แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ม.กรุงเทพ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ม.กรุงเทพ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

Meet Shiva

Welcome to Sunset Valley
ซื้อแผ่นซิมส์สามมาเล่นนานแล้ว
วันก่อนว่างๆ เลยลองเอามาลงเครื่องโน้ทบุ๊กเอซัสสุดหรูดู
ผลก็คือ วันนี้ทั้งวันนั่งเล่นเกม ข้าวไม่กิน ผ้าไม่ซัก เหอะๆ
ลื่นปรู๊ดปร๊าดทันใจ โหลดไม่นาน แถมเครื่องไม่ร้อนอีกเหอะ
รักเธอจังเอซัสจ๋า จุ๊บ จุ๊บ แต่หนักไปหน่อยนะ

ตอนแรกกะจะลองสร้างซิมแล้วย้ายเข้าบ้านสักหลัง
ลองเล่นดูว่ามันเป็นไงมั่ง แล้วก็ค่อยลบออก
ปัจจุบันติดงอมแงม ไม่สามารถเลิกเล่นได้
Meet Shiva ของนราค่ะ
เล่นใหม่ๆ ค่าสถานะทุกอย่างจะหมดเร็วมาก
ทั้งพลังงาน ขับถ่าย ความหิว วันๆไม่ต้องทำไร หาข้าวให้มันกินอย่างเดียว
เล่นไปสักพักจะดีขึ้น ทนทานมากขึ้น ทำอะไรได้มากขึ้น
เคยบอกไปแล้วเมื่อหลายบล็อกก่อนหน้า ว่าต้นไม้สวยมาก
พอมาเล่นกับคอมสเปกสูงๆ มันยิ่งสวยใหญ่เลยอ่ะ ฮือๆ ไม่ไหวแล้ว
ไอ้ฟังค์ชั่นสำหรับเปลี่ยนสีข้าวของที่ทำให้เรารำคาญตอนเล่นกับพีซี
ตอนนี้สนุกกะมันมากมาย เปลี่ยนสีฝาบ้านแม่งทุกวัน
ไม่รู้เป็นไร ทำไมชอบทำสวนในเกมจังเล้ย
เพราะชีวิตจริงทำไม่ได้มั้ง ปลูกอะไรก็ตายหมด
ยกเว้นถั่วเขียวนะ งอกงามดีเชียว


วันดีคืนดี เดินไปเจอเมล็ดพืชตกใต้ต้นไม้
เก็บมาปลูก แล้วมันจะงอกเป็นต้นอะไรก็ต้องลุ้นเอาเอง
นราว่าเกมมันหลากหลายจนน่ากลัว
ชอบทำสวนเรอะ เอ้า ไปสะสมเมล็ดพืชในตำนานมาให้ครบไป
ชอบสะสมแมลงเรอะ ไปเดินตามป่าแล้วจับมาให้ครบไป
ชอบทำอาหารเรอะ ฝึกทักษะเยอะๆ แล้วไปซื้อตำราอาหารใหม่ๆ มาอ่านซะ
เสียดายว่านาฬิกาชีวิตมันเดินเร็วไป แก่เร็วมาก
นี่ต้องหยุดการเติบโตไว้ ไม่งั้นคงได้ตายก่อนทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน


มีซูชิด้วยหละ ดูแล้วหิวข้าวจัง

ตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการหาผัว เอ๊ย สามีให้ชีว่าอยู่ค่ะ


กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงบ้าง
เมื่อวาน วันเสาร์ นราก็เริ่มรื้อบู๊ทเก็บข้าวของกลับบ้านแล้วค่ะ
เก็บๆไปก็สงสัยว่า นี่กรูยัดอะไรเข้าไปบ้างเนี่ย ทำไมมันเยอะแบบนี้
ส่วนใหญ่เป็นเอกสาร ส่วนพวกของหนักๆ ใหญ่ๆ พวกแฟ้ม หนังสือ
เดี๋ยวค่อยให้ปะป๋าขับรถมารับวันอังคาร วันสุดท้ายที่จะทำงาน

ใจหายจังเลยน้อ
ทำงานที่ฝ่ายกิจการต่างประเทศมาหกเดือนแล้วเหรอเนี่ย
ไวเหมือนโกหก
ได้เรียนรู้อะไรก็เยอะแยะ ก่อเรื่องอะไรไว้ก็มากมาย
รู้สึกโหวงๆ เหวงๆ แปลกๆ นะ
นราไม่อยู่แล้วเขาคงโล่งใจกันอ่ะ
มา เหมือนมาสร้างเรื่องยุ่ง มากกว่าจะมาช่วย เหอะ เหอะ
ไม่ต้องห่วงค่ะ
รายต่อไปที่จะซวย คือคณะมนุษยศาสตร์ เหอ เหอ

ถึงใครไม่รู้ มาเม้นท์ไม่ลงชื่อ
ไอ้กระเป๋าน่ะมีที่ว่างอยู่หรอก
แต่น้ำหนักดิไม่ไหว มันให้แค่ 23 โลเอง
งกชะมัด

หมูหวาน
ทำไมรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกหมูหวานจัง
เหมือนเกิดกับนราเมื่อหกเดือนก่อน
อยากจะบอกว่า ถ้ามันเลี่ยงไม่ได้นะ ก็ทำไปเหอะ
แล้วก็มองอะไรในแง่ดีไว้ ชีวิตจะได้ไม่เฮงซวยไปกว่าเดิม
ส่วนน้องเอฯนี่ ซื้อมาสี่หมื่นเก้าค่ะ
อย่าเพิ่งบอกว่านรารวย เพราะนี่มันงบมหาลัย
แปลว่าชั้นต้องกลับมาทำงานไถ่มันนั่นเองงง

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

Evolution of His Collection



อะไรเอ่ย น่าสงสัย?

จากเมื่อก่อน เล่นต่อหุ่นแบบนี้




(เครดิตภาพจาก winterheim.wordpress.com)

...แล้วก็เปลี่ยนมาสะสมแบบนี้...

(เครดิตภาพจาก 3.bp.blogspot.com)


...และกลายมาเป็น...


!?!?
(แอร๊ยยย ทำไมมันฉีกแนวอย่างนี้)

เฉลย แฟนนราเอง

อดสงสัยมิได้ ว่าทำไมเสื้อผ้าของตุ๊กตุ่นที่เฮียเล่น

ถึงได้น้อยชิ้นลงเรื่อยๆ - -"

หุ่นยนต์หุ้มเกราะ >> นักรบใส่เกราะ >> สาวน้อยนักรบนมโต

(แต่เขาก็ยืนยันว่าเขามิใช่โอตาคุ)

แต่เอาเหอะ ด้วยความที่มันน่าร้ากมากๆ

แถมถ่ายรูปออกมาแล้วก็สวยเซ็กซี่สุดๆ

นราก็เลยอริ๊งอร๊างไปด้วยอีกคน



ตัวนี้ชื่อเมลโลว์น่า จากเรื่อง Queen's Blade
การ์ตูนที่นราไม่รู้จัก ไม่เคยดู และไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
คุณแฟนไปรู้จักมาจากไหนก็ไม่รู้ มันน่าสงสัยมะ?
เสียดาย ถ่ายได้แค่มุมนี้มุมเดียว
ถ้าถ่ายอีกมุมเด็ด รับรอง กบว. ตามมาบล็อคบล็อก (Block Blog) นราแหง
มันเป็นตุ๊กตุ่นสำหรับผู้ใหญ่ค่ะ มีเขียนไว้ข้างกล่องว่า 18+
ดังนั้น มันก็เลยถอดเสื้อผ้า (ที่มีน้อยอยู่แล้ว) ได้เกือบหมดทั้งตัว
แถมข้างในก็ทำซะเหมือนเชียว ย้ำว่า เหมือน ของ จริง มั่ก
(และเจ้าของก็ยังยืนยันว่า ผมมิใจ้โอตาคุ จริงๆนะ)


