะแม่หมอโมมดจิจากใจจริง
คอมเจ๊งค่ะ
.
แอร๊ยยยยยยยยย
อยากจะตะโกนกู่ร้องให้ก้องฟ้าเป็นอักษรลิ่มคูนิฟอร์ม
ร้อยวันพันปี กรูอยู่ว่างๆไม่เคยเจ๊ง
มันต้องมาเสียเอาช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม ช่วงเฉียดเป็นเฉียดตาย ช่วงโค้งสุดท้าย ช่วงลูกผีลูกคน
ไอ้เทคโนโลยีนี่ เชื่อไม่ได้ยิ่งกว่าสัตว์หน้าขนอีก
ยังดีว่าก่อนหน้านี้ เหมือนจะรู้ เพราะแบ็กอัพข้อมูลใส่แฮนดี้ไดรฟ์กับเมล์หาตัวเองไว้ก่อนแล้ว
ก็เลยยังไม่สติแตก แต่ทำงานไม่ได้ ต้องเดินไปใช้คอมที่ตึกเรียน ห่างออกไปสิบห้านาที
.
อาการคอมทรยศ
วันแรกเปิดเครื่อง มันบอกว่า จะ activate windows ตอนนี้เลยมั้ย
งง เกิดมาไม่เคยโดนถามแบบนี้ พอลองกดตกลง มันบอก เข้าวินโด้ไม่ได้ เพราะหมายเลขผลิตภัณฑ์ของคุณไม่ถูกต้อง และวินโด้ของคุณไม่ใช่ของแท้
ฟายยย ของไม่แท้บ้านพ่อง
เห็นอยู่กะตาตอนคนขายลงโปรแกรมให้ ถอดจากกล่องมา มีสติกเกอร์ของแท้แปะมาด้วย ไม่แท้ห่านไร
พอกด activate later มันก็ล็อกออฟ เป็นหน้าจอฟ้าๆ
แน่นิ่งไป กดล็อกอินใหม่มันก็วนไปหน้าจอเดิม
วนลูปอยู่อย่างนี้ ยังไงก็เข้าวินโด้ไม่ได้
.
วันที่สอง ดีขึ้นหน่อย
กดเปิดเครื่องแล้วไปอึ
กลับออกมาก็เห็นว่ามันเข้าหน้าเดสก์ท็อปได้แล้ว
แต่วอลเปเปอร์หายไป กลายเป็นหน้าจอดำมืดเหมือนมิติที่สี่
โปรแกรมบางอย่างหายไป เหมือนว่าวินโด้เรามันเป็นแบบไม่สมบูรณ์
แต่ยังดีว่าเข้าเน็ทได้ (หลังจากพยายามนานมาก) ทำงานอะไรก็ยังได้ดีอยู่
.
นราพลาดด้วยการปิดคอม
คือเป็นคนดีค่ะ ไม่อยากเปิดคอมทิ้งไว้นานๆ สงสารกลัวพี่เค้าเหนื่อย
ไม่คิดเลยว่าพี่เค้าจะทรยศด้วยการกามิกาเซ่เอาดื้อๆ
วันนี้ลองเปิดคอม เจอหน้าจอเดิม เข้าเดสก์ท็อปได้เหมือนเดิม
แต่ต่อเน็ทยังไงก็ไม่ติด
เปิดๆปิดๆอยู่สามสี่ครั้ง
พอมัดมือชกบังคับให้พี่เค้าปิดเครื่องครั้งสุดท้าย
พี่เค้าก็สิ้นลมหายใจไปเลย
คราวนี้เข้าอะไรก็ไม่ได้ กลายเป็นหน้าจอสีดำมืดมนอนธการ
ฮือ
.
นราโทรหาแอนดรูว์ แอนดรูว์บอกจะมาดูให้ตอนบ่ายสาม
นราเลยไปใช้คอมที่ห้องคอมจนถึงบ่ายสองกว่าๆ
คีย์บอร์ดอังกฤษมันต่างจากของไทยเรานิดหน่อย
พิมพ์ไม่คุ้นมือ พิมพ์ผิดบ่อย
หงุดหงิดอิ๊บอ๋าย
เมนก็จะมา อารมณ์แปรปรวน
ม่าง ชีวิตมีสีสันจริงๆให้ตาย
.
แอนดรูว์บอกว่าเขาแก้ไม่ได้ เพราะไฟล์มันเจ๊งไปแล้ว
เข้าวินโด้ไม่ได้ กดอะไรก็ไม่ได้เลย
เขาเลยลง OS อื่นให้แทน ชื่อ Obuntu
เป็นโปรแกรมที่พัฒนามาจากลีนุกซ์ ชื่อเรียกยากนราเลยตั้งชื่อให้ใหม่ว่าบันดี้
หน้าตาแปลกๆ ปุ่มแปลกๆ ใช้ยาก
แต่บ่นไม่ได้
มีคอมทำงานได้ก็บุญแล้ว
.
กำลังคิดว่าต้องไปแมนเชสเตอร์ทำบุญที่วัดไทยมั่งแล้ว
เป็นมนุษย์กรรมหนาจริงๆ
เดือนสิงหาทั้งเดือนมีแต่เรื่องไม่หยุดไม่หย่อน
นี่ถ้าสัปดาห์หน้ามีอะไรซวยๆเกิดขึ้นอีกจะไม่สงสัยเลย
.
