วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

Hush, It's Spring in York

หลังจากมรสุมชีวิตระลอกแรกผ่านพ้น
นราก็พอมีเวลาหายใจหายคอกับเขาบ้าง
หลังระหกระเหินลากสังขารเหี่ยวโทรมกลับมาจากอัมสเตอร์ดัมได้
ก็เอาอสุภะปะไว้กับเตียงจนหายเหนื่อยอยู่สองสามวัน
ต้องรีบหายเหนื่อย มีแรงออกไปเดินเร็วๆ เพราะช่วงนี้อากาศดีมาก
ฟ้ายังมีเมฆเยอะ แต่ถ้าไม่มีเมฆก็เป็นสีฟ้าใสเหมือนลูกแก้ว
ลมพัดเอื่อยๆ ชื่นใจ หายเหนื่อย มีแรงทำอะไรๆขึ้นอีกเยอะ
.
เสียดายว่าช่วงที่นราไม่อยู่ ดันเป็นช่วงที่ดอกแดฟโฟดิลบานเต็มที่
กลับมาแล้วก็ยังมี แต่ไม่เยอะเท่าช่วงที่สวยที่สุดของมัน เสียดายนิดๆ
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา นราก็หิ้วฟูจิคุงออกไปเดินเล่น
เรียงความไว้ทีหลัง คนกำลังเหนื่อยไม่มีอารมณ์เขียนหรอกย่ะ
แดฟโฟดิลสวยๆ ยังมีให้เห็นเยอะเลยในเขตมหาลัย หลายแบบด้วย
เห็นแล้วนึกถึงกลอนของวิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ธ กลอน The Daffodils
แล้วเลยเข้าใจว่าทำไมเขาถึงพรรณาไว้ซะร่าเริงมีความสุขมหาศาลขนาดนั้น ก็เพราะมันสวยจริงๆ เห็นแล้วมีความสุขจัง เวลาลมพัดส่วนดอกที่มันหนักก็ดิ่วดิ้วไปมาตามแรงลม
Ten thousand saw I at a glance,Tossing their heads in sprightly dance.
รุ่นพี่เคยบอกว่า เข้าฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน เชอร์รีก็จะทยอยบาน
บานจริงๆด้วย เชอร์รีที่นี่ก็คือซากุระญี่ปุ่นใช่ไหมอ่ะ
เอาไปเทียบกับรูปในบล็อกแนน มันก็คล้ายๆกันนินา
ต้นนี้แบบดอกชั้นเดียว เป็นต้นแห้งๆลีบๆ
ขึ้นเลื้อยแนบข้างตึกแวนเบรอห์ที่เราเดินผ่านประจำ
ไม่น่าเชื่อว่าพอมีดอกบานแล้วจะสวยขนาดนี้
แต่ถ้าถามถึงต้นขวัญใจ
ต้องต้นใหญ่หลังหอกลางของแวนเบรอห์ต้นนี้เลย
ดูตอนฤดูหนาว ไม่รู้เลยว่าเป็นเชอร์รี
ตอนนี้เป็นสีขาวฟูเต็มทั้งต้น เหมือนทะเลสีขาว
ทรงต้นเขาก็สวยนะ เป็นทรงร่มเตี้ยๆ ทอดกิ่งออกไปยาวๆ
เป็ดชอบมานอนใต้ต้น ห่านชอบมาจิกดอกกิน
ส่วนสาวๆนักศึกษาก็ชอบมานั่งเล่นใต้ต้น เม้าธ์กันระริกระรี้
เชอร์รีต้นนี้หอมมาก หอมแบบหวานๆ เย็นๆ (ไม่ใช่ไอติมแท่งนะ) ได้กลิ่นแล้วชื่นใจ จะให้นอนดมทั้งวันเลยก็ยังได้


อีกหนึ่งต้นดอกลา คล้ายต้นแรกแหละ
แต่ต้นนี้หญ่ายยยมาก สูงเท่าตึกสองชั้น ท่าทางจะเก่าแก่มาก
หอมเหมือนกัน แต่ไม่เท่าต้นดอกซ้อน

สีชมพูบ้าง
ต้นนี้มันบอบบาง กร๋องแกร๋งยังไงไม่รู้ เหมือนไม่มีแรงจะออกดอก
แต่สวยดีค่ะ สีชมพูอ่อนๆ เหมือนลูกกวาด
อยู่ข้างเซ็นทรัลฮอล
ส่วนต้นนี้ ได้คำยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญว่าเป็นแมกโนเลีย
ดอกใหญ่มากกก
เคยเห็นในสารานุกรมไม้ดอกที่บ้านเรา ก็ใหญ่ประมาณจำปาเขื่องๆ แต่ของที่นี่แบบ ดอกตูมอันเท่ากำปั้น เหมือนดอกบัวแบบยืนต้นดีๆนี่เอง ตอนตูมเป็นสีม่วงอ่อน พอบานแล้วออกขาว
ระหว่างที่เดินถ่ายรูปนั้น ก็ต้องระมัดระวังการก้าวเดิน รวมไปจนถึงจังหวะการแกว่งแขนด้วย เพราะฤดูนี้เป็นฤดูเป็ดน้อยค่ะ
ส่วนใหญ่เขาก็ปล่อยให้มันผสมพันธุ์ ฟักไข่กันตามมีตามเกิด
แต่สำหรับหงส์ขาว เขามีการล้อมพื้นที่ให้อย่างดี
มีป้ายติดด้วยว่าอย่ารบกวน หงส์กำลังฟักไข่
ถ้าให้เปรียบก็คงเหมือนชนชั้นไฮโซ ในขณะที่พวกเป็ด ห่าน และคูต (นกน้ำตัวดำๆ) เป็นชนชั้นกรรมาชีพทั่วไป อยากฟักไข่ตรงไหนก็เรื่องของเมิง
.
ออกมาแย้ว ออกมาแย้ววว
นรารัวกล้องไม่ยั้ง
ฝีมือถ่ายภาพก็โคตรดีเลย ถ่ายสิบจะสวยก็แค่รูปเดียว
ห่านน้อยมากะป่าป๊ามาม้า
มาหัดดำน้ำ หาอะไรกิน
สองตัวนี้น่าจะออกจากไข่มาได้สักพักแล้ว เพราะเริ่มโต คอยาว

สามหน่อนี้จิ อริ๊งอร๊างมากมาย
ยังปุ๊กลุกอยู่เลย น่าร้ากกก
แม่ห่านดุมาก ขยับตัวนิดหน่อยแม่งหันมามองหน้า
ขาย่อ คอเหยียด พร้อมวิ่งเข้าประจัญบาน

ถ่ายไปร้อยกว่ารูป กำลังจะกลับละ
โอ้โห เจอฟินาเล่
ป๊ะหงส์ดำแฟมิลี่จังๆ ตรงหัวมุม
ในบรรดาลูกเป็ดลูกห่านทั้งหลาย
ลูกหงส์จะเป็นอะไรที่คนชอบมากที่สุด
เพราะมันฟูที่สุด อ้วนจ้ำม่ำที่สุด
และแน่นอน เพราะเค้าเป็นไฮโซ

หน้าตามันก็ไม่ต่างอะไรจากลูกก้าบเท่าไหร่หรอก
แค่ใหญ่กว่า น่ารักกว่า ฟูกว่าเท่านั้นเอง อิอิ
เดินตามถ่ายรูปครอบครัวหงส์ดำนี่นานพอสมควร
โดยที่ตลอดเวลานั้นมีเป็ดตัวนึงเดินตามตลอด
ไม่รู้มันจะเอาอะไร
เดินตามมาแล้วมองหน้าด้วย มองเฉยๆ ไม่ได้ขู่อะไรนะ
ก็ไม่รู้มีเสน่ห์กับเป็ดหรือยังไง อิอิ
เอ๊ะ หรือเขาอยากให้ถ่ายรูปก็ไม่รู้

นี่จิ ลูกก้าบของจริง
เท่าที่สังเกต ลูกก้าบจะออกมาเยอะที่สุด ห่านจะแค่สองสามตัว
ลูกก้าบนี่ ฝูงนึงตั้งแปด ตั้งสิบตัว
เดินตามแม่มันเป็นพรวน
ลูกก้าบตัวเล็กน่ารักที่สุด แต่ก็ว่ายน้ำเร็วที่สุดด้วย
ถ่ายไม่ค่อยจะทัน
นึกดู เท้าเล็กๆพุ้ยน้ำ ดิ่วดิ้ว ดิ่วดิ้ว แบบพุ้ยถี่มากแต่ตัวไปไม่ได้ไกลเท่าไหร่เล้ย นั่งดูแล้วก็ขำดี

ตอนแรกกะว่าจะออกไปถ่ายรูปแค่ชั่วโมงเดียว
เอาเข้าจริงๆล่อไปสามชั่วโมง ถ่ายจนถ่านหมด
คือใจมันรักการถ่ายรูปอ่ะนะ แต่ฝีมือมันไม่ได้เรื่อง
อยากจะกลับไปเรียนถ่ายภาพอยู่เหมือนกัน
แต่ถึงยังไงพอกลับมาห้องแล้วนั่งดูรูปที่ถ่ายมา ก็มีความสุขดีนะ
มันปลื้มใจลึกๆ ถึงจะไม่สวยก็เถอะ
แถมได้ออกกำลังกายด้วยค่ะ
.
อัพเดทเล็กน้อย
กระเป๋าที่พลัดหลงกันตอนอยู่อัมสเตอร์ดัม
ตอนนี้ได้เดินทางกลับสู่อ้อมอกนราแล้ว ไชโยโอบาม่า
ขอบคุณทุกคนเลยที่คอยเป็นกำลังใจให้เสมอ
จากนี้ไปก็คงจะต่อสู้กับงานแทนแล้วค่ะ

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

[Hengsuay Life Series] Final

วันที่สี่และห้าของสมตุ้ย ณ สนามบินชิปโฮล อัมสเตอร์ดัม

จะขอยกยอดรวมไว้ในเอนทรี่นี้เลยแล้วกัน เพราะอะไรเหรอ เพราะมันเหมือนกันทุกวันน่ะสิ

ไม่รู้จะบรรยายซ้ำซากหาอาวุธด้ามยาวไปทำไม

ตื่นมา แปรงฟัน หาไรกิน แล้วก็เล่นคอม กินข้าวเที่ยง เล่นคอม กลิ้งๆ นอน

ให้ท่านผู้อ่านได้จินตนาการถึงชีวิตไร้จุดหมาย วนลูปซ้ำไปซ้ำมาน่าเบื่อ

......