เปลี่ยนจากเนื้อๆ นมๆ
มาเป็นหนูแมวน้อยกันดีกว่า
ห่างหายไปนาน ตอนนี้หนูๆทั้งหลายกำลังโต กำลังซน
เป็นแมวน้อยจอมซ่ากันหมดแล้ว
ด้วยความที่เป็นลูกผสมกับแมวไทย ขนเลยสั้น
แต่ขนนุ้ม นุ่ม ตัวนิ้ม นิ่ม



ส่วนเรื่องเรียนต่อ ก็เตรียมของได้เยอะแล้วเหมือนกัน
สิริรวมค่าเสื้อผ้า หมดไปแล้วหมื่นสี่
ไม่ต้องตกใจไป ในจำนวนนั้นมีค่ากล้องสี่พันสามด้วย
โคตรเปลือง นี่ถ้าให้ไปเองคงต้องขายบ้านขายนาแหงๆ
ขอบคุณหนูแนนมากค่ะที่เอาถุงสุญญากาศมาให้จากญี่ปุ่น

สุดท้ายแล้วนราก็ได้เสื้อแจ็กเก็ตกันฝนสมใจ
ขอตั้งชื่อว่า "แจ็คเก็ตถุงขยะ"
โคตรเหมือนของโคตรเหมือน ฮ่าาา
แปลกดีตรงที่ว่า มีผ้าพลาสติกชั้นนอก กับผ้ามันซับในแค่นี้
พอใส่แล้วอุ่นจังแฮะ



แล้วก็บรรดาเสื้อคอเต่าที่ถล่มซื้อมามากมาย
ใส่แล้วอึดอัดชะมัดยาด
หายใจไม่ออก
สามตัวนี้ไปเจอที่เซ็นทรัลลาดพร้าวกับเติ้ลมาค่ะ
ผ้านุ่มดี ตัวละร้อยหกเก้า ก็โอเคนะ
วันนี้นราไปซื้อเสื้อยืดมาอีกเจ็ดหน่วยด้วย



คิดแล้วก็เศร้าจังเลย
จะต้องไปแล้วจริงๆเหรอเนี่ย
ยังไม่พร้อมเลย อะไรๆก็ยังไม่มี
ไม่อยากไปเลย เฮ้อ

เพื่อนคนที่ไปล่วงหน้าบอกว่า ร้องไห้มาสองสัปดาห์แล้ว
นราเลยบอก ว้าย เชยจังเลย
ฉันร้องมาตั้งแต่สามเดือนที่แล้วย่ะ ฮะเหย ฮะเหย
(ยังจะมาภาคภูมิใจอีก)

ส่วนเรื่องชุดประจำชาติ
นรากำลังคิดว่า จะเอาเสื้อกล้ามสกรีนลายกระทิงแดง
กับกางเกงมวยไปสองตัว จบ ดีไหมคะ?
ทำไมต้องชุดสไบกรีดกราย? ทำไมต้องชุดร.ห้าฟูฟ่อง?
คนเรามันต้องฉีกแนว!
Creative แบบนี้ ม.กรุงเทพต้องภูมิใจใจตัวนราแน่ๆ
ฮ่า ฮ่า




วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

This Is How My Heart Break

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาให้กำลังใจเมื่อเอนทรีก่อน
ทั้งหมูหวาน ปัด และมุกนะคะ นราซึ้งใจจริงๆ
ตอนนี้นราสบายใจดีแล้ว เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ภาพประกอบไม่เกี่ยวหรอก
เป็นผลงานจากการแข่งขันจัดดอกไม้ของนักศึกษาเอกโรงแรมฯน่ะ
ช่วงนี้นราเครียด หลายคนก็คงเครียด
มาดูดอกไม้สวยๆ ให้จิตใจเบ่งบานกันเต๊อะ
First of all, I'd like to thank my dear friends for giving me such a courage: Moowann, Pat, and Mukku, I do appreciate your kindness.
I'm alright right now, and I'll tell you just what had happened.
The pictures are not related to the story, actually.
They're from the flower arrangement competition of students majoring in Hotel and Tourism Management.
I'm quite stressed lately, and I guess so is everybody else.
Let's watch something beautiful and lift our minds off every tension!



หลายๆคนก็คงจะทราบว่า หลังจากกลุ่มนศ.เม็กซิโก
นราก็ได้ดูแลกลุ่มนศ.สิงคโปร์ต่อ
ทุกอย่างก็ดูเรียบร้อยดี จนกระทั่งวันหนึ่งที่เป็นคิวนราพาเขาไปทำกิจกรรมร่วมกับนศ.ม.เราที่บ้านเด็กพิการซ้ำซ้อน (ที่เคยอัพไว้น่านแหละ) และไปเกาะเกร็ดในตอนบ่าย
You might have known already that after Mexican students, I have to take care of the Singaporean students.
Everything went well, until the day I had to take them to the House of Handicapped Children (as I've mentioned in my earlier entry) and Kret Island in the afternoon.



มีเรื่องขลุกขลักแต่เช้า เมื่อเราไปถึงบ้านเด็กฯตอนเก้าครึ่งตามนัด แต่นศ.ม.เรายังไม่มา กว่าจะมาถึงก็สิบโมงกว่า ระหว่างนั้นนราทำอะไรไม่ได้ ยังดีว่ามีนศ.ม.อื่นมาทำกิจกรรมด้วย ก็ขอแจมๆเขาไป คอยบอกให้เขาเอาขนมไปแจก พาเด็กตบมือ เต้น ไปเข็นรถเข็น พอนศ.เรามาก็เอาของไปมอบให้ โดยทุกคนเอาของที่จะบริจาคไปวางรวมกันในห้อง แล้วก็ถ่ายรูปกัน (พลาดจุดที่หนึ่ง) เพิ่งมารู้ทีหลังว่านักเรียนเรามาแบบไม่มีแผนอะไรเลย!

Things didn't go well since the early morning. We arrived at the Handicapped's House at 9.30 according to the program, but students from BU were not there yet until late ten. I can do nothing during that time. Luckily, there were students from other university, so I asked them if we could join. During that time, I kept telling my group when to give children the snacks, help them dance, and help them with the wheelchair. When BU students finally arrived, we gathered stuff we prepared for the kids together, then take a photo (First Mistake.) I knew after that that the students didn't prepare anything for this activity before at all!



เสร็จจากบ้านเด็กฯ ก็ไปเกาะเกร็ดกัน
นราเองก็ไม่เคยไปเกาะเกร็ด ไม่รู้ข้อมูลอะไรของที่นี่เลย (พลาดจุดที่สอง)
แต่เห็นเขาหิวข้าวกันก็เลยพาไปทานข้าวกลางวันก่อน
เรียบร้อยแล้วก็บอกเขาว่า เอาละ เรามีเวลาให้คุณเดินสำรวจเกาะกันนะ
จะไปไหนก็ได้ เสร็จแล้วกลับมาเจอกันที่เดิมตอนบ่ายสองครึ่ง (พลาดจุดที่สาม)
After that we left for Kret Island.
I have never been to this place myself, so I know nothing about it (Second Mistake)
The students looked tired and hungry, so I took them to the local restaurant around there, ordered them some food, and made sure they all got what they wanted.
When everyone finished their meal, I told them they were free to explore the island, just had to come back here at 2.30 (Third Mistake)



เด็กๆก็แยกย้ายกันไป นราก็ถือกล้องไปถ่ายภาพบรรยากาศรอบๆ
ใครเคยไปเกาะเกร็ดคงจะรู้ว่ามันจะเป็นทางเส้นเดียววนรอบเกาะ ขนาบด้วยร้านค้า
เดินไปเดินมา นราก็ไปเจอกลุ่มเด็กสิงคโปร์กลุ่มนึง
สุดท้ายก็เลยเดินไปด้วยกันจนถึงเวลานัดพบ
ก็กลับมาขึ้นเรือข้ามฟาก ขึ้นรถตู้กลับโรงแรม
นราดันลืมวางกล้องของฝ่ายไว้ที่โรงแรมเขาด้วย ดีที่ไม่หาย
(พลาดจุดที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ขี้เกียจนับ)
The students wandered around, while I took some photos for the University report.
If you have been to Kret Island, you would know that between hundreds of shops, there is only one main route going round the island.
I accidentally found a group of students, so I walked with them until we came back at two thirty.
We took the boat back to where the vans were waiting and headed to the hotel.
I forgot the camera, which is not mine but the University's, at the hotel as well.
Luckily, someone took it to the reception.
(Can someone tell me how many mistakes we have so far?)



