แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วีซ่า แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วีซ่า แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

This Is How My Heart Break

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาให้กำลังใจเมื่อเอนทรีก่อน
ทั้งหมูหวาน ปัด และมุกนะคะ นราซึ้งใจจริงๆ
ตอนนี้นราสบายใจดีแล้ว เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ภาพประกอบไม่เกี่ยวหรอก
เป็นผลงานจากการแข่งขันจัดดอกไม้ของนักศึกษาเอกโรงแรมฯน่ะ
ช่วงนี้นราเครียด หลายคนก็คงเครียด
มาดูดอกไม้สวยๆ ให้จิตใจเบ่งบานกันเต๊อะ
First of all, I'd like to thank my dear friends for giving me such a courage: Moowann, Pat, and Mukku, I do appreciate your kindness.
I'm alright right now, and I'll tell you just what had happened.
The pictures are not related to the story, actually.
They're from the flower arrangement competition of students majoring in Hotel and Tourism Management.
I'm quite stressed lately, and I guess so is everybody else.
Let's watch something beautiful and lift our minds off every tension!



หลายๆคนก็คงจะทราบว่า หลังจากกลุ่มนศ.เม็กซิโก
นราก็ได้ดูแลกลุ่มนศ.สิงคโปร์ต่อ
ทุกอย่างก็ดูเรียบร้อยดี จนกระทั่งวันหนึ่งที่เป็นคิวนราพาเขาไปทำกิจกรรมร่วมกับนศ.ม.เราที่บ้านเด็กพิการซ้ำซ้อน (ที่เคยอัพไว้น่านแหละ) และไปเกาะเกร็ดในตอนบ่าย
You might have known already that after Mexican students, I have to take care of the Singaporean students.
Everything went well, until the day I had to take them to the House of Handicapped Children (as I've mentioned in my earlier entry) and Kret Island in the afternoon.



มีเรื่องขลุกขลักแต่เช้า เมื่อเราไปถึงบ้านเด็กฯตอนเก้าครึ่งตามนัด แต่นศ.ม.เรายังไม่มา กว่าจะมาถึงก็สิบโมงกว่า ระหว่างนั้นนราทำอะไรไม่ได้ ยังดีว่ามีนศ.ม.อื่นมาทำกิจกรรมด้วย ก็ขอแจมๆเขาไป คอยบอกให้เขาเอาขนมไปแจก พาเด็กตบมือ เต้น ไปเข็นรถเข็น พอนศ.เรามาก็เอาของไปมอบให้ โดยทุกคนเอาของที่จะบริจาคไปวางรวมกันในห้อง แล้วก็ถ่ายรูปกัน (พลาดจุดที่หนึ่ง) เพิ่งมารู้ทีหลังว่านักเรียนเรามาแบบไม่มีแผนอะไรเลย!

Things didn't go well since the early morning. We arrived at the Handicapped's House at 9.30 according to the program, but students from BU were not there yet until late ten. I can do nothing during that time. Luckily, there were students from other university, so I asked them if we could join. During that time, I kept telling my group when to give children the snacks, help them dance, and help them with the wheelchair. When BU students finally arrived, we gathered stuff we prepared for the kids together, then take a photo (First Mistake.) I knew after that that the students didn't prepare anything for this activity before at all!



เสร็จจากบ้านเด็กฯ ก็ไปเกาะเกร็ดกัน
นราเองก็ไม่เคยไปเกาะเกร็ด ไม่รู้ข้อมูลอะไรของที่นี่เลย (พลาดจุดที่สอง)
แต่เห็นเขาหิวข้าวกันก็เลยพาไปทานข้าวกลางวันก่อน
เรียบร้อยแล้วก็บอกเขาว่า เอาละ เรามีเวลาให้คุณเดินสำรวจเกาะกันนะ
จะไปไหนก็ได้ เสร็จแล้วกลับมาเจอกันที่เดิมตอนบ่ายสองครึ่ง (พลาดจุดที่สาม)
After that we left for Kret Island.
I have never been to this place myself, so I know nothing about it (Second Mistake)
The students looked tired and hungry, so I took them to the local restaurant around there, ordered them some food, and made sure they all got what they wanted.
When everyone finished their meal, I told them they were free to explore the island, just had to come back here at 2.30 (Third Mistake)