ตอนนี้วิทยานิพนธ์ก็ใกล้เสร็จละ
แต่ก็เป็นแค่ฉบับร่างอันแรก แน่นอนว่าพอให้อ.ที่ปรึกษาอ่านแล้วต้องมีแก้อีกบาน
เหนื่อยจังเลย ช่วงนี้ตื่นมาแล้วเนื้อตัวมันจะเหลวๆเหมือนไม่มีแรงไงไม่รู้ ปวดเมื่อยไปหมด
หรือเป็นเพราะน้ำหนักขึ้นหว่า
ค่ะ ขึ้นมาห้าโล โอ้มายโก๊ช
อ้วนตั้บเหมือนไหกระเทียมต่อขาไม่มีผิดเลย
ปัญหาเรื่องวีซ่ายังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
หงุดหงิดเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะทำไง ได้แต่รอ
เป็นกำลังใจให้สมตุ้ยด้วยนะคะ

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Bee Attack

ขณะนี้เวลาตีห้าครึ่ง
ชาวบ้านชาวช่องเขายังนอนหลับกันอิ่มสิ่ม
แต่อีนี่ตื่นมาทำไม? เรามาค้นหาความจริงกัน
.
เรื่องของเรื่องคือ เมื่อคืนฝนตก
แล้วนราก็เปิดหน้าต่างทิ้งไว้ทั้งคืน ลืมปิดด้วยแหละ อีกอย่างฝนตกแล้วอากาศมันเย็นสบายดี เมื่อวานตอนกลางวันอากาศค่อนข้างนิ่ง เลยร้อนๆ อบๆ ก็เปิดหน้าต่างไว้ตั้งแต่บ่ายๆ
ตื่นมาตอนตีห้าด้วยเสียงบี่ซซซ บี่ซซซ ป่อกแป่กๆๆ
เสียงไรฟะ
ก็กลิ้งตัวขึ้นมาดู หาต้นตอของเสียงว่ามันมาจากไหน มันคืออะไร
มองไปที่ห้องน้ำ
เจอไอ้เสื้อลายเหลืองดำ เกาะนิ่งๆอยู่ตรงประตูห้องน้ำสองตัว
อืม สองตัวเอง ไม่เป็นไรเดี๋ยวหาแก้วครอบแล้วเอาไปปล่อย
เหลียวมองหาแก้ว สายตาบังเอิญเหลือบขึ้นไปมองไฟติดผนัง
ฉิบหาย
มากันทั้งรัง
เมิงไม่มีอะไรทำกันแล้วหรอ ไปปาร์ตี้ที่อื่นเด้
.
ผึ้งเยอะมาก ประมาณสิบกว่าตัวได้
เกาะโคมไฟบนเพดานบ้าง บินชนอย่างไม่หยุดหย่อนบ้าง เป็นต้นเหตุของไอ้เสียงป่อกแป่กๆที่ได้ยิน
สันนิษฐานว่ามันหนีฝนเข้ามาหลบในห้องเรา ตามทฤษฎีจากหนังเรื่อง Bee Movie ที่บอกว่าผึ้งบินฝ่าฝนไม่ได้
ตอนนี้ใช้ชีวิตแบบน่าสมเพชเวทนา อยู่ในห้องตัวเองแท้ๆต้องใส่รองเท้าเดิน กลัวไปเหยียบไอ้ที่มันตายแล้วหล่นลงพรม
ใครไม่เคยโดนผึ้งต่อยตรงส้นเท้า ไม่เข้าใจความทรมานหรอก
นราเคยเดินไปเหยียบซากผึ้งตอนสมัยยังอยู่บ้านที่สมุทรปราการเข้า โอ้โหพ่อคุณเอ๊ยทั้งเจ็บทั้งคัน เกาก็ไม่ได้ จั๊กกะจี๋ กว่าจะหายก็กระเผลกไปนาน
.
กลับมาที่ปฏิบัติการย้ายผึ้งออกจากห้องโดยละม่อมต่อ
นราหยิบแก้วมา กับหนังสือ APA Referencing Style เล่มบางๆหนึ่งเล่ม
เป็นการจับผึ้งที่เปี่ยมไปด้วยความรู้มาก
เล็งไอ้ตัวที่มันเกาะตามผนังนิ่งๆไว้ก่อน เพราะมันเหนื่อยแล้วมันจะไม่ค่อยขัดขืน มันจะยอมให้เราครอบแต่โดยดี
เอาแก้วครอบปุ๊บ เอาหนังสือสอดปิดปากแก้ว แล้วเอาไปเขย่านอกหน้าต่าง
กำจัดไปได้ประมาณสี่ห้าตัว
ส่วนที่เหลือ เหมือนมันรู้แกว
ม่างบินขึ้นไปสามัคคีชุมนุมกันอยู่บนโคมไฟ ซึ่งมันโค้งๆ มนๆ
เอาแก้วครอบไม่ได้ เดี๋ยวครอบแล้วมันบินหลุดออกมาต่อยเอาทำไงอะ
อีกตัวยิ่งฉลาดใหญ่
ไปเกาะอยู่บนเครื่องตรวจจับสัญญาณควันไฟไหม้
มันต้องรู้แน่ๆ ว่าเราไม่กล้าไปจับไอ้เครื่องที่ว่านี่ กลัวมันร้องแล้วต้องจ่ายเงิน
ผึ้งไอน์สไตน์ น่ากลัวมาก
.