ย่างเข้าวันที่หกของการติดแหง็กอยู่ที่สนามบิน สมตุ้ยตื่นมาพร้อมความหวัง เพราะวันนี้บรรยากาศดูคึกคักกว่าวันอื่น เนื่องจากมีข่าวแว่วมาว่าสนามบินอังกฤษจะเปิดตอนเที่ยง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินมาบอกสมตุ้ยว่า ผู้โดยสารที่จะไปสหราชอาณาจักร ให้ไปเข้าแถวที่เกท T6 ประมาณว่ารอจองตั๋วใหม่ สมตุ้ยดีใจรีบล้างหน้าแปรงฟัน ข้าวเช้าช่างแม่ง ตั๋วต้องมาก่อน

(ตัดภาพอีกสี่ชั่วโมงถัดมา)

สมตุ้ยยืนขาแข็งมาสี่ชั่วโมงแล้ว แถวหดสั้นลงนิดเดียวเอง สมตุ้ยคิดในใจว่า เอาน่า เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้ว อดทนๆ ก็พอดีกับที่แอร์สาวสวยเดินมาบอกว่า "อ่า พูโดยสารที่จาไปสะหะราชชาอาณาจักร (สาวดัทช์พูดอังกฤษไม่ชัด) ม่ายต้องมาเข่าแถวรอโตงนี้นะขา เดี๋ยวเที่ยงตรงให่มาเจอกานโตรงนี้น่ะขา ตอนนี้จะไปไหนก็ไปขา" ฟาย บอกเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือไงฟะ ต้องรอให้กรูยืนครบสี่ชั่วโมงก่อนใช่หม้ายยยย เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์จริงๆเลย

.....

เอาฟะ สมตุ้ยยังไม่ย่อท้อ ใช้เวลาที่เหลือไปกินข้าวเพราะหิวซกเหมือนชูชกไดเอ็ท บังเอิ๊ญบังเอิญที่ร้านราเม็งวันนี้แม่ครัวเป็นคนไทย เลยโชคดีได้ปริมาณแบบเอ็กซ์ตร้า แซลมอนหนาๆ ถั่วงอกกองมโหฬาร อิ่มท้องแล้วสมตุ้ยก็ไปเก็บของใส่กระเป๋า เป้ตอนนี้หนักราวแปดโลได้แล้วมั้ง สมตุ้ยปวดบ่ามากมาย พอเที่ยงปุ๊บก็ไปยังจุดนัดพบ ผู้คนร่วมชะตากรรมจำนวนมากต่างก็มาคอยกันอยู่แล้ว หารู้ไม่ว่าการรอในครั้งนี้จะเป็นการรอคอยห้วยจน...ห้อย

.....

จะว่าไปก็น่าสงสารเจ้าหน้าที่เหมือนกัน มีกันอยู่ไม่กี่คนแต่ต้องมารับมือกับผู้โดยสารอารมณ์บูดเป็นร้อย ผู้โดยสารก็ต้องการข้อมูล พี่เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีข้อมูลจะให้ ได้แต่เลิ่กลั่กๆ จัสท์ อะ มินิทนะขา ประมาณบ่ายสอง พอเจ้าหน้าที่เห็นว่าผู้โดยสารอารมณ์เย็นลงแล้วเพราะคิดว่าจะได้บิน ก็ปล่อยข่าวร้ายตูมลงมาเลย "อ่า วันนี้จะม่ายมีเที่ยวบินไปอังกฤษนะขา เพราะสนามบินยังม่ายเปิด แต่เราจะจัดห้ายทุกท่านได้ขึ่นรถบัสแอนด์เรือข้ามฟากนะขา แล้วจากนั้นจะไปไหนก็ไปนะขา" สักพักเขาก็เริ่มแบ่งกลุ่มกันว่ามีผู้โดยสารจะไปเมืองไหนในอังกฤษบ้าง สรุปได้ว่าจะมีรถบัสไปแมนเชสเตอร์ เบอร์มิงแฮม ลอนดอน แล้วไรอีกไม่รู้จำไม่ได้

.....

เหมือนเห็นความหวังรำไรแล้วใช่ไหม แต่ก็โดนกระชากกลับไปอย่างไม่ไยดี มันทำทุกอย่างเสร็จแล้วเพิ่งจะมาบอกสมตุ้ยว่า อ้อ ยูถือพาสปอร์ตไทยแลนด์เรอะขา งั้นไปไม่ได้นะขายูไม่มีวีซ่า อีห่าาาาาา ทำไมเพิ่งบอกอีกแล้ว เอาห้าชั่วโมงของการรอคอยกรูคืนมาเลย ทำไมไม่บอกว่าคนที่จะขึ้นรถบัสได้ต้องมีวีซ่าเชงเก้นเข้ายุโรปวะหา เหมือนให้กรูมาฟังเฉยๆ เสร็จแล้วไปได้ไม่ได้เรื่องของมึง เส้นเลือดสมตุ้ยใกล้แตกแล้วตอนนั้นเลยบอกไปว่า เออ งั้นไอกลับไปนอนรอเที่ยวบินแล้วกันนะ ขี้เกียจรอแล้ว แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าอย่ารอเลย เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจะมีเที่ยวบินอีกทีเมื่อไหร่ ว่าแล้วหล่อนก็ลากสมตุ้ยผู้ยังมึนๆงงๆเซ็งๆไปออฟฟิศตรวจคนเข้าเมือง บอกให้ทำวีซ่าไปซะจะได้ขึ้นรถบัสกลับอังกฤษได้ และนั่นแหละจุดเริ่มต้นของการเดินทางนรกของสมตุ้ย

.....

เริ่มเลย สมตุ้ยโดนค่าวีซ่าเชงเก้นชั่วคราวไปหกสิบยูโร แล้วเจ้าหน้าที่ก็พาสมตุ้ยไปนอกสนามบินเพื่อเข้าแถวรับตั๋วขึ้นรถบัส สมตุ้ยรออยู่ในแถวไปแมนเชสเตอร์ หันมามองอีกที อ้าว รถไปแมนฯแม่งเต็มแล้ว ปิดรับผู้โดยสาร แล้วจะให้กรูกลับยังไง เดินไปเรอะไง สุดท้ายสมตุ้ยเลยต้องขึ้นรถบัสไปลงที่สนามบินลอนดอนฮีทโธรว์แทน รถออกตอนห้าโมงเย็นเวลาท้องถิ่น ทะลุผ่านเนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส เพื่อไปลงเรือข้ามช่องคลอด เอ๊ย ช่องแคบอังกฤษไปโดเวอร์ (จำได้ไหมอยู่ในหนังสือเรียนอังกฤษตอนม.สามไงเมืองนี้) สิริรวมเวลาเดินทางในรถบัสจนถึงท่าเรือ: หกชั่วโมง ก่อนจะขึ้นเรือต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองก่อน เขาก็ถามพอเป็นพิธีว่าเข้าอังกฤษทำไม ไปทำอะไร ใช้เวลาไม่นาน แต่เหมือนฟ้าจะไม่พอใจที่สมตุ้ยยังดูสบายดี เลยบันดาลให้ถุงพลาสติกใส่ขวดแชมพูในกระเป๋าถือสมตุ้ยแตก แชมพูไหลนองออกมาเปรอะเป๋าตัง กล้อง เฮดโฟน และอื่นๆ สมตุ้ยน้ำตาตกใน อยากได้ตุ๊กตากระต่ายของเนเน่จังมาตุ๊ยระบายอารมณ์เหลือเกินตอนนั้น

.....

รถบัสเข้าไปจอดในเรือ Pride of Canterbury เป็นเรือข้ามฟากใหญ่เบ้อเริ่ม เรือโยกไปเยกมาทำเอาสมตุ้ยที่เหนื่อยจากการเดินทางอยู่แล้วเวียนหัวแทบจะอ้วก เลยไปซื้อชาร้อนมาหนึ่งแก้ว ที่อังกฤษนี่ ไม้สำหรับคนชากลิ่นเหมือนกันหมด เป็นลักษณะเหมือนไม้ไอติมผอมๆ แต่กลิ่นเหมือนน้ำยาฟอกไม้ มันเคมีๆยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก สมตุ้ยไม่ค่อยอยากจะใช้ แต่ก็จำเป็น ไม่งั้นชาจะหวานแต่ตรงก้นแก้ว จะเอานิ้วคนรึก็ร้อนเกิน เรือใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบชั่วโมง แล้วสมตุ้ยก็ขึ้นรถบัสคันเดิมมุ่งหน้าสู่ลอนดอนต่อไป สิริรวมเวลาจนถึงสนามบินลอนดอน: สองชั่วโมง ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตีสองเศษแล้ว

.....