เด็กๆก็แยกย้ายกันไป นราก็ถือกล้องไปถ่ายภาพบรรยากาศรอบๆ
ใครเคยไปเกาะเกร็ดคงจะรู้ว่ามันจะเป็นทางเส้นเดียววนรอบเกาะ ขนาบด้วยร้านค้า
เดินไปเดินมา นราก็ไปเจอกลุ่มเด็กสิงคโปร์กลุ่มนึง
สุดท้ายก็เลยเดินไปด้วยกันจนถึงเวลานัดพบ
ก็กลับมาขึ้นเรือข้ามฟาก ขึ้นรถตู้กลับโรงแรม
นราดันลืมวางกล้องของฝ่ายไว้ที่โรงแรมเขาด้วย ดีที่ไม่หาย
(พลาดจุดที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ขี้เกียจนับ)
The students wandered around, while I took some photos for the University report.
If you have been to Kret Island, you would know that between hundreds of shops, there is only one main route going round the island.
I accidentally found a group of students, so I walked with them until we came back at two thirty.
We took the boat back to where the vans were waiting and headed to the hotel.
I forgot the camera, which is not mine but the University's, at the hotel as well.
Luckily, someone took it to the reception.
(Can someone tell me how many mistakes we have so far?)



สองวันหลังจากนั้น ได้เรื่องเลย
เจ้านายนราเรียกเข้าไปคุยตอนเย็น
เขาว่า ได้คุยโทรศัพท์กับอาจารย์ผู้ควบคุมคณะของเด็กกลุ่มนี้แล้ว
และอาจารย์เขาก็บอกว่า ไม่พอใจการทำงานของนรามากๆ
เพราะนราไม่ทำหน้าที่ของตัวเองเลย เห็นแต่เพื่อนอีกคนที่ไปด้วยกันทำ
นราทำตัวเหมือนนักเรียนคนนึงของเขา ไม่ใช่ผู้ประสานงาน
ไปเกาะก็ไม่อธิบายอะไรเลย ไปบ้านเด็กก็ไม่มีการมอบของ
เจ้านายนราบอกว่า เขาผิดหวังในตัวนรามาก
The shit hit the fan two days after that.
My Boss said she needed to see me in her office.
She said she had a telephone conversation with an instructor who took care of the students, and he said that he 'does not like my performance very much' since I didn't seem to do what I should do. The only person he saw working responsibly was my friend who also accompanied the group on that day.
He said I acted like one of his students, not a coordinator:
No explaination about Kret Island, no proper ceremony taken place at the Handicapped's House.
Finally, my Boss said she was so disappointed in me.



นราอธิบายว่า นราไม่ได้ปล่อยให้เพื่อนทำงานคนเดียว
แต่แบ่งกันทำ ช่วยกันทำ คนนึงโทรตามนศ. คนนึงโทรตามรถตู้
แต่นราไม่เถียงเรื่องความโหลยโท่ยของนรา
เป็นความผิดของนราเองที่ไม่รู้จักหาข้อมูลก่อนพาแขกไป
และไม่รู้จักมีไหวพริบในการจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับแขก
ตัวนราเองเป็นคนไม่ค่อยเข้าหาใคร เงียบๆ และไม่ค่อยถาม
แถมยังขี้ลืม สะเพร่า และไม่รอบคอบเป็นที่สุด
ก็เลยทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้
นราไม่เถียงเลย

I explained that I didn't toss all my responsibility on my friend, but we both helped each other: one calling for BU students, while one calling for the vans.
However, I had no excuse for my lousiness at all.
It was my fault for not searching and giving information to the guests when I should,
and couldn't even make proper activities for them.
I myself is quite quiet at work. I don't really ask much.
I'm terribly forgetful and not so neat. That is why this thing did happen.
I do not argue at all.


สุดท้าย ก็อย่างที่รู้
นราถูกถอดออกจากโปรเจ็คแล้ว
At last, as you might have guessed,
I was taken off the project.