นั่งๆพิมพ์อยู่นี่ ต้องโยกหัวหลบผึ้งเวลามันบินไปทั่ว
เมื่อกี๊ก็มีตัวนึงบินเฉียดกบาล แบบเข้ามาติดอยู่ในผมอ่ะ
ไปบินที่อื่นได้หมายยยย
เปิดหน้าต่างทิ้งไว้กะจะให้พี่ท่านจากไปโดยสันติ
ปรากฏ บินเข้ามาอีกสามสี่ตัว
ขอบคุณมากเลย
กำลังคิดอยู่ว่าจะปิดหน้าต่างแล้วรอให้มันตายไปหมดเองดีไหม จะได้เอาซากไปฝากแซมด้วย เพราะที่บ้านเขามีต้นกาบหอยแครงที่มันกินแมลงอยู่
แต่ก็ออกจะโหดร้ายเกินไป
ยิ่งตอนนี้มีแต่เรื่องซวยๆ ก็เลยอยากจะทำตัวดีๆ ทำบุญทำอะไรมั่งเผื่อจะมีโชคเข้ามาบ้าง
.
ตอนนี้ผึ้งเงียบกันไปแล้ว
คาดว่าคงจะเหนื่อยหลังบินชนไฟมาทั้งคืน
รอก่อนเหอะ เมิงแยกกันอยู่เดี่ยวๆเมื่อไหร่โดนครอบเอาไปทิ้งแน่
ตอนนี้ไม่กล้ายุ่ง กลัว
ว่าแต่เลิกบินมาโฉบตรงหน้าได้มั้ยยยย เว้ย
ขันติเริ่มจะแตกแล้ว
อยากเอาอะไรฟาด แต่เคยอ่านหนังสือเขาบอกว่า เวลาผึ้งตายมันจะส่งกลิ่นมาเรียกพวกมันไปแก้แค้นให้
กลัวมันจะแห่แหนกันมาทั้งรังเหมือนฝรั่งแห่ไปฟูลมูนปาร์ตี้ เลยได้แต่ฝากไว้ก่อน
.
จริงๆมันก็ไม่ได้ทำร้ายเรา
แค่ทำให้เสียวเล่นๆ โฉบไปโฉบมา
ก็นะ เขาก็มาอาศัยหลบฝน
แต่เช้าแล้วช่วยกลับรังเถอะขอร้อง
กลัวบางตัวที่มันตายหล่นลงไปในผ้าห่มในรองเท้าจังอ่ะ
ประสาทหลอนแล้วตอนนี้

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Thunderstorm

ตอบจดหมายจากทางบ้านก่อน
โมมดจิ
ถ้ามาคงให้ซ้อนท้ายจักรยานไม่ได้อ่ะค่ะ ผิดกฏหมาย ดีไม่ดีพากันกลิ้งลงเนินทั้งคู่ ยิ่งตอนปั่นขึ้นเนินหน้าหอนะ ไม่อยากจะเซด เห็นมันไม่ชันเท่าไหร่ทำไมหนืดงี้ฟะ เข่าแทบป่น
มะแอ้
ไม่ต้องห่วงตอนนี้ Tokyo Drift สุดๆ สามารถปั่นไปกลับตามถนนใหญ่จากหอไปห้องสมุดกับหมู่บ้านท้ายมหาลัยได้แล้วโดยไม่ลังเลเวลาเจอรถที่วงเวียน ปาดหน้าแม่งเลย ยังไงมันก็ต้องหยุดให้เรา ฮะเหย ฮะเหย
.
วันก่อนได้รับ shocking news จากคณะ
ว่าที่สมัครเรียนต่อป.เอกไปน่ะ ไม่ผ่าน
ในจดหมายให้เหตุผลว่า เพราะคุณยังไม่จบป.โท เรายังไม่เห็นวิทยานิพนธ์ของคุณ ไม่รู้ว่าคุณจะได้คะแนนสูงพอสำหรับป.เอกหรือเปล่า ตอนนี้มันกระชั้นไปนะ ไว้สมัครปีหน้าก็แล้วกัน
ความฉิบหายมาเยือน
จำได้ว่าตอนนั้นเปิดเพลงฮิปฮอปของนิคกี้ มินาจอยู่ อารมณ์แบบลดฮวบกะทันหัน ต้องปิดเพลง แล้วนั่งนิ่งๆ เอ๋อๆ แสดงความเคารพต่อหน้าท่านอีเมล์ผู้กำหนดชะตาชีวิต
พอตั้งสติได้แล้วก็โทรหาอาจารย์ที่ปรึกษา เดชะบุญวันนี้ท่านอยู่ในออฟฟิศ ปกติจะตระเวนเดินสายทั่วโลก นานๆได้เจอที
ได้ความว่า
เพราะเขายังไม่เห็นวิทยานิพนธ์ของเรา ทางคณะเลยตัดสินจากผลการเรียนในเทอมที่ผ่านๆมา ซึ่งนราได้คะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ที่เขาต้องการ คือ 60 ขึ้นไป นราได้ 66 แค่วิชาเดียว ที่เหลือคือ 57 55 และ 51 -_-
(ต่ำลงเรื่อยๆ สมควรแล้วที่เขาไม่เอา)
สรุปแล้วคือ นรายังไม่ดีพอ
สำหรับเทอมเดือนตุลานี้ หมดหวัง เข้าเรียนไม่ได้
รออีกที มกราคมเดือนหน้า ซึ่งมันก็เฉียดฉิวมาก เพราะกว่าคะแนนป.โทจะออกก็เดือนพฤศจิกายน
แต่ปัญหาคือ สามเดือนกว่าจะถึงมกรา กรูจะไปอยู่ไหน จะทำอะไร ยังไง
เป็นความลับดำมืดที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้
.