สมตุ้ยสะโหลสะเหล โซซัดโซเซกะจะไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินไปลงสถานีคิงส์ครอส เพื่อหารถไฟไปยอร์ก แต่แน่นอน ถ้าไม่มีมีอุปสรรคมันก๊อไม่เป็นทริปนรกน่ะสิ เดินไปถึงสถานีปุ๊บ ปิดฮ่ะ พี่ๆกรรมกรบอกว่าตอนนี้ปิดซ่อมจ้ะน้อง เปิดอีกทีตีห้า น้องไปนั่งรถโค้ชนะจ๊ะ...

พูดมาถึงตอนนี้หลายคนอาจจะหาว่าสมตุ้ยขี้โม้ อะไรมันจะทรหดปานนั้น แต่สมตุ้ยยืนยันว่านี่เรื่องจริง เกิดมาไม่เคยต้องระหกระเหินขนาดนี้เลย อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก เหนื่อยเกิน ตอนแรกสมตุ้ยก็คิดว่าจะรอให้รถไฟใต้ดินเปิด แต่หลังจากคุยกับคนโน้นคนนี้ ได้ความว่าตอนนี้ตั๋วรถไฟราคาพุ่งไปเฉียดร้อยแล้ว สมตุ้ยเลยเปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่ใช่เพราะประหยัด แต่เป็นเพราะตอนนี้เงินในกระเป๋าเหลือไม่ถึงหกสิบปอนด์แล้ว ตรงสถานีรอรถโค้ชที่สมตุ้ยไปนั่งรอนั้นแสนเหน็บหนาว อุณหภูมิประมาณสามองศา ขอบคุณมากเลย สมตุ้ยใส่เสื้อยืด แจ็กเก็ตหนัง แล้วก็เสื้อหนาวแค่นั้น หนาวเอาไม่อยู่ ต้องคุ้ยเอาผ้าขนหนูที่ได้รับจากแจกสนามบินมาใช้ต่างผ้าพันคอ ฮือ อนาถตัวเองจริงๆ

.....

สุดท้ายสมตุ้ยต้องนั่งรถโค้ชไปยอร์ก ค่าตั๋วสามสิบปอนด์ รถออกตีห้าครึ่ง สรุปก็ต้องนั่งรอเหมือนเดิม รถโค้ชที่ว่านี่เป็นของ National Express เป็นโค้ชคันโตๆที่เบาะนั่งสามารถปรับเอนได้แค่สองนิ้ว แถมเลื่อนกลับที่เดิมได้เองอีก สมตุ้ยต้องเปลี่ยนรถสองครั้ง ครั้งแรกจากสนามบินไปลงสถานีวิคตอเรีย รออีกสามชั่วโมง แล้วขึ้นอีกคันเพื่อไปยอร์ก ระยะเวลาเดินทางทั้งสิ้น: เก้าชั่วโมง

.....

และแล้ว...และแล้วหลังจากระหกระเหินมานานแสนนาน สมตุ้ยก็ไม่เคยรู้สึกว่ายอร์กช่างสวยงามสดใสน่าอยู่อะไรเช่นนี้มาก่อนเลยยยย รถบัสจอดหน้าสถานีรถไฟพอดี หลังจากนั้นสมตุ้ยก็แบกสังขารทรุดโทรมไปขึ้นรถเมล์เบอร์สี่กลับหอที่มหาลัย แล้ววันนี้มันเป็นอะไร ร้อยวันพันปีรถไม่เคยติด วันนี้ติดแม่งทุกไฟแดง แต่ช่วงนี้ยอร์กสวยมาก ดอกไม้กำลังบานสะพรั่ง แม้สมตุ้ยจะกลับมาไม่ทันช่วงที่ดอกแดฟโฟดิลสวยที่สุด แต่ก็ยังมีให้เห็นอีกเยอะ เชอร์รีก็กำลังบาน สวยจนสมตุ้ยเกือบจะลืมเหนื่อย นั่งยิ้มน้อยๆเป็นนางเอกมิวสิกไปจนถึงมหาลัย

.....

สมตุ้ยเข้าห้อง

สมตุ้ยเห็นเตียงนอนสีฟ้านุ่มนิ่มรอต้อนรับ

สมตุ้ยน้ำตาไหลพราก

คืนนั้นตอนเข้านอน สมตุ้ยหลับทั้งๆที่ยิ้ม เรื่องจริง แปลกมาก อ่านหนังสือมาก็เยอะ เห็นชอบเขียนกันจังว่า หลับไปทั้งๆที่มีรอยยิ้มอยู่บนหน้า ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริงไปได้ คราวนี้รู้ซึ้งถึงแก่น โคตรมีความสุขเลยยยย

จากเหตุระหกระเหินครั้งนี้ ลำบากก็จริง แต่สมตุ้ยก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ได้พบผู้คนหลายแบบ เข้าใจชีวิตมากขึ้น แต่ถ้าให้เลือกก็ไม่เอาแล้วอ่ะ ทีหลังหากฟ้าเบื้องบนประสงค์จะให้สมตุ้ยได้เรียนรู้ชีวิต ขอเป็นแบบที่ไม่ฮาร์ดคอร์แบบนี้ได้ไหมคะ อันที่จริงก่อนกลับมา ตอนที่ยังติดอยู่ที่สนามบิน สมตุ้ยบนเอาไว้ว่า หากได้เที่ยวบินกลับมาอังกฤษอย่างปลอดภัยก่อนวันพุธ สมตุ้ยจะเป็นมังสวิรัติไปหนึ่งเดือน ปรากฏว่าได้กลับก่อนวันพุธจริง ปลอดภัยจริง แต่ไม่ได้มากะเที่ยวบินง่ะ สมตุ้ยเลยบอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ขอบคุณนะคะที่ให้กลับมาอย่างปลอดภัย แต่ที่หนูขอไว้มันเป็นเดินทางกลับโดยเครื่องบินนะคะ ถ้าอย่างนั้นสมตุ้ยขอต่อรองแล้วกันว่าจะกินแต่ผักไปเดือนนึง แต่ขอเนื้อสัตว์เล็กนิดหน่อยนะคะ ตอนนี้สมตุ้ยเลยเป็นมนุษย์เกือบมังสวิรัติ กินแต่ผัก กุ้ง และไข่ นม เนย และหวังว่าร่างกายจะแข็งแรงในเร็ววันนี้

.....

ต้องขอขอบคุณทุกๆคนที่คอยเป็นกำลังใจให้เสมอในยามยาก สมตุ้ยผ่านพ้นวิกฤติมาได้ก็ด้วยแรงใจจากทุกคน สุดท้ายนี้สมตุ้ยขอลา ขอบคุณที่ติดตามมหากาพย์ไตรภาคของสมตุ้ยในอัมสเตอร์ดัม ถ้าชอบใจอยากอ่านอีกสมตุ้ยก็ขอบคุณ แต่ขอร้องอย่าให้สมตุ้ยต้องไปเจอะเจอสถานการณ์แบบนี้อีกเยยยย นะนะ ไม่เอาแย้ว

รับชมภาพประกอบได้เบื้องล่าง ภาพน้อยหน่อยอย่าติติง ลองมาติดที่สนามบินหลายๆวัน นุ่งกุงเกงลิงซ้ำๆกันหลายวัน ที่นอนไม่มี ข้าวไม่มี แถมไม่สบายมั่งเด้ ใครจะมีอารมณ์ถ่ายรูปหือ?

.....


ภาพ 1 จุดเริ่มต้นของความหายนะ



ภาพ 2 วันนี้วันที่สองแล้ว สมตุ้ยเหม่อท้องท้องฟ้าด้วยหน้าหักๆ เมื่อไหร่กรูจะได้ไปจากที่นี่
ภาพ 3 แก่งแย่งชิงดี ยังมีอยู่ทุกสังคม...(เพลงนายขนมต้มนะเนี่ย ฉายช่องเจ็ดจำได้เปล่า) รถเข็นจำนวนมากถูกเอามาต่อคิวจองที่สำหรับรอจองตั๋วใหม่ของเคแอลเอ็ม

ภาพ 4 ตกเครื่องวันที่สามแล้ว ทนกินขนมปังแจกฟรีไม่ได้แล้ว มือนี้โดนไปสิบเจ็ดยูโร สปาเกตตี้ครีมซอสใส่เบคอนกับถั่วลันเตา แล้วก็ของแปลก ชาลิปตันแบบซ่าๆ เหมือนผสมโซดา ฝรั่งนี่มันชอบอะไรซ่าๆเนอะ อยู่อังกฤษก็เห็นคนกินโซดาเปล่าๆแทนน้ำ น้ำเปล่ามันยังเอาไปอัดฟองให้ซ่าเลย พิลึก

ภาพ 5 คืนวันที่สาม ย้ายนิวาสถานหนีโรงสีไปนอนในโรงนอน ลักษณะคล้ายค่ายกักกันนาซีแต่คงดีกว่ามาก "ชิปโฮลขอเสนอคอนโดรวมไม่เกี่ยงเพศ วัย และหน้าตา หน้าต่างกว้างมองเห็นวิวเนเธอร์แลนด์สวยงาม พร้อมเครื่องปรับอากาศตลอด 24 ชั่วโมง เย็นเฉียบชื่นใจเหมาะสำหรับผู้ที่อยากเป็นปอดบวม พร้อมบริการซีเคียวริตี้การ์ดและแพทย์ประจำตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน เข้าอยู่ได้ฟรีทันทีวันนี้ โปรโมชั่นแรกเข้า แจกฟรีแปรงสีฟันยาสีฟัน กางเกงใน ผ้าขนหนู และผ้าห่ม"