นราไม่โกรธเจ้านายเลยที่ว่านรามากมายขนาดนั้น
เพราะนราก็เป็นอย่างที่พี่เขาว่ามาจริงๆ
พอมีคนมาตำหนิแรงๆ ตรงๆ นราก็รู้ตัว และก็อยากจะเปลี่ยนแปลง
ตกเย็น นราไล่โทรศัพท์ไปหาพี่ๆที่ทำงานด้วยกันเพื่อขอโทษ
ขอโทษที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นถามงานจนทำให้เรื่องยุ่ง เสียชื่อมหาลัย
ขอโทษถ้าเห็นแก่ตัว อวดดีมากไป
ซึ่งทุกคนก็แสนดี เข้าใจและช่วยเหลือนราทุกคน
นราเขียนเมล์ไปขอโทษอาจารย์คุมคณะสิงคโปร์ด้วยนะ...

I wasn't angry at all,
because I know that I really AM what my Boss has said.
It's good when someone frankly and sincerely criticises you.
I know how I cause problems now, and I am more than ready to change.
That evening, I phoned my colleages to say Sorry.
Sorry for not being enthusiastic in work and therefore, putting us in shame
Sorry for being so selfish and deluded
Everyone was so nice to me. They understood and were willing to help.
I even wrote to the instructor to say how sorry I was...

ที่เสียใจที่สุดคืออะไรรู้มั้ย
นราคิดว่า นราห่วงใยสวัสดิภาพของแขกแต่ละคนมากแล้ว
นราคอยเดินปิดท้ายขบวนให้แน่ใจว่าไม่มีใครเดินหลง
โทรตามรถตู้ให้มารับทันกัน ดูแลว่าทานอาหารกันได้หรือเปล่า
กลัวจะเบื่อที่บ้านเด็กฯ นราก็คอยคุยกับพี่เจ้าหน้าที่ว่ามีอะไรให้กลุ่มเราทำบ้าง
เวลามีข้อผิดพลาด หรือแขกไม่พอใจอะไร นราก็อยากจะรู้ ณ ตรงนั้น
จะได้แก้ไขให้ได้ อย่างน้อยก็จะพยายาม
สิ่งที่ตอบกลับมาในเมล์คือ
"It seems like you want to have fun with the students more than anything else"



You know what truly hurt?
I thought I took a good care in every student's wellbeing.
I always walked at the back to make sure that no one would get lost.
I called the vans to pick them up in time. I made sure that food they had was okay for them.
Afraid of them getting bored at the Handicapped's House, I kept asking an officer there whether there would be something our group could join.
If there were any mistakes I made, I would want to know it right there,
so that I can fix things up, or at least I can try, I would try.
And what I got back was
>>
>>
You can read that sentence is red, right, fella?

"What you thought was good enough might not be so for the others"



PS. นราได้วีซ่านักเรียนอังกฤษแล้วค่ะ ย้าฮู ยี้ฮา/I finally got my UK VISA!

PS. นราได้หอพักแล้วด้วยค่ะ อุตส่าห์เลือกตรงๆกลาง ดันได้กระเด็นไปซะชายแนวป่าโน่น กรรม...



วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

VISA Day


วันนี้เปลี่ยนอารมณ์ อยากชิดซ้ายมั่ง ฮิ ฮิ

หลังจากรอคอยเอกสารต่างๆ มานาน
เมื่อวานก็ได้ฤกษ์อันดี ไปขอวีซ่าให้ตัวเองสักที เอกสารที่นำไปยื่นเยอะแยะมากมายไปหมด
ก่อนจะออกจากบ้านนี่ต้องตรวจแล้วตรวจอีก รู้ว่าตัวเองความจำดีกว่าปลาทองนิดหน่อยก็เลยต้องระมัดระวัง
เผื่อใครแวะเข้ามาหาข้อมูลเกี่ยวกับการขอวีซ่าประเทศอังกฤษในฐานะนักเรียน ก็เลยจะแปะลิสต์เอกสารที่ใช้ไว้ตรงนี้นะคะ จะได้มีประโยชน์กับคนอื่นบ้าง ไม่ใช่วันๆ เอาแต่พล่ามเรื่องไม่อยากไปเรียน กับเรื่องของกิน