ข้อดีของการที่เราเจอเรื่องเฮงซวยในชีวิต
คือการที่เราจะได้รู้ว่า ใครมั่งที่อยู่เคียงข้างเราเวลาเราอยากตายสุดๆ
เพื่อนคนอังกฤษที่เรียนป.เอกที่นี่อยู่ ชื่อแซม พอรู้ว่านราโดนปฎิเสธจากมหาลัย ก็มาหาที่หอเลย ถามว่าเป็นอะไรมั้ย มีอะไรให้เขาช่วยได้มั้ย เสนอตัวจะช่วยเรื่อง research proposal สำหรับสมัครครั้งต่อไป นราประทับใจมากเลยที่เขาพูดอย่างหนึ่ง
"Well there's nothing you can do now, but what WE can do is that WE are gonna make your dissertation good enough for York to accept you"
น้ำตาไหลเป็นอ่างอ่ะ
.
เพื่อนจำนวนมาก ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง ทั้งที่อยู่ไทยอยู่ยอร์ก ต่างพากันมาปลอบใจหมาขี้แพ้ในเฟซบุ๊กกันล้นหลาม เป็นกำลังใจให้นรามากมาย ก็ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
เจ้าของบ้านคนที่นรากะว่าจะย้ายไปอยู่ด้วยเดือนกันยานี้ ตอนนี้แกอยู่ฝรั่งเศส ไปทำงาน แต่พอนราเมล์ไปอธิบายสถานการณ์ให้เขาฟัง เขาก็โทรกลับมาหา ถามว่าเป็นอะไรมั้ย ถ้าบอกว่าแกร้องไห้ด้วยจะเชื่อมั้ยเนี่ย แต่เรื่องจริง แบบว่าเสียงเขาสั่นๆแล้วบอกว่า ไม่อยากให้เราไปเลย มีอะไรให้เขาช่วยก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ ใช้ชื่อเขาเป็น supporter ก็ได้
นราก็เอ้า ซาบซึ้งกินใจ
.
ถามว่าตอนนี้เครียดไหม
เครียดฉิบหาย
ผมร่วง นอนไม่หลับ หัวใจมันกระสับกระส่าย
เหมือนคนไม่บาย ใจหายมาหลายคืน
(ยังจะตลกแดกนะเมิง)
ไม่รู้จะทำยังไง ทำอะไรก่อนหลัง
ทางออกน่ะมันก็มี แต่มันมีปัญหาเบ้งๆรออยู่ทุกประตูทางออกเลยอะดิ
ถ้าเลือกเปลี่ยนวีซ่าเป็นวีซ่าสำหรับทำงาน ต้องมีเงินในบัญชีมากกว่า 800 ปอนด์ไม่ต่ำกว่าสามเดือน แล้วนรามีที่ไหนล่ะนะ เงินเดือนเดือนนึงสี่ร้อยเองเหอะ
ถึงเขาอนุญาตให้ใช้สเตตเมนท์ของพ่อแม่ได้ นราก็ไม่รู้ว่าเขามีเงินจำนวนนั้นอยู่ในบัญชีหรือเปล่า หาเรื่องเดือดร้อนให้เขาอีก
ถ้าเลือกจะหาอะไรเรียนไปพลางๆสามเดือนเพื่อรอเรียนต่อป.เอกปีหน้า แน่นอน ต้องใช้เงินมากมายมหาศาล ไหนจะค่าเรียน ค่าใช้จ่าย ค่าทำวีซ่าก็แพงจะตายห่าแล้ว
แล้วนี่ยังไม่รู้เลยว่า ม.ที่ไทยจะว่าไง จะให้อยู่ต่อไหม หรือจะให้กลับ
ชีวิตสับสนมาก ความรู้สึกตอนนี้เหมือนแมงวันโดนครอบอยู่ในขวด
ได้แต่บินชนผนัง บี่ซซซ บี่ซซซ บี่ซซซ
.
เอาเป็นว่าวันจันทร์จะไปคุยกับเจ้าหน้าที่มหาลัย ขอคำปรึกษาดูว่าเราจะทำอะไรได้มั่ง
นราใช้หลักเหตุผลร่วมกับหลักสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว
บนไว้ว่า ถ้าสามารถอยู่ในอังกฤษได้ต่อจนกว่าจะปีหน้าโดยไม่มีปัญหา มีคนให้ทุนซัพพอร์ท ได้วีซ่าฉลุย และปีหน้าได้เรียนป.เอก (ไม่ยอร์กก็ลีดส์) จะงดเว้นเนื้อสัตว์ทุกชนิดไปตลอดหนึ่งปี เอาจริงนะเนี่ย
ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าโชคชะตาจะเลิกเล่นตลกกะชีวิตซะที
อาจจะเป็นเหมือนที่โมมดจิบอกก็ได้ คือนราเป็น Trouble Magnet ดึงดูดแต่เรื่องซวยๆเข้ามาในชีวิต
เมื่อไหร่จะมีเรื่องดีๆมั่งว้า
.
ตัวเลือกสุดท้าย ถ้าสองวิธีข้างบนไม่เวิร์ก
คือหาใครสักคนที่ถือสัญชาติอังกฤษมาแต่งงานด้วย
ฮ่าาาาาาา ความคิดชั่วร้ายจริงๆ
แต่น่าแปลกมากนะ พอลองถามแซวๆเพื่อน ปรากฏแม่งเก็บไปคิดจริงแฮะ
มันบอก "well I got nothing to lose when you divorce me, so I think it's alright. When do you wanna get married?"