สองวันหลังจากนั้น ได้เรื่องเลย
เจ้านายนราเรียกเข้าไปคุยตอนเย็น
เขาว่า ได้คุยโทรศัพท์กับอาจารย์ผู้ควบคุมคณะของเด็กกลุ่มนี้แล้ว
และอาจารย์เขาก็บอกว่า ไม่พอใจการทำงานของนรามากๆ
เพราะนราไม่ทำหน้าที่ของตัวเองเลย เห็นแต่เพื่อนอีกคนที่ไปด้วยกันทำ
นราทำตัวเหมือนนักเรียนคนนึงของเขา ไม่ใช่ผู้ประสานงาน
ไปเกาะก็ไม่อธิบายอะไรเลย ไปบ้านเด็กก็ไม่มีการมอบของ
เจ้านายนราบอกว่า เขาผิดหวังในตัวนรามาก
The shit hit the fan two days after that.
My Boss said she needed to see me in her office.
She said she had a telephone conversation with an instructor who took care of the students, and he said that he 'does not like my performance very much' since I didn't seem to do what I should do. The only person he saw working responsibly was my friend who also accompanied the group on that day.
He said I acted like one of his students, not a coordinator:
No explaination about Kret Island, no proper ceremony taken place at the Handicapped's House.
Finally, my Boss said she was so disappointed in me.



นราอธิบายว่า นราไม่ได้ปล่อยให้เพื่อนทำงานคนเดียว
แต่แบ่งกันทำ ช่วยกันทำ คนนึงโทรตามนศ. คนนึงโทรตามรถตู้
แต่นราไม่เถียงเรื่องความโหลยโท่ยของนรา
เป็นความผิดของนราเองที่ไม่รู้จักหาข้อมูลก่อนพาแขกไป
และไม่รู้จักมีไหวพริบในการจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับแขก
ตัวนราเองเป็นคนไม่ค่อยเข้าหาใคร เงียบๆ และไม่ค่อยถาม
แถมยังขี้ลืม สะเพร่า และไม่รอบคอบเป็นที่สุด
ก็เลยทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้
นราไม่เถียงเลย

I explained that I didn't toss all my responsibility on my friend, but we both helped each other: one calling for BU students, while one calling for the vans.
However, I had no excuse for my lousiness at all.
It was my fault for not searching and giving information to the guests when I should,
and couldn't even make proper activities for them.
I myself is quite quiet at work. I don't really ask much.
I'm terribly forgetful and not so neat. That is why this thing did happen.
I do not argue at all.


สุดท้าย ก็อย่างที่รู้
นราถูกถอดออกจากโปรเจ็คแล้ว
At last, as you might have guessed,
I was taken off the project.



นราไม่โกรธเจ้านายเลยที่ว่านรามากมายขนาดนั้น
เพราะนราก็เป็นอย่างที่พี่เขาว่ามาจริงๆ
พอมีคนมาตำหนิแรงๆ ตรงๆ นราก็รู้ตัว และก็อยากจะเปลี่ยนแปลง
ตกเย็น นราไล่โทรศัพท์ไปหาพี่ๆที่ทำงานด้วยกันเพื่อขอโทษ
ขอโทษที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นถามงานจนทำให้เรื่องยุ่ง เสียชื่อมหาลัย
ขอโทษถ้าเห็นแก่ตัว อวดดีมากไป
ซึ่งทุกคนก็แสนดี เข้าใจและช่วยเหลือนราทุกคน
นราเขียนเมล์ไปขอโทษอาจารย์คุมคณะสิงคโปร์ด้วยนะ...

I wasn't angry at all,
because I know that I really AM what my Boss has said.
It's good when someone frankly and sincerely criticises you.
I know how I cause problems now, and I am more than ready to change.
That evening, I phoned my colleages to say Sorry.
Sorry for not being enthusiastic in work and therefore, putting us in shame
Sorry for being so selfish and deluded
Everyone was so nice to me. They understood and were willing to help.
I even wrote to the instructor to say how sorry I was...

ที่เสียใจที่สุดคืออะไรรู้มั้ย
นราคิดว่า นราห่วงใยสวัสดิภาพของแขกแต่ละคนมากแล้ว
นราคอยเดินปิดท้ายขบวนให้แน่ใจว่าไม่มีใครเดินหลง
โทรตามรถตู้ให้มารับทันกัน ดูแลว่าทานอาหารกันได้หรือเปล่า
กลัวจะเบื่อที่บ้านเด็กฯ นราก็คอยคุยกับพี่เจ้าหน้าที่ว่ามีอะไรให้กลุ่มเราทำบ้าง
เวลามีข้อผิดพลาด หรือแขกไม่พอใจอะไร นราก็อยากจะรู้ ณ ตรงนั้น
จะได้แก้ไขให้ได้ อย่างน้อยก็จะพยายาม
สิ่งที่ตอบกลับมาในเมล์คือ
"It seems like you want to have fun with the students more than anything else"



You know what truly hurt?
I thought I took a good care in every student's wellbeing.
I always walked at the back to make sure that no one would get lost.
I called the vans to pick them up in time. I made sure that food they had was okay for them.
Afraid of them getting bored at the Handicapped's House, I kept asking an officer there whether there would be something our group could join.
If there were any mistakes I made, I would want to know it right there,
so that I can fix things up, or at least I can try, I would try.
And what I got back was
>>
>>
You can read that sentence is red, right, fella?

"What you thought was good enough might not be so for the others"



PS. นราได้วีซ่านักเรียนอังกฤษแล้วค่ะ ย้าฮู ยี้ฮา/I finally got my UK VISA!

PS. นราได้หอพักแล้วด้วยค่ะ อุตส่าห์เลือกตรงๆกลาง ดันได้กระเด็นไปซะชายแนวป่าโน่น กรรม...



วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

A Visit to Nonthaburi with Singaporian Students!


วันนี้เริ่มต้นวันไม่สวยเลย มีเรื่องให้เศร้าใจแต่เช้า
เดินเข้ามหาลัยเพื่อจะไปขึ้นรถตู้ ไปรับเด็กสิงคโปร์ไปทำกิจกรรม
เจอนกกระจอกสองตัว อยู่บนพื้น
ตัวนึงตาย นอนนิ่งสนิท อีกตัวกระโดดไปมาอยู่ข้างๆ ร้องจิ๊บๆ
สะเทือนใจอย่างแรง
นกสองตัวนี้มันเป็นอะไรกัน เป็นแม่กับลูก? หรือว่าเป็นแฟนกัน?
คนเดินมาไล่ เอาศพนกไปทิ้ง นกอีกตัวก็ยังบินกลับมาวนเวียนตรงนั้นเหมือนเดิม
เศร้าจังเลย สงสาร ได้แต่แผ่เมตตาให้นกเงียบๆ ชาติหน้าขอให้ไม่ต้องเกิดมาทรมานแบบนี้
It was not a really beautiful morning to me today. Sad thing did happen.
I was on my way to the van, picking Singaporean students to do some activities in Nonthaburi, when I found two sparrows on the ground: one dead, one hopping around and chirping.
That shook me real hard.
What was this bird to the dead one? Mother - Offspring? Or maybe Lovers?
Even when someone put the dead bird away, another bird kept returning to that spot.
That was terribly sad...All I could do to pray for it to have a better life if reincarnation exists.