ภาพ 6 คุณลุงเจ้าหน้าที่แบกลังขนมปังมาแจกเด็กน้อยผู้หิวโหย สมตุ้ยไม่หิว แต่เอามาตุนไว้ก่อน อิอิ


ภาพ 7 ทางสนามบินใจดี กลัวผู้โดยสารตกค้างจะเครียดแล้วไปฆ่าตัวตายในส้วม เลยส่งหน่วยบันเทิงมากู้สถานการณ์ ปรากฏว่าได้ผล ผู้โดยสารเฮฮากันใหญ่ แต่พอสายการบินประกาศว่าวันนี้ก็ไม่มีเที่ยวบินก็เซ็งกันเหมือนเดิม ลืมหมดทั้งดนตรีทั้งนักดนตรี


ภาพ 8 ห้องของสมตุ้ย เป็นไงทำเลดีใช่มั้ย มีประติมากรรมส่วนตัวด้วย


ภาพ 9 เช้าวันที่หก สมตุ้ยเข้าคิวตรงนี้แหละสี่ชั่วโมง จนกระทั่งแอร์เดินมาบอกว่า ใครจะไปอังกฤษไม่ต้องเข้าคิว ขอบคุณมาก ไม่รอให้กรูเข้าวัยหมดประจำเดือนก่อนละค่อยมาบอก

ภาพ 10 ราเม็งแซลมอนแบบเอ็กซ์ตร้า ไม่ได้สั่งพิเศษแต่ได้เยอะเพราะแม่ครัววันนั้นเป็นคนไทย อิ๊อิ


ภาพ 11 นี่ไงแม่ครัวที่ว่า พี่แมว ใจดี ขาลุย แกบอกว่าถ้าคืนนี้ยังไม่ได้ไปไหนให้ไปนอนที่บ้านแกก็ได้ ขอบคุณมากค่ะ


ภาพ 12 สภาพความวุ่นวายขณะผู้โดยสารที่จะไปอังกฤษถูกกวาดต้อนมารวมกันแล้วแบ่งเป็นกลุ่มว่าใครจะไปเมืองไหนบ้าง ดูหน้าตาคนในภาพแล้วจินตนาการเอาเองว่ามันจะเครียดแค่ไหนตอนนั้น ผู้โดยสารนี่แทบจะฉีกเนื้อเจ้าหน้าที่เอาอยู่แล้ว

ภาพ 13 หลังจากรอ ผิดหวัง เครียด แล้วก็เสียเงินไปหกสิบยูโร สุดท้ายสมตุ้ยก็ได้ขึ้นรถบัสเพื่อเริ่มทริปนรกข้ามประเทศ ท้องฟ้าสวยจังเลย ดอกทิวลิปก็กำลังบาน


ภาพ 14 สถานีรถโค้ชที่สมตุ้ยไปรอสามชั่วโมงเพื่อรอรถไปยอร์ก โคตรพ่อโคตรแม่หนาว อยากรู้เหลือเกินว่าไอ้คนสร้างเอาเงินไปทำกล้วยอะไรหมด แค่ติดฮีตเตอร์หน่อยมันคงไม่หมดตัวหรอกมั้งงง

เอวัง ณ เพียงเท่านี้
เตรงเตรง เตร่ง เตร๊ง
เตรงตะละเล้งเตรงเตร่งงง
แถมๆ
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคนที่นี่ ทั้งพนักงานดัทช์และคนที่ร่วมชะตากรรมเดียวกับสมตุ้ย
- สาวดัทช์ตัวใหญ่มาก ไม่ได้อ้วน แต่โครงใหญ่สุดๆ
- 99% ของสาวดัทช์ผมบลอนด์ แล้วก็ตัวใหญ่ด้วย
- ตำรวจจำนวนมากหล่อ
- ภาษาดัทช์ฟังแล้วก็เหมือนภาษาฝรั่งเศส แต่กระโชกโฮกฮากกว่า เหมือนพูดตอนเมาเหล้า
- สมตุ้ยอยู่ที่สนามบินจนแยกได้ว่า ถ้ามีประกาศออกไมค์เป็นภาษาดัทช์สำเนียงแบบนี้ มันจะแปลว่าอะไร
- ชักโครก ชักให้อัตโนมัติ
- คนเราเห็นธาตุแท้กันก็ตอนหิวกับเดือดร้อนนี่แหละ
- ในสถานการณ์ลำบากแบบนี้ ผู้คนมักจะช่วยเหลือดูแลกัน ยังไงซะมนุษย์ก็ยังรักกันอยู่นา อยากเจอผู้หญิงชาวฮังการีที่คอยดูแลห่มผ้าเอาอาหารมาให้สมตุ้ยเหลือเกิน แต่จากกันเสียก่อนที่สมตุ้ยจะได้บอกลา
- คิดถึงป๋ากับแม่ แล้วก็ตาหมูมากๆ
จบจริงๆละ ยาวที่สุดเท่าที่เคยเขียนแล้วมั้ง