เล่นเอาปฏิเสธแทบไม่ทันฮ่ะ
หนุ่มอังกฤษนี่ ใจง่ายจริง อิอิ
.
คำคมประจำวันนี้
Nothing goes according to plan

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Ride and Shine!

มีเพื่อนดี ถือเป็นศรีแก่ตัว
เมื่อสองสามวันก่อน แอนดรูว์ เพื่อนคนอังกฤษ ที่รู้ว่านรากำลังจะย้ายบ้าน มาถามว่าอยากได้จักรยานไหม เขาเห็นมีคนโฆษณาขายอยู่คันหนึ่ง เผื่อย้ายบ้านแล้วจะได้เดินทางไปไหนมาไหนง่ายขึ้น
นราบอกว่าก็ดีนะ แต่เส้นทางอะไรก็ไม่รู้จัก ปกติเดินเอาไม่ก็รถเมล์ แถมตอนนี้ถังแตกอีกตะหาก
แอนดรูว์บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวออกตังค์ซื้อไปให้ก่อน มีเงินเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืนก็ได้
ใจดีสุดๆ
สรุปว่าวันนี้เลยได้จักรยานใหม่มาคันนึง จริงๆไม่ใหม่หรอกเพราะเป็นของมือสองอะนะ แต่สำหรับเรามันใหม่เพราะไม่เคยใช้มาก่อน
สีม่วงตะแหลนแป๋น เหมาะกับเจ้าของตอแหลๆแบบเราดี

เจ้าของเก่า ท่าทางจะเป็นนกกระยาง
อานนั่งยกสูงมากกกกก ขึ้นไปนั่งแล้วตูดกระดกเหมือนตลกคาเฟ่ ต้องให้แอนดรูว์ช่วยไขลงให
จักรยานขายมาพร้อมกับล็อก ล็อกเหนียวมาก ทั้งดันทั้งดึง กด กระชาก บิด หมุน กว่าจะไขเสร็จก็ท้องพอดี ไขล็อกนี่เหนื่อยกว่าปั่นจักรยานอีก มือดำหมด
เพราะว่าไม่ได้ปั่นจักรยานมานานมาก ถ้าจำไม่ผิดครั้งสุดท้ายที่ปั่นคือม.ปลาย ห้าปีกว่าแล้วอ่ะ
พอขึ้นไปนั่งบนจักรยานใหม่ มันก็ยังปั่นได้นะ แต่ไม่แข็ง
ปั่นแล้วสั่นๆเหมือนสาวพรหมจรรย์ต้องมือชาย เพียงแต่อันนี้ถ้าพลาดท่าเสียทีคือตายลูกเดียว แบบว่าพุ่งหลาวลงเนิน หรือรถเมล์คาบไปแดก
ทั้งจักรยาน ล็อก และแถบสะท้อนแสง รวมแล้วราคา 20 ปอนด์ ถูกมาก
มิน่าตาแอนดรูว์ถึงได้ตื่นเต้นนัก อยากให้ซื้อ แถมเป็นจักรยานกึ่งเสือภูเขาด้วย มีเกียร์ห้าเกียร์ ถ้าโซ่มันตกร่องทีก็ไม่รู้จะทำไง
.
พอดีว่าตอนแอนดรูว์เอาจักรยานมาให้ นรากำลังจะออกไปซื้อของกินเข้าหอพอดี เลยได้ลองของใหม่แบบชวนตาย ปั่นข้ามเมืองไปซื้อของ
โอ๊ยยยยน่ากลัวมาก ปกติที่ไทยก็ไม่ค่อยได้ปั่นจักรยานออกถนนใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งมาอยู่นี่เส้นทางอะไรก็ไม่คุ้น รถรา ไฟจราจรอะไรก็ไม่คุ้น กลัวจะตายห่า ปั่นไปเหงื่อออกเต็มเลย เวลาจะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเขาต้องยกมือขอทาง นราไม่ยกอะ ไม่กล้าปล่อยมือ เสียวล้ม
ใช้สมาธิหนักมาก ยิ่งกว่าอ่านหนังสือสอบอีกให้ตาย
ก็ต้องค่อยๆฝึกต่อไป ถ้าไม่เห็นมาอัพบล็อกอีกก็อาจจะแปลว่าตกจักรยานฉิบหายไปแล้วนะคะ
.
ก่อนหน้านี้ ไม่ค่อยได้ไปว่ายน้ำแล้ว
เหตุผลหลักคือขี้เกียจเดินไกลๆ ตอนนี้มีจักรยานแล้ว อ้างไม่ได้ละ
แต่ก็ดีเหมือนกันจะได้ใช้ค่าสมาชิกให้มันคุ้มหน่อย
จ่ายแต่ไม่ไป บ้านรวยหรือไงอีนี่
.
อึดอัดพุงง่ะ

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Money Is A Biggie!

ใครที่รู้จักนรา
จะรู้ว่านราเป็นมนุษย์ที่จัดการอะไรให้เป็นระเบียบได้เฮงซวยมาก เลินเล่อที่หนึ่ง ผลัดวันประกันพรุ่งอีกอ่ะ พูดง่ายๆคือเป็นคนชุ่ย เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แก้ไม่หาย บางทีก็ซวยเพราะความชุ่ยของตัวเอง บางทีก็ต้องมานั่งเสียใจทีหลังกับความไม่รอบคอบ
เอาเป็นว่าวันนี้ขอเอาเรื่องที่เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆ มาแฉเป็นอุทาหรณ์แล้วกันนะ
เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครก็ตามแต่ที่กำลังจะมาอังกฤษ แล้วเปิดบัญชีที่นี่
.