แปดโมงครึ่ง ออกเดินทางไปยังบ้านเด็กพิการซ้ำซ้อนราชาวดีชาย ที่ปากเกร็ด นนทบุรี
จุดประสงค์เพื่อพานักศึกษาสิงคโปร์จาก Ngee Ann Polytechnic ที่มาสัมมนาที่ม.กรุงเทพไปร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคมที่บ้านเด็กฯ
ไปถึงเก้าโมงครึ่งพอดิบพอดี
โทรหานักศึกษา พบว่า ท่านๆยังรอกันไปรอกันมาอยู่ที่รังสิตอยู่เลย พระเจ้า มันน่านัก
ยังดีว่ามีนศ.จากม.อื่นเขามาจัดกิจกรรมด้วยเหมือนกัน เลยขอแจมๆเขาไป
ร้อน เหนื่อย แล้วก็เครียดด้วย อะไรๆก็ไม่เป็นไปตามที่วางแผน
At eight thirty, we left for the House for Handicapped Children Rajavadee in Pak Kret, Nonthaburi.
This activity aimed to take dear students from Ngee Ann Polytechnic, Singapore, to join a social activity held by BU Club. (The full name of the Club is fricking long, so I will just let it go, hehe)
We got there at nine thirty, but when we called the student responsible for this activity, the answer we got was 'we're still at Rangsit Campus.'
Gosh! At that moment I wished I could reach into the phone and strangle them.
Luckily, there were students from another university preparing some activities for the kids, too, so at least we could join them.
It was hot and it was stressful. Nothing seemed to go according to plan.




เด็กๆที่นี่ อายุตั้งแต่เจ็ดถึงสี่สิบขวบ
บางคนก็ไม่พิการอะไรมาก เดินได้พูดได้ บางคนก็หนักหน่อย แขนขาหงิกงอ ใบหน้าผิดส่วน
บางคนต้องนั่งแต่รถเข็น ไม่สามารถไปไหนเองได้เลย
มีคนนึง เขานอนคว่ำตลอดเวลา เหมือนท่าซูเปอร์แมนน่านละ ขาสองข้างหงิกขดเป็นเลขสี่อารบิก มือสองข้างหงิกแนบกับใต้ลำตัวตลอดเวลา
ฟังดูฮา แต่ไม่เลย เมื่อคิดว่าเขาเกิดมาแบบนั้น และต้องอยู่ในสภาพนั้นไปตลอดชีวิต
อีนังคนไหนที่ชอบบ่นว่า "โอ๊ย ขาใหญ่น่าเกลียด โอ๊ยอ้วน โอ๊ยไม่ชอบรูปร่างตัวเองเลย ฯลฯ"
หล่อนควรจะสำนึกให้มากๆ ว่าบุญแค่ไหนที่เกิดมาครบถ้วน มีข้าวกินทุกมื้อ และดูแลตัวเองได้
The age range of the children here are from seven to forty.
Some kids' illness are not so serious: they can walk and talk sensibly. Some of them are not that lucky. They were born very much deformed.
There was one child I remembered. He laid on his stomach all the time, just like how Superman flew, his legs were twisted into the shape of 4, and his hands were tightly stuck beneath himself.
That might sound funny, but no, not at all, when thinking that he was born that way and had to be like that for the rest of his life.
So ladies, if you are one of those girls who always goes 'Oh no my legs are too big and ugly/Oh I'm too fat/Oh I hate my body...' etc. You should be grateful now that you were born physically perfect, you have good meals every day, and can take good care of yourself.

หนุ่มเจ็ท (ชื่อจำง่ายเพราะนึกถึงเจ็ท ลีตลอด) ป้อนขนมน้อง
น่ารักมาก ตอนแรกก็กล้าๆกลัวๆกัน หลังๆเห็นไปนั่งตบมือตบไม้
เดินแจกขนมน้องกันสนุกสนาน
อืมๆ ถึงพูดคนละภาษา แต่หัวใจก็สื่อกันได้เนอะ
ก่อนกลับก็มาถ่ายรูปด้วยกัน
Jet (I always think of Jet Li :D) gave the golden service to a kid. I really like this photo.
It is so touching and lovely.
At first they were a little bit scared (or so I guessed) but after that all went okay. I saw David sitting with one child, clapping his hands along with the song, while the rest walked around and gave the kids the snack they prepared.
Now I truly understand that the language barrier means nothing!
We took one group photo before we left.


เป้าหมายต่อปายยย...เกาะเกร็ด
ท้องฟ้ากระจ่างสดใส ลมร้อนๆพัดเอื่อยๆ นั่นหมายความว่าวันนี้ร้อนตับแตกแน่นอน
พาเด็กๆ (เด็กจริง เพราะอายุแค่สิบหกสิบเจ็ด สาวยี่สิบเอ็ดอย่างเรารู้สึกแก่เฒ่าเหลือเกินนน) ลงเรือข้ามฟากไปเกาะ
พาไปหม่ำๆ ในเพิงอาหารแถวนั้น เขาก็ทานผัดไทย ก๋วยเตี๋ยว ห่อหมกหน่อกะลา ข้าวผัดได้ไม่มีปัญหา ไอ้เรากลัวกินเยอะแล้วเดี๋ยวเดินจะปวดท้อง เลยดื่มแต่โค้ก
ทีนี้ก็ปล่อยให้เดินเล่นกันบนเกาะ บ่ายสองครึ่งมาเจอกันที่เดิม
Next, Kret Island
The sky was so blue, the breeze was so warm, so gentle I was dang sure it would surely be another hot day, and I was right.
I and my colleage brought the kids (well, they are kids, since they are 16-17. How could someone feel sooo old with the age of 21?) to get the boat to the island.
We had lunch at the local restaurant. Everyone can have local food like Pat Thai, noodles, steamed fish with curry paste with special ingredient called Kala shoot (specialty of this island.) It is of the Ginger Family, but with milder taste, and fried rice. I myself did not dare to eat much since I knew I would get a cramp. So I had just Coke.
Then there was a free time for everyone to walk around.



ซื้อดอกไม้ทอดมาถุงนึง อัญชันกับโสนทอด
เสียดายว่าคงทอดมานานแล้ว มันเลยเหี่ยวๆหน่อย แต่ก็อร่อยแปลกดี
จริงๆอยากลองกล้วยไม้ทอด กับดอกเข็มทอด แต่ไม่กล้า
เห็นเขาฉีดน้ำยาใส่กล้วยไม้เลี้ยงในทีวีแล้ว เดี๊ยนไม่เสี่ยงค่ะ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าดอกไม้นี่มันมาจากไหน แถมไอ้ดอกที่ทอดนั่นก็เหมือนดอกไม้ไหว้พระเป๊ะๆ
I bought a bag of fried flowers (another specialty), fried Butterfly Pea flowers and Sesbania flowers.
Too bad they had been fried and left on the tray for too long, so it was no longer crunchy, but still good.
Actually I wanted to tried fried orchid and ixora (Hakim, now I figure out the name of that flower we tried to think of its name!), but wasn't brave enough since I saw how the used the pesticide on orchids, and I had no idea where these orchids were from.