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

[Hengsuay Life Series] 3

เช้าแล้ว สมตุ้ยตื่นขึ้นมางัวเงียๆ ย่างเข้าวันที่สามแล้วสินะที่ต้องมาติดอยู่ที่นี่
บอร์ดเที่ยวบินยังคงเต็มพรืดไปด้วยคำที่ดูแล้วปวดหัวใจดวงน่อยๆอย่างคำว่าแคนเซิล สมตุ้ยเซ็ง ถอนหายใจเฮ้อ พลางส่งสายตาค้อนควักไปให้ไอ้ญี่ปุ่นที่เมื่อคืนนี้เปิดโรงสีจนกรูไม่ได้นอน ไอ้ตัวต้นเหตุทำทองไม่รู้ร้อน นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปแคะขี้มูกไปสบายอารมณ์
.
วันนี้ร้านค้าส่วนใหญ่ในสนามบินปิด ทั้งร้านพวกของหนีภาษี เอ๊ย ปลอดภาษีอย่างเหล้า นาฬิกา แว่นตา บรรยากาศวังเวงวิเหวกโหวง จำนวนผู้โดยสารตกค้างในสนามบินน้อยลง เพราะเริ่มมีคนหนีไปขึ้นเรือและรถไฟกันหมดแล้ว ไอ้เราพลเมืองชั้นสามก็ได้แต่นั่งมองตาปริบๆน่าสงสาร นึกถึงเพลงพี่เบิร์ด...กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง...
.
พอมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่าวันนี้กรูไม่มีบุญได้ขึ้นเครื่องแล้วแน่นอน สมตุ้ยก็ปลงแล้วซึ่งทุกสิ่งอัน หอบโน้ทบุ๊กขึ้นไปศูนย์อินเตอร์เน็ทชั้นบนแล้วเปิดสไกป์กับเอ็มเอสเอ็นโทรหาป๋า แม่ และตาหมู นั่งคุย (อันที่จริงคือโวยวายโมโหที่ต้องติดอยู่อีกวัน) ได้สักพักใหญ่สมตุ้ยก็คิดว่า สมตุ้ยควรจะไปอาบน้ำได้แล้ว ไม่อยากบอกเลย แต่สมตุ้ยกลับกุงเกงลิงหน้าเอหน้าบีจนมันจะเปื่อยอยู่แล้ว ถ้าไม่เอามาซักวันนี้สงสัย...เน่าแน่ๆ (จงเติมคำในช่องว่าง)
.
สมตุ้ยเดินตามป้ายบอกทางห้องอาบน้ำไปเรื่อยๆ แต่หาไม่เจอ เดินขึ้นเดินลงอยู่นานจนรู้สึกเหนื่อย ก็พอดีเจอผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากทิศทางที่เราคิดว่าน่าจะเป็นทางไปห้องน้ำเลยถามซะเลย เหยื่อผู้โชคดีก็แสนดี บอกว่าถ้าจะอาบฟรีต้องไปอีกทางหนึ่ง ไอ้ทางที่กำลังไปนั่นมันก็มี แต่เสียเงิน 15 ยูโร ฝันไปเหอะ สมตุ้ยจะหมดตูดแล้วรีบคว้าของฟรีทันใด เหยื่อผู้โชคดีก็ใจดี พาเดินไปจนถึง สมตุ้ยเห็นแล้วอยากกระโดดฟรีคิกขาคู่ใส่คนทำป้าย มันทำเหมือนไม่อยากให้ใครไปใช้ คือมีป้ายข้างล่างแผ่นนึงว่า ห้องอาบน้ำ แล้วมีอีกทีก็หน้าห้องอาบน้ำที่อยู่ในซอกเลย...ฟาย นี่เป็นระบบเพิ่มมูลค่าของเอ็งใช่ไหมเนี่ย แบบว่าหลอกให้คนไปอาบแบบเสียเงินแทน
.
ห้องอาบน้ำมีสามห้อง ไม่มีใครเลย เงียบกริบได้ยินเสียงท่อน้ำดังโกรกๆอยู่ในผนัง ห้องกว้างประมาณครึ่งเมตร พอดีสมตุ้ยผอมเพรียว หุ่นเหมือนจิเซล บุนด์เซ่น เลยเข้าไปได้แบบไม่มีปัญหา โฮะๆ มันเป็นห้องแบบสองชั้น คือเป็นประตูเปิดเข้าไป มีตะขอและที่แคบให้เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ต้องเปิดประตูเข้าไปในห้องฝักบัวอีกที
.
สมตุ้ยเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ค้นพบว่าข้อดีอย่างเดียวของการมาติดอยู่ที่สนามบินนี่คือตัวผอมบักโกรกลงหน่อย ห้องอาบน้ำฝักบัวมีน้ำเจิ่งนอง ตรงท่อระบายน้ำมีผมใครต่อใครและขนอะไรต่อมิอะไรที่ไม่อยากจะนึกถึงอุดตรึม สมตุ้ยไม่อยากให้น้ำมันทะลักออกไปข้างนอกแล้วทำเป้กับเสื้อผ้าเปียก เลยเอาหัวแม่ตีลเขี่ยๆมันออกแล้วค่อยเปิดน้ำ ที่กดแบบไฮโซมาก ไม่มีปุ่มให้บิดให้หมุนอะไรทั้งสิ้น เป็นปุ่มแบนๆคล้ายๆแบบสัมผัส แตะเบาๆก็ควบคุมการหลั่งได้ดังใจแบบก๊อกซันว่า
.
(ตัดภาพไปที่สายน้ำหลั่งไหล)
พอน้ำซ่าแรกโดนตัว สมตุ้ยรู้สึกเข้าใจความรู้สึกของผู้โดยสารเรือไททานิกขึ้นมาทันที หนาวฉิบหาย!
น้ำเย็นมาก เย็นจนตัวชา เหมือนมีเข็มแทงไปทั่วตัว ยุบยิบๆๆ แต่สมตุ้ยท่องไว้ ของฟรีๆๆ แล้วอาบน้ำอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ในชีวิต นี่ถ้ามีใครมาจับเวลานะรับรองทำลายสถิติอาบน้ำไวชัวร์ๆ สบู่ไม่มีเหรอ สมตุ้ยไม่สน เอามือถูตามตัวแรงๆก็พอแล้ว ไม่รู้คนอื่นเป็นหรือเปล่า แต่เวลาสมตุ้ยไปอาบน้ำที่อื่นที่ไม่ใช่บ้าน มันจะติดนิสัยชอบเงยหน้ามองเลิ่กลั่กๆขึ้นไปข้างบน เป็นการอาบน้ำแนวทริลเลอร์มาก
.
สมตุ้ยหิวแย้ว