ตอนนรามาอังกฤษใหม่ๆ แน่นอนว่ายังไม่มีบัญชีเป็นของตัวเอง
ไปไหนมาไหนพกเงินเป็นฟ่อน จนล่วงเข้าเดือนพฤศจิกายนแล้วนั่นแหละถึงได้มีบุญตามเพื่อนไปเปิดบัญชีกับเขาบ้าง ได้บัตรเดบิตมาใบหนึ่ง
ไอ้บัตรนี้มันช่างแสนสบาย เงินสดไม่พอก็รูดเอาก่อนได้ สะดวกเหลือแสน
แถมใช้ซื้อของทางอินเตอร์เน็ทได้อีกแน่ะ
นรา จากเด็กน้อยหลังเขาที่ไม่รู้เรื่องห่าเหวอะไรเกี่ยวกับเงินพลาสติกเลย ก็มีความสุขกับความสะดวกสบายที่ว่านี้มาก
.
พออยู่นานไป เริ่มชิน เริ่มมีการซื้อของซื้อบริการผ่านการหักเงินโดยตรงจากบัญชี
เช่น ฟิตเนสเซนเตอร์ กับค่าโทรศัพท์ ถึงเวลามันก็จะหักเงินออกโดยอัติโนมัต
นี่แหละ จุดเริ่มต้นของเรื่อง
เอาง่ายๆเลยคือ นราเอาเงินประจำเดือนที่ได้จากม.ที่ไทยย้ายไปใส่ในบัญชีอังกฤษไม่ทัน มันตัดเงินค่าโทรศัพท์ไปก่อนแล้ว
ซึ่งตอนนั้นในบัญชีเหลืออยู่สามปอนด์ ค่าโทรศัพท์สิบสามปอนด์ มันจะไปพอได้ยังไง
เงินในบัญชีก็เลยกลายเป็นติดลบสิบปอนด์กว่า ซึ่งตอนนั้นนรายังไม่รู้ เพราะนานๆจะเข้าไปเช็กแบงค์สเตตเมนท์ออนไลน์ซะที
หลังจากนั้นสิบวัน เงินมา นราถึงได้ย้ายเงินจากบัญชีกรุงไทยไปใส่บัญชีธนาคารอังกฤษ สามร้อยปอนด์
.
ปรากฏ เมื่อวานนี้ ได้รับจดหมายจากธนาคาร บอกว่าเราใช้เงินเกินบัญชี ถือว่าเป็น overdraft service คือทางธนาคารออกเงินส่วนที่เกินมาให้ก่อน โดยจดหมายที่ว่าเนี่ย บอกว่าให้ใช้เงินคืนให้เร็วที่สุดด้วย ซึ่งก็ไม่มีปัญหา เพราะนราเอาเงินเข้าบัญชีไปแล้ว
แต่ๆๆๆ จดหมายแผ่นที่สองนี่สิ ทำเอาขนหัวร่วงกราว ตรงไหนมีขนมันร่วงหมด เพราะมันเป็นจดหมายอธิบายค่าปรับของธนาคาร
1. เมื่อใช้เงินเกินบัญชี จะมีค่าปรับรายเดือนทันที สิบห้าปอนด์
2. ทันทีที่ให้ธนาคารออกเงินให้ก่อน ธนาคารจะถือว่าเป็นการกู้ยืม เพราะงั้นเงินที่ยืมไปคิดดอกเบี้ย 1.48%
3. และควรจะโอนเงินส่วนที่ต่างเข้าบัญชีทันที เพราะมันชาร์จวันละหกปอนด์สำหรับยอดเงินไม่เกินยี่สิบห้าปอนด์ และมากกว่านั้นตามสัดส่วน
โหดฉิบหาย ยืนอ่านจดหมายนี่รู้สึกได้เลยว่าเลือดไหลซิบๆลงมาตามแผลที่โดน ตัวงี้แบนเลย โดนรีดไถ (แต่ถึงไม่รีดก็แบนอยู่แล้ว)
บอกตามตรงวินาทีนั้นใจสั่นมาก มือเท้าเย็น ปากชา หิวข้าวด้วย ใจหวิวๆ พยายามปลอบใจตัวเองว่าเค้าคงไม่ปรับเรามั้ง เมื่อวานเข้าไปเช็กยอดเงินก็เห็นมีเท่าที่ถอนใช้ไป ไม่มีโดนปรับหนิ แต่อีกใจก็บอกว่า ถ้าเขาไม่ปรับเมิงแล้วเขาจะส่งจดหมายมาบอกเมิงทำไม
ปรึกษาเพื่อนอังกฤษ เขาก็บอกว่าให้โทรไปถามจะดีกว่า
นราก็โทรไป ด้วยใจที่สั่นไหวและมือที่สั่นเทา
.