อย่างที่ทราบกันดีว่า เกาะเกร็ดนั้นดังด้านเครื่องปั้นดินเผา เพราะงั้นก็ขาดไม่ได้เลย แผงขายน้ำที่ขายพร้อมแก้วดินเผา
เดี๋ยวนี้เขาทันสมัยนะ เมื่อก่อนเราซื้อกินมีแต่เป็นโอ่งทรงต่างๆ
เดี๋ยวนี้เขามีโดราเอม่อน เฮลโหลคิตตี้ วินนีเดอะพูห์ ชินจัง และแม้กระทั่งเบ็กแฮม!
ขออภัยที่ภาพปลากรอบหมดแต่เพียงเท่านี้ เพราะเดินไปเรื่อยๆ แม่มอากาศร้อนขึ้นๆจนหายใจไม่ออก หมดอารมณ์ถ่าย
รู้แต่ซื้อของมือเติบมาก กำไลข้อมือลูกปัด พวงกุญแจเฟลิเซียจากดาร์กสตอล์กเกอร์ (มาได้ไงไม่รู้) ที่ห้อยโทรศัพท์มือถือลูกปัดแก้วน่ารักสี่อัน (ขอบคุณพ่อหนุ่มฮาคิมที่ช่วยออกตังให้ก่อน แล้วจะไม่ยอมเอาคืนด้วย ใจดีจริงจริ๊ง) หม้อข้าวหม้อแกงและชามตราไก่จิ๋วหลิวให้น้องสาว และจิปาถะ จำไม่ได้
กลับขึ้นรถมา สลบเหมือดกันทั้งรถ แต่เด็กชุดนี้น่ารักจริงๆ ร้อนก็ไม่บ่นอะไรมากมาย ของกินก็ไม่เกี่ยงอะไรมากมาย มาเรียนตรงเวลา สุภาพน่าร้ากจริงๆเลย
Kret Island is famous for its earthenwares, so what you will definitely see is the shops selling drinks with terracotta container.
They are quite up-to-date these days. When I bought one several years ago, the containers were only jars with different shapes, but today they have Doraemon, Hello Kitty, Winnie the Pooh, Shin-Chan, and even David Beckham!
Sorry if I had too few photos. It was so hot and humid that I did not feel like taking photos.
All I knew was that I bought a lot of stuff: a bracelet, Felicia from Darkstalker key holder, glass beads mobile phone holders (thank you so much Hakim for paying for me first when I had no smaller notes than 1000. That was very kind of you), and mini terracotta cooking pots and bowls for my sister, and much more :D
They quickly fell asleep once we got back to the van. Haha
I do adore this group of students. They are really nice. They don't complain too much about the heat, the food, and the class. Most important, they are polite. I'm more than comfortable to have accompanied them around!

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Birthday Cake Party @ Sweet Secret


วันนี้วันเกิดพี่อู๊ด พี่ที่ทำงาน
ตอนเย็นหลังเลิกงานก็เลยพากันมาฉลองวันเกิดเล็กๆ น้อยๆ ให้พี่เขา
มากันที่ร้าน Sweet Secret ในปิยะรมณ์สปอร์ตคลับ
เป็นร้านเค้กเล็กๆ แต่อร่อยเทพ
ตามคำแนะนำและยืนยันการันตีของนักชิ้มตัวยงแถวๆนั้น

พอเปิดประตูเข้าไปก็ได้กลิ่นหอมลอยมาทันที
หอมกลิ่นแป้งพายกรอบๆ กลิ่นชาร้อนๆ
บรรยากาศร้านเล็กๆ แต่น่านั่ง


บอกตามตรง เห็นแวบแรกก็นึกขึ้นมาว่า ไม่เห็นจะต่างจากเค้กร้านอื่นซักเท่าไหร่นิ
ชิ้นค่อนข้างใหญ่ ราคาก็เลยใหญ่ตามชิ้นไปด้วย
ประมาณชิ้นละ 75 - 100 บาท คุ้กกี้ชิ้นละ 25 บาท
แต่มันดูน่าหม่ำจริงๆ ล่ะ อันนี้เค้กบราวนี่ ช็อก ชีสเค้ก


เค้กลูกพรุน


พายเห็ด น่ากินเหลือเกิน เล็งอันนี้ไว้อันแรก
ถาดข้างๆ (ไม่ได้ถ่ายมา เพราะมองอย่างนี้หน้าตามันก็เหมือนกัน) เป็นพายไก่ แต่เราเลือกกินพายเห็ดดีกว่า พายไก่กินมาเยอะเบื่อแย้ว


แล้วทุกคนก็ทยอยสั่งกันคนละอย่าง พร้อมชาเย็นคนละแก้ว
แต่เราไม่สั่ง ดื่มน้ำเปล่า ไม่ได้รักสุขภาพ
แต่เป็นเพราะเราไม่มีตังค์

อิงลิช บานอฟฟี
AKA อภิมหาโคตรครีมกระหน่ำโลก
ครีมก้อนใหญ่มากกกก ข้างล่างเป็นกล้วยหอมและโอรีโอบด
โอ๊ย อร่อยได้อีก
เนื้อครีมเบา หอมกลิ่นกล้วยจางๆ หอมเย็นๆ
ไม่เลี่ยน ไม่มัน และไม่สามารถหยุดกินได้


ว่าแต่เขารู้ได้ยังไงว่ามันเป็นอิงลิช?
มันอาจจะเป็นอเมริกัน สแปนิช หรือเตอร์กิชก็ได้นา

เค้กมะพร้าว ของดีขึ้นชื่อของร้าน
ที่ทำให้พี่อีกคนถึงกับยอมขับรถออกนอกเส้นทางกลับบ้านมาซื้อ
อันนี้นราชิมไปหน่อยเดียว เพราะไม่ชอบมะพร้าว
แต่ก็อร่อยอีกแล้ว ครีมเบาเหมือนปุยเมฆ
หอมกลิ่นมะพร้าวพอดีๆ ไม่มะพร้าวจ๋าจนเหม็นฉึ่งแบบที่เราไม่ชอบ


อันนี้เบสิคเค้กที่ทุกร้านต้องมี บลูเบอร์รีชีสเค้ก
อันนี้นราไม่ค่อยได้ชิม เพราะเป็นของพี่เจ้าของวันเกิด
ได้ชิมเศษๆ รู้สึกว่าเนื้อเค้กออกเปรี้ยวไปนิด และเนื้อหยาบร่วนไปหน่อย


ฮ่า ฮ่า อันนี้ของเรา พายเห็ดซอสขาว
ชิ้นประมาณหนึ่งคืบ
ตอนที่เขาร้องเพลงแฮปปีเบิร์ธเดย์กัน นราก็ร้องนะ
แต่มือถือส้อม ตาก็จ้องมองพาย
ไม่ไหวแล้ว น้ำลายไหลย้อย อยากกินใจจะขาด


ไส้ใน
ไม่ใช่เห็ดแชมปิญอง แต่เหมือนเป็นเห็ดไทยสักอย่าง
น่าจะเป็นเห็ดพวก เห็ดนางฟ้า
จริงๆ พายเห็ดที่ไม่ใช้เห็ดแชมปิญอง หรืออย่างเลวก็เห็ดฟางดีๆ
ควรจะถูกประณามอย่างยิ่งยวด
แต่สำหรับกรณีนี้ยกเว้นให้เป็นพิเศษ
อา หย่อย มาก มาย
ซอสในพาย อร่อยเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ (ปานนั้นแน่ะ!)
ตัวแป้งพายเองก็อร่อยมากเหมือนกัน
ปกติแล้วตรงขอบๆ มันก็แห้งแข็งไม่น่ากิน
แต่พายร้านนี้มันกรุบกรอบ แล้วก็อร่อยหมดทุกส่วนเลย


สรุป อร่อยหมดทุกอย่าง
ยกเว้นชีสเค้ก ที่ Cheesecake House เหนือกว่าหลายขุม
วันหลังจะแวะไปอีก
แต่คงอีกสักพักล่ะนะ
ราคาขนาดนี้กินทุกวันขนหน้าแข้งงอกไม่ทันแย่เลย
...................................