ถึงแม้อาหารที่นี่มันจะแพงบัดซบ แถมรสชาติก็ไม่ได้เรื่อง แต่การกินก็เป็นเรื่องสำคัญของคนเรา สมตุ้ยเอามือล้วงกระเป๋า เจอเหรียญกรุ๋งกริ๋งๆแล้วก็ให้สมเพชตัวเองยิ่งนัก หลายคนที่รู้จักสมตุ้ยจะรู้ดีว่า สมตุ้ยจะมีจุดอ่อนกับบางสิ่งบางอย่าง ที่เวลาเห็นแล้วจะรู้สึกหดหู่ สงสาร เวทนายังไงบอกไม่ถูก ได้แก่ 1) เด็กหรือขอทานจนๆเขรอะๆมาเกาะกระจกร้านอาหารดูเรากิน 2) คนแก่นั่งกินข้าวคนเดียว 3) คนที่ท่าทางหิว เอาเหรียญออกมานับว่าพอดีกับค่าอาหารไหมแล้วกลืนน้ำลายเอื๊อก ตอนนี้สมตุ้ยเป็นเบอร์สาม ไอ้เงินพอน่ะมันพอ แต่สมตุ้ยไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องติดเกาะนี่ไปอีกนานแค่ไหน เงินก็ร่อยหรอลงทุกวัน สมตุ้ยไม่อยากเสี่ยงเพราะไม่ได้รวยเหมือนอดีตนา...อุ๊ยขอโทษค่ะ ไม่จุดประเด็นๆ
.
สุดท้ายสมตุ้ยก็กินแมคเหมือนเดิม วันนี้สั่งแมคฟิช ราคาเจ็ดยูโรเท่าเดิม หน้าตามันประหลาดๆไงไม่รู้ ชีสก็ไม่มี แถมมีผักกาดใส่ไว้เต็มเลย ดูมันรกทกเลอะเทอะเหมือนสักแต่โปะๆเข้าไปยังไงไม่รู้ แล้วเบอร์เกอร์ฝรั่งนี่ไม่รู้เป็นไงเหมือนกันหมด ทำทิ้งไว้จนขนมปังเหี่ยวเหนียวเหมือนยางรถ มันฝรั่งทอดก็แห้ง คือเขาชอบทำแล้ววางทิ้งไว้เยอะๆ ไม่เหมือนของบ้านเราทำใหม่ๆร้อนๆเป็นส่วนใหญ่ บ่นไปยังงั้นแหละ สุดท้ายสมตุ้ยก็ยัดประทานจนหมดอยู่ดี
.
หลังจากนั้นสมตุ้ยก็นั่งแหมะเล่นคอมไปจนหมดวัน ใช้ชีวิตแบบว่างเปล่าไร้ความหมาย ในหัวนึกอะไรไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงต่อไปดี แอบฟังคนอื่นเขาคุยกันแล้วก็รู้สึกเบลอๆว่า เออนี่เขาจะขึ้นเรือขึ้นรถไฟกลับกันแทนแล้วนะ แล้วกรูล่ะ หลายคนบอกให้โทรไปหาสถานทูต แต่สมตุ้ยไม่รู้ว่าจะโทรไปแล้วพูดว่าอะไร "ฮัลโหล ช่วยด้วยค่ะ พาหนูออกไปหน่อย เงินหมดแย้ว" อาจจะโดนวางหูเอาดื้อๆได้ เล่นจนหิวข้าวก็ไปหาข้าวเย็นกิน ตอนนี้แค่ได้ยินคำว่า แม็คฯ ก็จะอ้วกแล้ว เลยเปลี่ยนมากินสปาเกตตี้จานละ 12 ยูโร แพง แต่ต้องยอมเพราะกระเดือดแม็คฯไม่ลงแล้วจริงๆ ปรากฏว่าจานบักเป้งมาก ใหญ่ เยอะๆ เป็นซอสครีมใส่เบคอนชิ้นหนาๆ กับถั่วลันเตา
.
จริงๆวันนี้สมตุ้ยคิดไม่ตก วันนี้จะนอนหงิกอยู่ตรงโซฟาที่เดิมดี หรือจะย้ายไปนอนในโรงนอนที่เขาดัดแปลงเกทจีให้เป็นค่ายพักทหารหลังสงครามโลกดี แต่พอเดินกลับไปตรงโซฟาแล้วพบว่า ผ้าห่มที่อุตส่าห์มัดไว้อย่างดี ใส่ไว้ในรถเข็นกับหนังสือและขวดน้ำ แสดงให้เห็นจะๆว่ามีเจ้าของ โดยไอ้ฟายที่ไหนไม่รู้ดอดขโมยไปแล้ว อารมณ์สมตุ้ยตอนนั้นระเบิดประทุเงียบๆอยู่ข้างใน เป็นอารมณ์ประหลาดที่สมตุ้ยไม่เคยรู้สึกมาก่อน ประมาณว่า ทำไมวะๆๆๆ ผ้าห่มผืนเดียวเมิงยังจะเอาของกูไปอีกหรอ เดินไปขอเขาใหม่มึงจะตายหรือไง เมื่อคืนกรูอุตส่าห์แหกขี้ตาเดินงัวๆเงียๆไปเจ็ดร้อยเมตรเพื่อไปเอาผ้าห่ม แม่งโคตรชั่วเลย แล้วมึงมาหยิบไปง่ายๆยังงี้นี่นะ สุดท้ายเลยเดินคอตกอย่างน้อยใจในโชคชะตา ลากกระเป๋าสองใบต๊อกแต๊กๆน้ำตาคลอด้วยความแค้นที่โดนขโมยผ้าห่มไปโรงนอน
.
พอไปถึงสมตุ้ยก็พบว่าคนในนั้นส่วนใหญ่เข้าประจำที่เตรียมนอนกันเรียบร้อยแล้ว สมตุ้ยเดินไปไม่นานก็เจอที่นอนว่างๆ ก็เลยวางกระเป๋าแล้วนั่งร้องไห้เงียบๆด้วยความเครียดที่สะสม แบบว่าอัดอั้นตันใจ อยู่คนเดียว ไม่มีใครให้พึ่งพิง แถมผ้าห่มโดนขโมยอีก (อันนี้เฮิร์ทมาก) เจ้าหน้าที่ที่เป็นแพทย์เห็นสมตุ้ยท่าทางไม่ค่อยดี ก็เดินมาถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า มีผ้าห่มหรือยัง แล้วก็เอามาให้อีกผืน พร้อมลูกอมมินท์อีกสองเม็ด สมตุ้ยแสนจะปลาบปลื้มใจที่เจอคุณลุงหมอใจดี เลยรู้สึกดีขึ้นบ้าง นอนอ่านหนังสือเล่มสุดท้ายที่เหลืออยู่ได้ไม่นานก็หลับไป
.
(ตัดภาพมาหลังจากนั้นสามชั่วโมง)
สมตุ้ยนอนขดเป็นเลขหนึ่งไทยเหมือนเวลากิ้งกือโดนเขี่ย เพราะผ้าห่มสองผืนที่ให้มาไม่ได้ช่วยให้ความอบอุ่นเลย มันเป็นผ้านิ่มๆที่มักจะเข้ามาแนบกับเนื้อตัว แถมบางยังกะกระดาษเช็ดตูด แล้วสมตุ้ยก็รู้ว่าทำไมเตียงที่สมตุ้ยนอนมันว่าง เพราะมันอยู่ตรงหน้าช่องลมพอดี แอร์แม่งพัดแผ่วเบาแต่หนาวเข้ากระเดื่องดำทั้งคืน ส่วนที่เย็นที่สุดคือเท้า เท้าเย็นมากจนจับแทบไม่รู้สึก นี่ถ้าไม่ติดว่ากลัวคนมองว่าบ้าก็กะจะเอาถุงพลาสติกมาห่อเท้าไว้เหมือนห่อมะม่วงแล้วเหมือนกัน แต่ถึงกระนั้นสมตุ้ยก็หลับลงจนได้ ยิ่งนึกยิ่งแค้นใจไอ้เวรคนที่ขโมยผ้าห่มสีแดงกรูไปเหลือเกิน ผืนนั้นผ้ามันหนากว่า อุ่นกว่ามากด้วย
.
ก่อนจะหลับ สมตุ้ยยังมีแก่ใจคิดวาดหวังลมๆแล้งๆว่าพรุ่งนี้จะได้กลับอังกฤษ ทั้งๆที่รู้ว่าท่าจะยาก ชีวิตในสนามบินของสมตุ้ยยังอีกยาวไกล แต่วันนี้สมตุ้ยก็พอใจแล้วที่ได้นอนโดยไม่มีที่วางแขนทิ่มพุง และปราศจากเสียงโรงสีนานาชาติ...