คุยเสร็จ เครียดเลย ปวดหัว
สรุป โดนชาร์จจริงๆ 75 ปอนด์เนื้อๆ
ค่าปรับรายเดือน 15 ปอนด์ ค่าปรับรายวัน วันละหกปอนด์อีกสิบวัน เป็น 60 ปอนด์ สิริรวมเลขสวยแต่ซวยคนจ่ายคือ 75 ปอนด์
จะหักออกจากบัญชีเดือนกันยา
นราเพิ่งโดนฟิตเนสเซนเตอร์ชาร์จเพิ่มไปจนถึงเดือนกันยามาหยกๆเพราะไปยกเลิกสมาชิกไม่ทัน จะโดนอีกแล้วหรอเนี่ย จ่ายพร้อมกันทั้งค่าฟิตเนสทั้งค่าปรับเดือนหน้านี่ แดกขยะเปียกแน่ๆ
วิงเวียน ตาลาย ไม่รู้จะทำไง เลยโทรถามเพื่อนคนเดิม เพื่อนบอกไปคุยที่สาขาที่เราเปิดบัญชีไป
.
นราขึ้นรถเมล์ เชื่อมั้ยจำไม่ได้เลยมาถึงเมืองได้ไง เมื่อไหร่ คือมันเหม่อมาก ในหัวคิดแต่ว่า ทำไมๆๆๆๆกูถึงได้ชุ่ย ทำตัวเองซวยเป็นประจำอย่างนี้วะ
เงินตั้งขนาดนั้น ไอ้มีจ่ายนะมีอยู่หรอก แต่มันจะไม่เหลือแดกไง ถึงได้เครียด
ทุกวันนี้ก็แทบจะต้องขโมยอาหารเพื่อนกินอยู่แล้ว
เตรียมเอกสารไปบาน แต่งตัวเรียบร้อย สร้างภาพว่าปกติชั้นไม่ได้ยากจนจนต้องรูดเงินเกินหรอกนะยะ แต่มันเป็นอุบัติเหตุ
ไปถึงก็ทำหน้าน่าสงสารสุดฤทธิ์ เล่าให้เขาฟังอย่างละเอียดว่างี้ๆๆๆ เงินจากไทยมันมาไม่ทันค่ะ เพราะงั้นเดี๊ยนไม่ผิดนะคะ อีกอย่างตอนเปิดบัญชีไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าใช้เงินเกินจะโดนปรับหลังอานอย่างนี้
เจ้าหน้าที่เขาก็อ่านๆๆ พยายามหาช่องโหว่ของสัญญาให้เรา สุดท้ายก็บอกว่า เพราะเราไม่เคยเบิกตังค์เกินมาก่อน คราวนี้จะยกเลิกให้ แต่ห้ามใช้เงินเกินอีกภายใน 12 เดือน คราวนี้ช่วยไม่ได้แล้วนะ
นรานี่พยักหน้าด๊กๆๆเหมือนนกหัวขวาน แทบจะคลานไปกราบตีนเขาอยู่แล้ว อะไรก็ได้ค่าขอให้ไอ้เงินจำนวนนี้มันไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับหนูเป็นพอ
สุดท้าย ถือว่าสวรรค์ยังเมตตา ฟ้ายังมีใจ รอดตัวมาได้ ไม่ต้องจ่ายเงินเดือนหน้า ไม่ต้องแดกแกลบแทนข้าว
.
ข้อคิดประจำวัน
แบงค์อังกฤษ โคตรโหด โปรดระวัง
เงียบๆ หงอยๆ ไม่เรื่องมาก
แต่ชาร์จทีแม่งเอาตาย
นราก็ได้บทเรียนแล้ว จากนี้ไปคงระวังตัวให้มากขึ้น รอบคอบมากขึ้น
จำไปอีกนานค่ะ

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"D" Is for the Devil

เดือนพฤษภาและมิถุนาที่ผ่านมา
ชีวิตมีความสุข สนุกสนาน เบิกบานหาใดเสมอเหมือน
ทุกวันไม่ทำอะไรนอกจากกิน นอน ดูชิงร้อยชิงล้านในยูทูป ดูซีรีส์เกาหลี เคโรโระ
วันนี้ ณ ขณะนี้ เดือนสิงหาคม
ถึงเวลาชำระหนี้ค้างจ่ายแล้ว
สม
.
วิทยานิพนธ์ค่ะ Dissertation พิมพ์ไปแสยงมือไป คำต้องห้ามจริงๆคำนี้
ได้ยินคนพูดถึงแล้วจะเกิดอาการมือเท้าเกร็ง ปากบิด ตากระตุกทันที
มันมารอตั้งนานแล้วแหละ เราไม่ทำเอง
โทษใครไม่ได้
ที่ผ่านมาก็อ่านบ้าง ค้นหนังสือมารวมๆไว้มั่ง
คือทำเหมือนขยัน เดินไปหอสมุด อุ้มกลับมาเต็มอ้อมแขน แล้วเอากลับมาตั้งไว้เป็นสิริมงคลที่หัวนอน ไม่ทำห่าอะไรกับมันเลย
ตอนนี้ผลัดวันประกันพรุ่งไม่ได้แล้ว เพราะเวลาน้อยลงทุกที
ภาพที่ท่านจะได้เห็นต่อไปนี้ เป็นภาพจริงจากสถานที่จริง ไม่ผ่านการตัดต่อ ตกแต่งใดๆทั้งสิ้น
เพื่อแสดงให้เห็นว่า คำคำเดียวอย่าง Dissertation ส่งผลต่อชีวิตคนได้มากแค่ไหน
เชิญทัศนา
.