อัพเดทเรื่องเรียนต่อสักเล็กน้อย
เมื่อวาน มีอีเมล์ส่งว่า หัวข้อ Accommodation at York
ไอ้เรารึก็ดีใจใหญ่ คิดว่าเอาละเหวย ได้ที่อยู่ซะทีเรา
ปรากฏเป็นอีเมล์ที่ส่งมาผิด เป็นอีเมล์ของพวกเด็กอังกฤษและอียูมัน
อารมณ์เสียมาก แม่ม ทำให้ดีใจแล้วถีบหงายหลัง
สรุปแล้วก็คือ ยังไม่มีที่จะอยู่เหมือนเดิม

ตอนนี้อยากได้ทอล์กกิ้งดิก เตรียมไว้ตอนไปเรียนโน่น
อยากจะซื้อ แต่เดี๋ยวนี้ผลิตออกมามีแต่พวกฟังก์ชั่นครอบจักรวาล
อยากได้แบบธรรมดาๆ ง่ะ แค่ อังกฤษ-ไทย ไทย-อังกฤษ อังกฤษ-อังกฤษ
ของออกซ์ฟอร์ดหรือดิกอื่นที่น่าเชื่อถือพอกันก็ได้แล้ว
ไอ้พวกจอสี จอสัมผัส ดูหนังฟังเพลงน่ะ ไม่อยากได้หรอก
ใครมีก็บอกได้นะ

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

VISA Day


วันนี้เปลี่ยนอารมณ์ อยากชิดซ้ายมั่ง ฮิ ฮิ

หลังจากรอคอยเอกสารต่างๆ มานาน
เมื่อวานก็ได้ฤกษ์อันดี ไปขอวีซ่าให้ตัวเองสักที เอกสารที่นำไปยื่นเยอะแยะมากมายไปหมด
ก่อนจะออกจากบ้านนี่ต้องตรวจแล้วตรวจอีก รู้ว่าตัวเองความจำดีกว่าปลาทองนิดหน่อยก็เลยต้องระมัดระวัง
เผื่อใครแวะเข้ามาหาข้อมูลเกี่ยวกับการขอวีซ่าประเทศอังกฤษในฐานะนักเรียน ก็เลยจะแปะลิสต์เอกสารที่ใช้ไว้ตรงนี้นะคะ จะได้มีประโยชน์กับคนอื่นบ้าง ไม่ใช่วันๆ เอาแต่พล่ามเรื่องไม่อยากไปเรียน กับเรื่องของกิน

- แบบฟอร์ม VAF9 (General Student) ที่กรอกเรียบร้อยแล้วด้วยหมึกดำหรือน้ำเงิน ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่เท่านั้น สำคัญนะคะเช็กความถูกต้องให้ดีๆ (ไอ้ฟอร์มนี่แม่มกรอกแล้วโคตรงง ถ้าพี่ที่เอเจนท์ไม่ช่วยนี่ก็คงต้องมีผิดมั่งละ)
- แบบฟอร์มออนไลน์ที่เราไปกรอกในเว็บ UK4visa อะไรสักอย่างแล้วพรินท์ออกมา เป็นข้อมูลส่วนตัวทั่วไป
- Checklist Form อันนี้ไปโชว์โง่ที่ศูนย์รับคำร้อง คือไม่มี และไม่รู้จัก เขาต้องให้มานั่งกรอกใหม่แล้วค่อยยื่น ถ้าใครไม่มีฟอร์มนี้ไม่เป็นไรค่ะ ไปหยิบเอาที่ศูนย์ได้ เขามีให้
- พาสปอร์ตตัวจริงและสำเนา ถ้ามีเล่มเก่าก็เอาไปด้วยละ
- สำเนาบัตรประชาชน ในกรณีนรากลัวเค้าไม่เชื่อว่าเป็นคนมีอนาคตเลยแนบสำเนาบัตรอาจารย์ม.กรุงเทพไปด้วย
- VISA Letter จากทางมหาวิทยาลัยที่เรากำลังจะไปเรียน
- เอกสารรับรองที่พัก กรณีนรายังเป็นผีไม่มีศาล เคว้งคว้างรอคอนเฟิร์ม ก็เอาอีเมล์ที่ทางโน้นเขาเขียนมาบอกว่ากำลังจัดหาที่พักให้อยู่แนบไปแทน
- เอกสารยืนยันการจองตั๋วเครื่องบินที่แสดงวันเดินทาง
- ใบรับรองการจบการศึกษาหรือประกาศนียบัตร พร้อมด้วยทรานสคริปท์
- เอกสารรับรองทางการเงินว่าเรามีปัญญาจ่ายจนเรียนจบแน่นอน กรณีนราเป็นจดหมายรับรองทุนการศึกษาจากม.กรุงเทพ และแบงค์สเตตเมนท์ของมหาลัยค่ะ
- ใบรับรองการปลอดวันโรคของ IOM
- ค่าธรรมเนียม 8410 บาท ซื้อดราฟได้ที่ธนาคารชั้นล่าง
เอกสารทุกอย่างถ่ายสำเนาไว้สองชุดนะคะ คือเราต้องให้เขาสองชุด คือชุดเอกสารตัวจริง และชุดสำเนา พวกบัตรประชาชนกับพาสปอร์ตก็เขียนรับรองสำเนาถูกต้องด้วยล่ะ

นราเอาไปเท่านี้แหละค่ะ ไปถึงสิบเอ็ดโมงครึ่ง ชั้นสอง อาคารรีเจนท์เฮ้าส์ คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ถึงจะได้รับการเตือนมาแล้วว่าคนจะเยอะ แต่ก็อดเหนื่อยใจไม่ได้อยู่ดี เพราะดูก็รู้ว่ารอนานแหงๆ ไอ้เราไปแบบฉุกละหุกก็ไม่ได้นัดล่วงหน้าซะด้วย

ไปถึงอย่าลืมไปขอบัตรคิว แล้วพี่ยามจะสแกนตัวเราก่อนจะปล่อยให้เข้าไปข้างใน อันนี้เดี๊ยนขอนินทานิดหนึ่ง คือเดี๊ยนเนี่ยก็เหมือนบ้านนอกเข้ากรุง ทำอะไรยังไงตรงไหนก็ไม่รู้ ทีแรกเดี๊ยนก็ไม่ได้เอาบัตรคิว เด๋อเข้าไปเลย แล้วก็ไปยืนหันรีหันขวางอยู่ในนั้น แม่สาวพนักงานสองคนที่ยืนอยู่ตรงประตูก็ยืนเม้าธ์กันอยู่นั่น ประหนึ่งว่าพลัดพรากจากกันในสงครามเวียดนามมาหลายปี ทำหน้าที่ภาษาห่าไรไม่รู้ ไม่ได้ดูแลคนที่มาเลย กลับบ้านไปแปรงฟันนอนไป๊อีนี่!

ขอโทษค่ะนอกเรื่องได้บัตรคิวแล้วก็มานั่งรอนะ นราก็รอออออ
รอออออ....
รอออออ...
จนถึงบ่ายโมงก็ถึงคิวเรา ให้ตายเหอะ ไปยื่นเอกสารแล้วก็รู้ว่าเราขาด Checklist อีก ต้องมานั่งกรอกใหม่ แล้วรีบเอาเอกสารไปยื่น
นรานะเสียวมาก กลัวเอกสารขาด เอามาผิด หรือต้องใช้สำเนามากกว่าที่มี...กำมือแน่นเหมือนรอฟังประกาศผลนางงาม
สรุป เอกสารไม่ขาด ไม่เกิน ถูกต้องครบถ้วน
...แต่ VISA Letter เสือกผิด!!...