โปรดติดตามตอนต่อไป

วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

[Hengsuay Life Series] 2

ความเดิมจากตอนที่แล้ว...ไปอ่านเอง ขี้เกียจเล่าใหม่
.
เช้าวันศุกร์ที่ 16 สมตุ้ยลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งเวลาประมาณตีสี่กว่าตามเวลาท้องถิ่น อันที่จริงนี่ไม่ใช่การตื่นครั้งแรกของคืนที่ผ่านมา เพราะก่อนหน้านั้นสมตุ้ยตื่นมาไอกลางดึกทุกสามชั่วโมง โคตรจะทรมาน สมตุ้ยเดินอมขี้ฟันไปดูที่บอร์ดประกาศเที่ยวบินอย่างมีความหวัง ก่อนจะหน้าจ๋อยลงอย่างรวดเร็วเมื่อพบว่าทุกเที่ยวบินยังคงถูกยกเลิก ผู้โดยสารดวงซวยที่โดนออกตั๋วให้ใหม่เป็นเช้าวันเสาร์เริ่มมาต่อแถวกันอย่างรวดเร็วเพื่อขอตั๋วใหม่ สมตุ้ยคิดว่าตัวเองช่างโชคดีที่ไม่ต้องไปยืนตูดห้อยแบบนั้นให้เมื่อยตุ้มเพราะตั๋วตัวเองเป็นของวันเสาร์ จึงเฝ้ามองดูคนเหล่านั้นพลางร้องเพลงสมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะอยู่ในใจ
.
สมตุ้ย ถึงแม้โดยเนื้อแท้แล้วจะเป็นคนสกปรกซกมก แต่ไม่แปรงฟันมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆนี่ คนอย่างสมตุ้ยก็เริ่มหยะแหยงตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน ดังนั้นหลังจากที่สมตุ้ยเอาขนมปังไส้แฮมที่ได้รับแจกเมื่อคืนมากินแทนอาหารเช้าด้วยความหวังว่าจะช่วยประหยัดเงินแล้ว สมตุ้ยก็ออกเดินทางหาร้านขายยา ในแผนที่บอกไว้ว่าเป็นร้านใหญ่มาก หันหลังไปก็เห็น แต่สมตุ้ยไม่เห็น เห็นแต่ร้านแว่นตากับเหล้า เดินกลับไปกลับมาตั้งนานก็หาไม่เจอ หวิดจะโดนตำรวจสนามบินบนไอ้เครื่องนั่นน่ะ ที่มันมีสองล้อแล้วก็แท่นให้จับอ่ะ มันเรียกว่าอะไร จะชนตายเอา แม่งบรื้นกันมาเหมือนเล่นหนังเรื่องโตเกียวดริฟท์ แล้วไม่ใช่แค่ไอ้เครื่องสองล้อนี่นะ ทั้งคนขับรถยกของ รถแคดดี้คันเล็กแบบในพารากอน ม่างขับกันแบบซิ่งสุดฤทธิ์ เฟี้ยวฟ้าวกันน่าดูชม บางทีดูเพลินๆ นึกว่าดูเปิ้ลนาครแข่งเจ็ทสกี
.
ขอโทษทีนอกเรื่อง เอาเป็นว่าสุดท้ายสมตุ้ยก็หาร้านยาเจอจนได้ บอกว่าเป็นร้านยา แต่เห็นขายแต่น้ำหอมแบรนด์เนม ไอ้ของสำหรับร้านยาจริงๆมีชั้นเดียวเอง สมตุ้ยกัดฟันฝืนใจซื้อแปรงสีฟัน ยาสีฟัน แล้วก็แชมพูมาหลอดหนึ่ง สิริรวมทั้งหมดเกือบสิบปอนด์ (จ่ายด้วยเงินปอนด์ก็ได้) พนักงานขายหน้าตายิ้มแย้ม คงคิดในใจว่า สมน้ำหน้าไอ้พวกนักเดินทางหน้าโง่ ไม่รู้จักเตรียมตัว อะเหอๆ แถมถุงพลาสติกใสมาให้ใบนึง สำหรับใส่ยาสีฟันตอนขึ้นเครื่อง ขาเดินออกมาเห็นชาวเวอร์ออยล์เมล็ดอัลมอนด์ของลอคซิทาน ไปจับๆดูพบว่ามีบางขวดไหลเยิ้ม สมตุ้ยเป็นคนมัธยัสถ์ จึงเอามือถูขวดที่เลอะชาวเวอร์ออยล์จนมือหอมนุ่มนวลและดูไฮโซดี สวยจังตังอยู่ครบ สมตุ้ยวางขวดไว้ที่เดิมก่อนจะสะบัดบ๊อบและปฏิบัติการเอาตัวรอดต่อไป
.
สมตุ้ยไปร้านขายเครื่องไฟฟ้า มองหาอแดปเตอร์สำหรับมาเสียบชาร์จโน้ทบุ๊ก พนักงานจับกลุ่มกันเม้าธ์แตกไม่สนใจสมตุ้ยเลย จนในที่สุดหนุ่มพนักงานคนนึงเดินมาถามว่าหาอะไรครับ อยากจะตอบไปว่าหาพ่อเมิงอะแหละคุยกันอยู่ได้ แต่กลัวจะไม่ได้กลับประเทศแบบครบสามสิบสองเลยบอกไปเรียบๆว่า หาอแดปเตอร์ค่ะ แต่บอกไม่ถูกว่าขาปลั๊กเราหน้าตาเป็นยังไงเลยล้วงเป้จะเอาปลั๊กออกมาให้ดู ระหว่างนั้นหนุ่มพนักงานเดินนำไปตรงชั้นขายอแดปเตอร์แล้ว แต่พอสมตุ้ยดึงปลั๊กออกมาให้ดู พนักงานบอก อ้าว จะซื้ออแดปเตอร์ไปทำไมล่ะครับ ก็ที่ถืออยู่มันเหมือนปลั๊กที่ใช้ในเนเธอร์แลนด์แล้วหนิ สมตุ้ยเลยรู้ทันทีว่าเมื่อวานกรูนี้หนอช่างโคตรโง่ มัวแต่กรี๊ดกร๊าดจิตตกว่าแบ็ตโน้ทบุ๊กจะหมดแล้วๆๆต้องรีบโทรๆๆ เสียพลังงานไปเปล่าๆปลี้ๆจริงๆ แต่เอาเถอะสรุปแล้วสามารถประหยัดเงินไปได้อีกหน่อยนึง สมตุ้ยสุขใจ
.
(เปิดเพลงมิชชั่นอิมพอสสิเบิ้วประกอบ)
สมตุ้ยคันกบาล อยากสระหัวอย่างมาก เพราะสมตุ้ยเป็นคนผมมัน สระผมตอนกลางคืน เช้ามาก็เริ่มมันอีกแล้ว แล้วนี่ไม่ได้สระเลยตั้งหนึ่งวันหนึ่งคืน ไม่แปลกที่หัวสมตุ้ยจะเริ่มจับกันเป็นกระจุกเขรอะๆ แป้ๆลีบติดหนังหัว หลังจากที่สมตุ้ยไปซื้อแชมพูมาแล้ว ก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าวันนี้แหละกรูจะสระหัวให้ได้
.
อันที่จริงตรงชั้นบนเหนือส่วนที่เป็นคาสิโน มันจะมีห้องอาบน้ำฟรี สมตุ้ยจะไปอาบที่นั่นก็ได้ แต่สมตุ้ยยังไม่มีอารมณ์ สมตุ้ยไม่มีผ้าขนหนูหรืออะไรทั้งสิ้น หลังจากคิดอยู่สักพักหนึ่ง สติของความเป็นคนดีของสมตุ้ยก็ขาดดังผึง ช่างแม่งแล้วโว้ย สระผมมันในส้วมนี่แหละ
.
สมตุ้ยเข้าห้องน้ำชั้นล่าง เพราะจำได้ว่าคนไม่ค่อยมี เหมาะแก่ปฏิบัติการสระผมในอ่างล้างหน้าเป็นอย่างยิ่ง แต่โผล่เข้าไปปั๊บเจอแม่บ้านกำลังล้างห้องน้ำพอดี แหม อะไรจะเหมาะเจาะขนาดนี้ สมตุ้ยทำเป็นเนียนยืนแปรงฟันไปก่อน พอแม่บ้านออกไปแล้วสมตุ้ยรีบเปิดก๊อกแรงๆ แหย่หัวเข้าไปใต้ก๊อก บีบแชมพูใส่มือ ถูหัว ล้างฟอง ถอยออกมายืนน้ำหยดแหมะๆ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงสามนาที จริงๆอยากจะเอาหัวไปแหย่ใต้เครื่องเป่ามือด้วย แต่ยังเกรงใจอยู่บ้างเลยเอามือบีบน้ำออกจากผม ดีว่าผมสั้นเลยไม่เปียกโชกมากมาย Mission Accomplised! เดินออกไปฝรั่งมองกันตึม
.
พอได้ล้างหน้าแปรงฟันสระผมแล้ว สมตุ้ยค่อยรู้สึกว่าเป็นคนกะเขาหน่อย ไม่ใช่ถุงขยะเปียก ข้างล่างแถวๆเคานเตอร์ของเคแอลเอ็มมีร้านราเม็งอยู่ร้านนึง สมตุ้ยสั่งมิโสะราเม็งแซลมอนกับชามะลิ โดนไปอีกสิบเจ็ดยูโร (ทุกคนโปรดสงบนิ่งไว้อาลัยแก่กระเป๋าตังสักครู่)
.
.
.
วันนั้นที่เหลือทั้งวันผ่านไปแบบเฉื่อยๆ สมตุ้ยไม่ได้ทำไรเลยนอกจากต่อเน็ทเล่นคอมโทรหาที่บ้านและตาหมู แม่สมตุ้ยก็คลายความเป็นห่วงไปเยอะแล้ว แต่ก็ยังห่วงอยู่นะจะบอกให้ ช่วงนี้มันเป็นฤดูใบไม้ผลิย่างเข้าร้อนมั้ง ฟ้ามันไม่ยอมมืดอ่ะ สองทุ่มครึ่งไปโน่นแล้วแหละถึงจะเริ่มเป็นสีเทาๆ ทำให้สมตุ้ยหลงเวลายังไงชอบกล จำไม่ได้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว เช้าหรือเย็น ชีวิตหมดไปอีกวันแบบไร้คุณค่ามากๆ มองฟ้าแล้วสมตุ้ยก็น้ำตาไหล คิดถึงบ้าน คิดถึงทุกคน อยากกลับบ้านนน
.
สมตุ้ยยัดตัวลงนอนในโซฟาตัวเดิมที่นอนเมื่อคืน ข้างๆเป็นชายชาวญี่ปุ่นนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ สมตุ้ยนอนอ่านหนังสือเล่มที่สองที่เอาติดตัวมาด้วยจนเคลิ้มหลับไป ก่อนจะถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงโรงสีนิปปงข้างๆตัว กรนเสียงดังชิบหาย เสียงแบบ ฮอกกก หืดดดด ฮอกกก หืดดดด นอนไม่หลับ ลุกขึ้นมานั่งนิ่งๆมองหน้ามัน ในใจนึกอยากจะเอาหนังสือพิมพ์ฉบับที่มันอ่านเมื่อกี๊ยัดคอหอยม่างจัง
.
คืนนี้ก็หนาวอีกแล้ว สมตุ้ยคิดขณะทำหูทวนลมกับเสียงโรงสีเฮงซวยข้างๆ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้แหละ...
สมตุ้ยจะอาบน้ำ!