เริ่มที่โต๊ะทำงานก่อน
ตอนนี้มันไม่ใช่แค่โต๊ะทำงานแล้ว แต่เป็นเหมือนห้องเช่าในตัว
เริ่มจากมุมซ้ายสุด
กระป๋องน้ำ ถ้วยชามอาหารที่เอาเข้ามากินในห้องแล้วยังไม่ได้เอาออกไปล้าง วางกองเป็นหอไอเฟล
บางถ้วยมีฟอซซิลเกาะติด น่าเก็บรักษาเป็นวัตถุโบราณของชาติมาก
พัดลม เปิดทิ้งไว้ตลอดเวลา มอเตอร์จะไหม้แล้วมั้ง
ตรงกลางเป็นกองหนังสือโน้ต เอกสาร ข้อมูลสรุปย่อ ทุกอย่างกองรวมกันเป็นตั้ง
เงยหน้าขึ้นมาก็เป็นโน้ตย่อ โน้ตเตือนความจำทั้งหลาย รวมทั้งพวกตัวอย่างงานเขียน กฎกติกามารยาทกอล์ฟทิปทั้งหลายทั้งปวงอยู่บนนั้นหมด
เรียกว่าหลอกหลอนแบบสเตอริโอเซอราวด์
ปิดท้ายด้วยคอมพิวเตอร์ตัวเดิม ที่ตอนนี้เป็นทั้งชีวิต เป็นทั้งวิญญาณไปแล้ว ใครก็ห้ามแตะคอมกรู หวงยิ่งกว่าปู่โสมเฝ้าทรัพย์อีก

ภาพต่อไปไม่อยากเปิดเผยเลย
อายนะเนี่ย
แต่เอาเหอะ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รู้ว่าชีวิตนักเรียนนอก (ชุ่ยๆ) มันเป็นยังไงมั่ง นราพร้อมพลีชีพค่ะ
คาดว่าหลังเอนทรี่นี้ออกไป คงหาผัวไม่ได้อีกเลยทั้งชีวิต
ผู้หญิงอะไร ชุ่ยชะมัด
.
ครั้งสุดท้ายที่พับผ้าห่มคลุมเตียงเรียบร้อย
คาดว่าน่าจะเมื่อสามร้อยปีก่อนคริสตศักราชที่แล้ว
ไม่ได้จัดเตียงนานมาก
โปรดสังเกตหัวเตียงก็เลอะเทอะพอกัน
คือติดนิสัยนอนอ่านหนังสือ ง่วงก็แว้บ เอื้อมมือข้ามหัวเอาหนังสือไปแปะไว้ตรงหัวเตียง ชนทั้งตุ๊กตา นาฬิกาอะไรระเนระนาดไปหมด
และเนื่องด้วยโต๊ะมันเต็มแล้ว อย่างที่เห็นเมื่อกี๊
ก็เลยไม่มีที่จะกินข้าว
เลยต้องมานั่งกินบนเตียงแทน
ห่อขาวๆที่เห็นอ่ะ คืออาหารที่สั่งมาค่ะ
ไม่มีเวลากระทั่งจะออกไปซื้อของสดมาตุน อาหารในตู้เย็นเกลี้ยงแล้ว เหลือผักสลัดเหี่ยวๆอยู่ห่อเดียว


ด้วยความที่เหนื่อย
ออกไปข้างนอกมา สัมภาษณ์เพื่อนบ้าง ให้เพื่อนสัมภาษณ์บ้าง ไปหอสมุดบ้าง
พอกลับมามันก็หมดแรง หมดอารมณ์
สะบัดรองเท้ากองๆไว้อย่างที่เห็นเนี่ย
ตีนก็มีอยู่สองตีน ไม่รู้จะมีรองเท้าเยอะอะไรนักหนา
อืม จะบรรยายความเหนื่อยยังไงดีนะ
เคยไหม ที่เหนื่อยกลับมาแล้วคิดว่าจะอาบน้ำกินข้าวก่อน แล้วทำงานนิดนึงแล้วค่อยนอน
แต่พอนั่งบนเตียงปุ๊บ เหมือนเตียงมันดูดพลังงานที่เหลืออยู่น้อยนิดของเราออกไปหมดเลยอ่ะ
ถึงเวลานั้นสิ่งเดียวที่ทำได้คือ ล้มตัวลงนอน เหมือนเวลาช้างล้ม
ไม่ต้องนับ 1 2 3 TKO น็อกเอ๊าท์ในเวลาไม่ถึงนาที
.
สภาพร่างกาย อย่าเห็นจะดีกว่า
อ้วนอีกแล้ว
เพราะเหนื่อยเกินกว่าจะหอบสังขารไปว่ายน้ำ
ไม่ออกกำลังกาย แต่กินเท่าเดิม มันจะไปเหลืออะไร ก็เบอะอะดิ
ออกรอบๆเอวเหมือนห่วงยาง อึดอัดมาก เวลาเอี้ยวตัวอะไรก็รู้สึกได้ว่ารอบตัวเรามีชั้นมันหมูหนาๆพอกอยู่
นอกจากนี้ก็มีสภาพสิวขึ้น ยิ่งเฉพาะพอใกล้ช่วงนั้นของเดือนจะระเบิดเหมือนสนามรบเวียดนาม
โทรมค่ะ ข้อมือก็มีปัญหา
อาจจะเพราะคอมมันตั้งไม่ได้มุมที่ถูกต้อง เวลาพิมพ์แล้วฝืนข้อมือ
โอ้เอ๋ย กว่าจะได้ปริญญาโทนี่เราต้องแลกด้วยอะไรมั่งเนี่ย
เหนื่อยจังเลยยย