แอร๊ยยยย มันไม่ใช่ความผิดชั้นนะเนี่ยยยย York จ๋า What did you do to me เนี่ย?
ใน Student Nationality เขาเขียนว่า Thailand ไม่ใช่ Thai
นราไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร ไม่ได้ติดใจ แต่เจ้าหน้าที่อะดิมาไซโคนรา บอกว่า "จะเอากลับไปเปลี่ยนไหม เคยมีคนโดนปฏิเสธวีซ่าเพราะแบบนี้มาแล้วนะ" ทำเอานราหน้าเขียวด้วยความกลัว แต่ต้องยืนยันว่าจะยื่นเอกสารตัวนี้

โธ่คุณขา กว่าจดหมายใหม่จะมาก็เป็นเดือน กว่าเดี๊ยนจะขอเอกสาร จดหมายรับรองต่างๆนานาใหม่อีกรอบ กว่าผลวีซ่าจะออกว่าผ่านไม่ผ่าน มันคงจะทันกันภายในเดือนเดียวหรอกนะคะ แล้วถ้าเกิดเขาให้ แต่ให้มาเป็นวีซ่าแบบสามเดือนเพราะข้อมูลไม่ถูกต้อง นราก็ต้องไปต่อที่อังกฤษ นั่นหมายความว่าเดี๊ยนจะต้องเดินเรื่องขอเอกสารผีบ้าทั้งหลายนี่ใหม่อีกครั้ง ทำไมชีวิตนรามันบัดซบงี้คะ

แต่เอาน่ะ นราเขียนเมล์ไปถามมหาลัยแล้ว เขาก็ยืนยันกลับมาว่าข้อผิดพลาดจุดนี้จะไม่ทำให้เราโดนปฏิเสธหรอก แต่เขาก็ส่งเอกสารใหม่มาให้อยู่ดี ฮ่วย แล้วทำไมไม่รู้จักเขียนให้มันถูกแต่แรกน้อ แต่อย่างน้อยก็สบายใจขึ้นค่ะ ต้องรอดูผลอีกที

พอยื่นเอกสารเสร็จก็เดินมารับบัตรคิวสำหรับการสแกนลายนิ้วมือค่ะ รอนานอีกเหมือนกัน แต่อันนี้เสร็จเร็ว เข้าไปเซ็นเอกสารนิดหน่อย กดๆ จิ้มๆ ให้เขาลอกแบบลายนิ้วมือเราไป แล้วก็ถ่ายรูป จบ กลับบ้านได้ เก็บใบเสร็จกับสำเนาพาสปอร์ตไว้มารับตัวจริงคืนวันหลัง

พูดเหมือนสั้น เหมือนแป๊บเดียว แต่สรุปแล้ววันนั้นนราใช้เวลาที่ศูนย์ยื่นคำร้องขอวีซ่าตั้งแต่สิบเอ็ดโมงครึ่งถึงบ่ายสาม สามชั่วโมงครึ่งแน่ะ หนังสือที่เอามาก็อ่านแล้วอ่านอีก ใครจะไปก็เตรียมตัวให้พร้อมนะคะ เอาหนังสือไปอ่าน เอางานไปทำ (รู้สึกเขาไม่ให้ฟังเอ็มพีสามนะ) ห้องน้ำก็เข้าให้เรียบร้อย เกิดลุกไปเข้าแล้วเขาเรียกเลยคิวเราไปแล้ว ต้องไปต่อคิวใหม่เลยนะเอ้อ

สรุปว่าก็ก้าวเข้าใกล้วันแห่งการเปลี่ยนแปลงไปอีกก้าว นึกแล้วก็หดหู่ใจจัง เฮ้อ
จบมันเศร้าๆ ดื้อๆ ยังเงี้ยแหละ เพราะตอนนี้ฝนตก และเดี๊ยนอารมณ์แปรปรวนค่ะ
ปล. เมื่อไหร่ตูจะได้หอพักซะทีฟระ จะให้เอาผ้าใบไปปูนอนใต้สะพานที่ยอร์คเป็นเพื่อนเป็ดเพื่อนห่านรึไง เซ็งกะปิ!

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

BUIAO's Trip to Rangsit Campus

เอนทรี่นี้โหลดโหดหน่อยนะคะ แบบว่าอยากโฆษณามหาลัย อิอิ
วันนี้ ฝ่ายกิจการต่างประเทศ ยกพลไปเยี่ยมชมม.กรุงเทพ วิทยาเขตรังสิตกัน
เพราะมีอาจารย์ในฝ่ายบางคนที่ไม่เคยไป บางคนก็ไปมาเมื่อชาติเศษมาแล้ว
อย่างนรานี่ พอจบปีสองก็แทบไม่ได้ไปอีกเลย
นัยว่าวันนี้มาเพื่อสังเกตการณ์ความเปลี่ยนแปลงของมหาลัยค่ะ

ตอนแรกไปเดินดูโรงพิมพ์ม.กรุงเทพกันก่อน
นราเคยเห็นหมดแล้วตอนเรียนวิชาโทภาษาไทย เลยไม่ตื่นเต้น
จำได้ว่า มีคนเล่าให้ฟังถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายเย็บคนนึง ที่เม้าธ์เพลินไปหน่อย
ตอกมือตัวเอง เย็บเข้าไปกับหนังสือด้วยเลย หยองงงมาก

นี่โถงหอสมุดค่ะ อาจคุ้นตากันแล้วเพราะออกโฆษณาบ่อยเหลือเกิน
จุดศูนย์กลางข้างบนสุดนั่น มันแหลมๆนะคะ
เพิ่งรู้วันนี้เองว่ามันคือปลายแหลมของเพชร โอ้ เรียนจบแล้วเพิ่งสังเกต


ข้างในจะมีหอประวัติของมหาลัย
เดินมาเจอรูปนี้แล้วขำดี
นี่เครื่องแบบม.กรุงเทพเมื่อราวสามสิบปีที่แล้วค่ะ
ดูปลายกระโปรงตัดตรงจิ ฮิปจริงๆ ฮ่าาา
เหมือนกระโปรงบาร์บี้ที่เราตัดเองเลย


อันนี้เป็นเสาๆ หมุนได้ มีรูปบุคลากรและนักศึกษาที่จบไปแล้วติดอยู่เต็มเลย
พี่ๆ ที่ทำงานก็กรี๊ดกร๊าดเฮฮา หารูปตัวเอง หารูปคนอื่นแล้วหัวเราะกันใหญ่
อืมมม กาลเวลานี่ช่างโหดร้ายจริงๆนะ


โรงหนังไซส์มินิ


จบจากทัวร์หอสมุด ก็มาที่พิพิธภัณฑ์สถานเครื่องถ้วยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พิพิธภัณฑ์ที่เป็นความภาคภูมิใจของมหาลัยอย่างยิ่ง
เพราะรู้สึกว่าเราจะมีแบบนี้อยู่ที่เดียว ถ้าจำผิดขออภัย
ในรูปคือเตาทุเรียงค่ะ เอาไว้เผาพวกเครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัยมั้ง
อันนี้เป็นแบบผ่าครึ่งให้เห็นถ้วยชามข้างในได้ด้วย
มองเข้าไป เจอคางคกนอนอยู่ในชามตัวนึง