โปรดติดตามตอนต่อไป...

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

[Hengsuay Life Series] 1


นาร่าอินเตอร์โพรดักชั่น

ภูมิพุงเสนอ

"กับดักมาร ณ อัมสเตอร์ดัม"

....


สมตุ้ย หญิงสาววัยกระเตาะเอ๊าะๆยี่สิบสองขวบก้าวเข้าสู่สนามบินชิปโฮลในอัมสเตอร์ดัมในชุดเสื้อยืดสีขาว "สบายดีประเทศไทย" เพื่อรอเที่ยวบินไปยังแมนเชสเตอร์หลังวันหยุดพักผ่อนช่วงอีสเตอร์จบลง สมตุ้ยมองดูบอร์ดเที่ยวบิน เครื่องออกบ่ายโมง ตอนนี้ยังเก้าโมงเอง นอนงีบเอาแรงสักหน่อยดีก่า
(ครึ่งชั่วโมงต่อมา)
สมตุ้ยงัวเงียเมาขี้ตาตื่นมาดูบอร์ดเที่ยวบิน เอ๊ะ ทำไมถึงมีคำว่าแคนเซิลต่อจากเที่ยวบินของเราล่ะ ที่ร้ายกว่านั้นคือทุกเที่ยวบินที่ไปอังกฤษล้วนแต่ถูกแคนเซิลทั้งสิ้น สมตุ้ยใจไม่ดี แต่ยังคิดปลอบใจตัวเองว่าสมสัยเครื่องรวนมั้ง แต่เพื่อความแน่นอน เดินไปดูที่บอร์ดใหญ่ตรงโต๊ะบริการของเคแอลเอ็มดีกว่า
เมื่อสมตุ้ยไปถึง พบว่าบริเวณนั้นได้กลายเป็นเขตจราจลย่อมๆไปเสียแล้ว ผู้โดยสารกำลังหน้าดำคร่ำเครียดเถียงกับพนักงานสายการบินสาวร่างยักษ์ แถมที่โต๊ะบริการก็มีต่อคิวยาวเหยียด สมตุ้ยเริ่มเห็นเค้าลางความซวยมาเยือนจางๆอยู่เบื้องหน้า ชิบหายละกู สมตุ้ยคิด เที่ยวบินโดนยกเลิกจริงๆเหรอเนี่ย สมตุ้ยผู้ซึ่งไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านั้นแค่ครึ่งวัน ภูเขาไฟชื่ออะไรสักอย่างยาวสาดๆเสือกระเบิดบู้มในไอซ์แลนด์ แถมไม่ได้กลายเป็นโกโก้ครั้นช์ด้วย แต่เป็นกลุ่มควันขนาดมหึมาที่ลอยสูงขึ้นไปบนฟ้า ปกคลุมน่านฟ้าแถวนั้น รวมไปถึงอังกฤษ สวีเดน และเดนมาร์กดวงซวย ตอนนั้นสมตุ้ยคิดแต่ว่า สงสัยม่างประท้วงหยุดงานกันอีกแล้ว เพราะมีประสบการณ์กับความเป็นลูกอีช่างประท้วงของอังกฤษตั้งแต่ตอนส่งพัสดุไปรษณีย์แล้วมันนัดกันหยุดงานโดยมิได้นัดหมายมาก่อน
แถวๆนั้นมีเจ้าหน้าที่สายการบินเหี่ยวๆยืนอยู่คนหนึ่ง สมตุ้ยเดินเข้าไปหาเพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น ได้รับคำตอบว่า วันนี้จะไม่มีเครื่องบินเที่ยวบินไหนไปอังกฤษทั้งสิ้น เพราะแม่งปิดสนามบินกันทั้งประเทศเลย แล้วหล่อนก็ให้เบอร์โทรศัพท์ของสำนักงานเคแอลเอ็มมา บอกว่าให้โทรไปจองตั๋วใหม่ซะ แล้วหล่อนก็เดินจากไป ทิ้งสมตุ้ยให้งุนงงเคว้งคว้างกลางทะเลผู้โดยสารอารมณ์บูดต่อไป
สมตุ้ยมึนงงสับสนตกใจย่ำแย่เครียดปวดท้องเงินไม่มีช่วยด้วยทำไงดีเนี่ยแย่แล้ว สมองหมุนติ้วเหมือนหมาไล่งับหางตัวเอง เลยเดินโต๋เต๋ขึ้นๆลงๆไปดูว่ากรูจะทำอะไรดีวะเนี่ย ว่าแล้วก็เดินหาโซนอินเตอร์เน็ท เพื่อจะต่อเน็ทแล้วใช้สไกป์โทรไปจองตั๋วใหม่ แน่นอนว่าโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี เน็ทชั่วโมงครึ่งราคา 12 ยูโร (ขณะนี้ยูโรละประมาณ 43 บาท) หนึ่งวัน 16 ยูโร สมตุ้ยจึงกัดฟันจำใจรูดการ์ดปื้ดซื้อชั่วโมงเน็ท หัวใจเต้นตูมตามเพราะรู้ว่าโน้ทบุ๊กตัวเองแบ็ตหมดไวมาก ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับเวลาและความฉับไวทั้งสิ้น (เปิดเพลงมิชชั่นอิมพอสสิเบิ้วประกอบ)
(ตัดภาพมาอีกครึ่งชั่วโมงถัดมา)
สมตุ้ยโทรศัพท์ไปหาตาหมูด้วยเศษเงินกร๋องแกร๋งที่ได้มาตอนแลกเงินพร้อมร้องไห้สะอึกสะอื้น ตาหมูก็แสนดีช่วยปลอบใจแล้วโทรไปบอกที่บ้านต่อให้ ทำเอาแตกตื่นกันหมด แม่สมตุ้ยถึงกับนอนไม่หลับต้องไปแอบนอนต่อที่ที่ทำงาน แต่สมตุ้ยไม่อยากร้องไห้ให้ที่บ้านตกใจกว่านี้เลยยังไม่ได้โทรหา
เอาละสิ สมตุ้ยตกพุ่มซวย โทรไปสำนักงานเคแอลเอ็มก็ไม่มีคนรับ ได้แต่ถือสายรออย่างเบื้อใบ้ ฟังเพลงรองเง็งเฮงซวยของมันไปแสนกว่ารอบ ลองเปลี่ยนไปโทรด้วยโทรศัพท์สาธารณะก็คือกัน ต่างตรงที่ทุกๆห้านาทีจะมีเสียงผู้หญิงบอกว่า เจ้าหน้าที่ยังไม่ว่างเลยนะคะ ขอบคุณที่ถือสายรอ ซื้อบัตรไปโทรศัพท์ไปยี่สิบยูโร หมดเกลี้ยงไม่เหลือหลอ สมตุ้ยโซซัดโซเซกลับไปที่โต๊ะบริการของเคแอลเอ็ม พบว่าประชากรครึ่งโลกยังเข้าแถวรออยู่และเคลื่อนตัวด้วยความเร็ว 0.1 เซนติเมตรต่อชั่วโมง
สมตุ้ยไม่มีทางเลือก เลยเข้าแถวยืนรอหลังจากเทียวไปเทียวมาดูลาดเลาหลายครั้งจนพนักงานจำหน้าได้ จะไม่เล่าความทรมานในการเข้าคิวรอให้ยืดยาว แต่หลังจากยืนขาแข็งมาหกชั่วโมง สุดท้ายสมตุ้ยก็ได้เปลี่ยนตั๋วเป็นเที่ยวบินวันเสาร์เช้า เดินออกมาพอดีว่าเห็นเจ้าหน้าที่แจกบัตรอะไรสักอย่างอยู่ เลยไปขอเขาด้วย ปรากฏว่าเป็นเวาเชอร์สำหรับผู้โชคดีที่ได้ติดอยู่ที่สนามบิน มีบัตรโทรศัพท์อะไรไม่รู้ฟรีห้านาที บัตรค่าอาหารสิบยูโร แล้วก็คะแนนไมล์กับส่วนลดครั้งต่อไปสิบยูโร สมตุ้ยสนแต่บัตรค่าอาหารแหละ หลังจากนั้นก็โทรศัพท์บอกตาหมูและที่บ้านด้วยสไกป์กับแบ็ตที่เหลืออยู่ในโน้ทบุ๊กจนหมดเกลี้ยง คิดว่าพรุ่งนี้จะไปซื้ออแดปเตอร์มาเสียบเอา
ลืมบอกไปว่า สมตุ้ยมีอาการป่วยมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว คือไอแค้กๆแบบไม่มีการเตือนล่วงหน้า เหมือนภูเขาไฟที่อยู่ๆก็บู้มแบบเบรกไม่อยู่ แถมจะไอหนักมากแบบห้ามตัวเองไม่ได้เป็นพิเศษเวลากลางคืนและขณะนอนหลับ ก็ไม่รู้มันจะไอตอนตื่นไม่ได้หรือไงวะ บางทีไอจนขย้อน อ้วกไปก็หลายครั้งหลายหน อย่างเมื่อคืนสมตุ้ยก็อ้วกใส่แขนเสื้อตัวเอง ทรุดโทรมเหลือทน อย่าว่าแต่คนอื่นเลย สมตุ้ยยังสมเพชตัวเองอยู่เนี่ย
หกโมงกว่าแล้ว แต่พระอาทิตย์ไม่ยอมตก ข้างนอกยังสว่างไสว ท้องฟ้าแทบไม่มีเมฆเป็นสีฟ้าครามอ่อนๆบนชมพู ในสายตาสมตุ้ยท้องฟ้าสวยงามนั้นแม่งดูโคตรหาเรื่องเลย หนอย เยาะเย้ยกรูหรอ ถ้าฟ้ามันเต็มไปด้วยควันหรือเป็นสีดำครึ้มอะไรแบบนี้สมตุ้ยคงรู้สึกดีขึ้น แต่เอาเหอะตอนนี้สมตุ้ยหิวข้าวแล้ว ไม่ค่อยมีอารมณ์จะกินเลยเอาจริงๆแล้ว แต่ในท้องมันโหวงๆเหวงๆ เลยต้องออกหาอะไรใส่ท้องเพื่อจะได้กินยา ยาแก้ไอเหลือแค่สามสี่เม็ด หนังสือที่เอามากะจะอ่านฆ่าเวลาบนเครื่องก็เหลือแค่สองเล่ม อ่านหมดเมื่อไหร่ไม่มีอะไรทำแน่
มีร้านอาหารไม่ถึงกับมากมายแต่ก็มีให้เลือก มีสลัด พาสต้า พิซซ่าชิ้นเท่ากระเบื้องมุงหลังคา แซนด์วิชยาวๆ แมคโดนัลด์ บาร์และคาเฟ่ ราเม็ง ซูชิบาร์ เดินเลือกอยู่นานสุดท้ายก็ตายรังที่แมคโดนัลด์จนได้ แมคที่นี่ชุดละเกือบ 7 ยูโร ที่มีเหมือนบ้านเรามีแค่แมคฟิชกับบิ๊กแมค ที่เหลือเป็นอะไรหน้าตาประหลาดๆ สมตุ้ยสั่งชุด Big Tasty หน้าตาเหมือนแฮมเบอร์เกอร์ใหญ่ๆไส้ผักกับชีส น้ำตาปริ่มกับความแพงมหาโหดของมัน แต่เปิดถุงออกมาดูก็รู้ว่าทำไมแพง เบอร์เกอร์ชิ้นโคตรใหญ่ ใหญ่เท่าแผ่นซีดี หนาประมาณนิ้วนิดๆ สมตุ้ยเดินหาที่นั่งที่จะกลายเป็นที่นอนของคืนนี้ด้วย จนมาหยุดอยู่ที่ริมหน้าต่างบานใหญ่ที่มองออกไปเห็นลานจอดเครื่องบินกว้างขวาง วิวสวย แต่สมตุ้ยรู้สึกเหมือนแมวเห็นปลากระป๋องเล็กน้อย คือเห็นเครื่องบินอยู่ตรงหน้าแต่กรูขึ้นไม่ได้
ประมาณสองทุ่มกว่าฟ้าถึงมืด สมตุ้ยกระเดือกแมคไม่หมด เอาใส่ถุงวางไว้ที่พื้นกับขวดน้ำเปล่าที่ได้รับแจกฟรีมา อย่างน้อยเขาก็ดูแลดีในระดับหนึ่งนะ สมตุ้ยคิด มีเจ้าหน้าที่เอาน้ำกับขนมเล็กน้อยมาแจกเรื่อยๆ ห้องน้ำอะไรก็สะอาดดี คนไม่แออัดถึงกับต้องเบียดเสียดแย่งที่กัน แต่จะให้ดีช่วยพากรูกลับอังกฤษเร็วๆได้ไหม สมตุ้ยนั่งอ่านหนังสือ คิดโน่นนี่ไปจนเริ่มง่วง ประมาณสี่ทุ่มสมตุ้ยก็เข้านอน โซฟานิ่ม แต่เสือกมีที่เท้าแขนเด่ออกมาตรงกลาง จึงสามารถนอนได้แค่สองท่ามาตรฐานเท่านั้นคือ 1) ตะแคงเอาพุงหลบและ 2) นอนหงายลอดใต้ที่วางแขน ท่านี้อึดอัดโคตร
เที่ยงคืน สมตุ้ยสะดุ้งตื่นเพราะหนาวเท้ามาก มองไปรอบๆเห็นศพผู้เสียชีวิต เอ๊ย เพื่อนร่วมชะตากรรมเกลื่อนกลาดตามโซฟาและเก้าอี้ต่างๆ สมตุ้ยหันไปเห็นสาวฝรั่งคนหนึ่งถือผ้าห่มสีแดงมาสองม้วน เลยรีบถามแบบลืมอายว่าเอามาจากไหน สาวฝรั่งบอกว่าเขามีแจกผ้าห่มอยู่ตรงเกทจี สมตุ้ยไม่รอช้าคว้าเป้เดินไปเอาบ้างทันที โดยไม่ลืมทิ้งหนังสือกับถุงของกินไว้จองที่ เกทจีไกลกว่าที่คิด แถมเดินหลงทางอีก กว่าจะไปถึงผ้าห่มล็อตแรกก็หมดแล้ว ต้องเราเจ้าหน้าที่ไปเอาให้ใหม่ ในนั้นมีเตียงแบบทหารกางไว้เต็มไปหมด สมตุ้ยคิดเสียดายว่าไม่น่าทิ้งของไว้ตรงเมื่อกี๊เลย ขี้เกียจเดินไปเอาแล้วกลับมาใหม่ มันไกล เลยรับแค่น้ำดื่มกับผ้าห่มแล้วเดินกลับที่เดิม
ก่อนจะนอนรอบสอง สมตุ้ยมองท้องฟ้าสีดำสนิทไกลๆ เครื่องบินที่จอดสงบนิ่งอยู่ข้างนอก และคิดว่า...
...พรุ่งนี้ไปซื้อแปรงสีฟันดีกว่ากรู...
To be continued...