ถ้วยชามรามไหทุกอย่างที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ล้วนเป็นของจริงทั้งสิ้น
เลยไม่กล้าหยิบกล้าจับอะไรมาก เดี๋ยวซวย
พวกเครื่องเซรามิกโบราณเหล่านี้ เขาว่าทนทานที่สุด
ไม่เจ๊ง ไม่ร้าว ไม่อะไรทั้งสิ้นนอกจากคนถือจะโง่ทำตกแทน
เพราะดินที่ปั้นมันมาจากดินภูเขาไฟหรือไงเนี่ยแหละ
แต่พวกเครื่องเคลือบลายครามที่เอาขึ้นสำเภามาแล้วเรือจมเนี่ย
เจ๊ง ลายเละหมดเลย เพราะพวกนี้มันแพ้เกลือ



กั่กๆ ชอบรูปปั้นอันนี้อ่ะ
เหมือนคนกินอิ่มแล้วลูบพุง เป็นท่าประจำของเรานี่หว่า
นี่เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่า คนโบราณนั้นบูชาคนที่กินเก่งจนพุงกาง
จนต้องทำรูปบูชาเลยนะเนี่ย (เกี่ยวปะ?)
ล้อเล่นค่ะ มันเป็นรูปคนท้องตังหาก
อีกอันเป็นดินเผารูปควาย
สุภาษิตที่ว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น
ก็น่าจะเกิดในสมัยนี้ค่ะ เพราะมีคนปั้นรูปควายแล้ว


เอาสักหนึ่งแชะ
หานราเจอไหม?
คนซ้ายสุดเป็นพี่ผู้ประกาศข่าวจากช่องทีวีไทยเชียวนะคะ น่ารักมาก
เขามาสอนภาษาอิตาเลียนที่ม.กรุงเทพค่ะ


ต่อไป ไปทัวร์ตึกนิเทศศาสตร์
โอ้ รู้แล้วว่าทำไมม.กรุงเทพถึงดังเรื่องคณะนิเทศฯ
และทำไมมันถึงแพงหูดับตับไหม้อย่างนี้
ก็ท่านมีอุปกรณ์ทันสมัยใหม่กิ๊กพร้อมให้นศ.ได้ปฏิบัติการจริงขนาดนี้...
(นางแบบสวยป่ะ คุคุคุคุ)


...สปอตไลท์ในห้องปฏิบัติการของเอกบรอดคาสท์ก็ตัวละเป็นแสนขนาดนี้
ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ขนาดนี้...


...แถมเวทีสำหรับเอกการแสดง ก็สร้างใหม่ซะอลังการงานสร้างได้ขนาดนี้...


นี่ยังไม่รวมห้องปฏิบัติการกราฟฟิกที่ใช้เครืองแมคเรียงรายเป็นร้อย
อุปกรณ์ตัดต่อ อัดเสียง ระบบใหม่เอี่ยมนะเนี่ย อู้ว
สมราคาค่าเทอมมากค่ะ
ถือเป็นการโฆษณาให้น้องๆ ที่อยากเข้าม.กรุงเทพ โดยเฉพาะนิเทศฯไปด้วยละกันนะ
..................................

ตอนออกมาจากม. จะไปทานข้าวเที่ยง
ก็เจอเรื่องน่ากลัวขึ้นเสียก่อน
ไฟไหม้!!!


ตึกนี้อยู่ตรงข้าม เยื้องๆ กับมหาลัย เป็นโรงงานไก่สด
ตอนนราเรียนอยู่ปีสอง มันเคยไหม้มาแล้วครั้งนึงด้วย
ตอนเห็นไกลๆ เห็นแต่ควันโขมง ก็คิดว่าไหม่ไม่มากและดับไปแล้ว
แต่พอรถเลี้ยวโค้งเข้ามาใกล้ๆ โหย ดับบ้าไร
ไฟลุกท่วมอยู่ข้างในชั้นบนของโรงงาน ควันออกมามากกว่าเก่าอีก
น่ากลัวจริงๆ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ใครติดอยู่ในนั้นเลย
..................................

แวะทานกลางวันที่ร้านจิตรโภชนา บุฟเฟต์ 199 บาท (ไม่รวมแวท)
นรากินแต่มื้อเช้า หลังจากนั้นไม่แตะอะไรอีกเลย รอมาถล่มที่นี่โดยเฉพาะ

เป็นบุฟเฟต์อาหารไทยปนฝรั่งนิดหน่อยค่ะ
มีพวกข้าวผัด แกงไก่ตุ๋นฟัก (แต่ตักมาเป็นมันฝรั่ง) น้ำพริก ข้าวซอย ก๋วยเตี๋ยว
อาหารฝรั่งของโปรดนรา ก็มีขนมปังกลมๆ ทาเนยสด ไก่อบซอสกะเพรา ซุปมันฝรั่ง
ไข่ตุ๋นอร่อยดี ใส่เห็ดฟางชิ้นเล็กๆด้วย


ซุ้มน้ำพริกและขนมจีน ตกแต่งสวยจังเลย
ตรงนี้นราไม่ได้ทานเลย ทานไม่เป็น
แต่เห็นพี่ๆ เขาบอกว่าอร่อยกันนะ


โต๊ะของหวาน
มีเค้กครีมมะพร้าว แครนเบอร์รีครีมชีส มัฟฟินโรลเล็กๆ
แทบไม่ได้แตะเลย ไม่ถูกจริตเท่าไหร่
เอ หรือเป็นเพราะเรายัดไม่ลงแล้วหว่า
ก็เล่นเขมือบขนมปังกลมๆทาเนยไปห้าก้อน ซุปมันฝรั่งสองถ้วย ซุปไก่ตุ๋นฟักถ้วย
ไข่ตุ๋นสองถ้วย แคนตาลูปปั่นแก้วนึง ข้าวต้ม มันต้มขิง บลาๆๆ
อย่างนี้ดูตะกละไปไหมคะ อุ๊ย อายจัง


รูปสุดท้ายก่อนแบตกล้องจะหมดและจบหน้าที่ไปโดยปริยาย
เล็บใหม่ค่ะ อุฮิ
กลับมหาลัยในสภาพคนท้องสี่เดือน
ง่วงงงง ที่สุดในโลกกก อยากนอนนน จริงๆนะตอนนั้น


ใบตอง
แพทช์เร่งเวลามันคืออะไรอ่ะ แล้วหาได้ที่ไหนเหรอ
เบื่อนั่งรอเวลาระดับสามแรงเต่าแล้วอ่ะ

หมูหวาน
ยินดีด้วย คุณบัณฑิตหกเต้า วิ้วๆๆ
อยากเห็นจำปาในส้นสูงมาก รอมาห้าปี จะได้เห็นเสียที
เกมซิมส์สนุกนะ เล่นจิแล้วจะติดใจ

มุกกุ
นราต้องขอโทษแทนบล็อกบ้าๆบวมๆของนราด้วยนะคะ
ที่ทำให้ความตั้งใจในการร่ายกลอนของมุกต้องสูญเปล่า
ไปอ่านคอมเมนท์มุกในบล็อกก่อนหน้าของแนนแล้ว
อยากบอกว่า เป็นกำลังใจให้มุกนะ อย่าเครียดมาก
ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดยังไง เพราะเรื่องในครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
แต่อยากให้มุกมีความสุขมากๆนะ
นราเข้าใจที่มุกบอกว่า โดนยัดเยียดให้เรียนโน่นเรียนนี่ตลอด
หัวอกเดียวกันค่ะ
ที่นราต้องไปอังกฤษนี่ ก็ไม่ได้อยากไปหรอกนะ
เป็นผลจากคนหวังดีเขาทั้งนั้นค่ะ ตอนนี้ร้องไห้วันเว้นวันเป็นเรื่องปกติ
สู้ๆ มุกๆ วายๆ โอ้ๆ

แนนคะ
ขอให้ถึงโตคิโยโดยปลอดภัย
ส่งข่าวมาบ้างนะ
กลับมาแล้วมาเอานิยายล่ำบึ้กที่นราแปลไปอ่านด้วย อุตส่าห์เก็บไว้ให้