- แบบฟอร์ม VAF9 (General Student) ที่กรอกเรียบร้อยแล้วด้วยหมึกดำหรือน้ำเงิน ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่เท่านั้น สำคัญนะคะเช็กความถูกต้องให้ดีๆ (ไอ้ฟอร์มนี่แม่มกรอกแล้วโคตรงง ถ้าพี่ที่เอเจนท์ไม่ช่วยนี่ก็คงต้องมีผิดมั่งละ)
- แบบฟอร์มออนไลน์ที่เราไปกรอกในเว็บ UK4visa อะไรสักอย่างแล้วพรินท์ออกมา เป็นข้อมูลส่วนตัวทั่วไป
- Checklist Form อันนี้ไปโชว์โง่ที่ศูนย์รับคำร้อง คือไม่มี และไม่รู้จัก เขาต้องให้มานั่งกรอกใหม่แล้วค่อยยื่น ถ้าใครไม่มีฟอร์มนี้ไม่เป็นไรค่ะ ไปหยิบเอาที่ศูนย์ได้ เขามีให้
- พาสปอร์ตตัวจริงและสำเนา ถ้ามีเล่มเก่าก็เอาไปด้วยละ
- สำเนาบัตรประชาชน ในกรณีนรากลัวเค้าไม่เชื่อว่าเป็นคนมีอนาคตเลยแนบสำเนาบัตรอาจารย์ม.กรุงเทพไปด้วย
- VISA Letter จากทางมหาวิทยาลัยที่เรากำลังจะไปเรียน
- เอกสารรับรองที่พัก กรณีนรายังเป็นผีไม่มีศาล เคว้งคว้างรอคอนเฟิร์ม ก็เอาอีเมล์ที่ทางโน้นเขาเขียนมาบอกว่ากำลังจัดหาที่พักให้อยู่แนบไปแทน
- เอกสารยืนยันการจองตั๋วเครื่องบินที่แสดงวันเดินทาง
- ใบรับรองการจบการศึกษาหรือประกาศนียบัตร พร้อมด้วยทรานสคริปท์
- เอกสารรับรองทางการเงินว่าเรามีปัญญาจ่ายจนเรียนจบแน่นอน กรณีนราเป็นจดหมายรับรองทุนการศึกษาจากม.กรุงเทพ และแบงค์สเตตเมนท์ของมหาลัยค่ะ
- ใบรับรองการปลอดวันโรคของ IOM
- ค่าธรรมเนียม 8410 บาท ซื้อดราฟได้ที่ธนาคารชั้นล่าง
เอกสารทุกอย่างถ่ายสำเนาไว้สองชุดนะคะ คือเราต้องให้เขาสองชุด คือชุดเอกสารตัวจริง และชุดสำเนา พวกบัตรประชาชนกับพาสปอร์ตก็เขียนรับรองสำเนาถูกต้องด้วยล่ะ

นราเอาไปเท่านี้แหละค่ะ ไปถึงสิบเอ็ดโมงครึ่ง ชั้นสอง อาคารรีเจนท์เฮ้าส์ คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ถึงจะได้รับการเตือนมาแล้วว่าคนจะเยอะ แต่ก็อดเหนื่อยใจไม่ได้อยู่ดี เพราะดูก็รู้ว่ารอนานแหงๆ ไอ้เราไปแบบฉุกละหุกก็ไม่ได้นัดล่วงหน้าซะด้วย

ไปถึงอย่าลืมไปขอบัตรคิว แล้วพี่ยามจะสแกนตัวเราก่อนจะปล่อยให้เข้าไปข้างใน อันนี้เดี๊ยนขอนินทานิดหนึ่ง คือเดี๊ยนเนี่ยก็เหมือนบ้านนอกเข้ากรุง ทำอะไรยังไงตรงไหนก็ไม่รู้ ทีแรกเดี๊ยนก็ไม่ได้เอาบัตรคิว เด๋อเข้าไปเลย แล้วก็ไปยืนหันรีหันขวางอยู่ในนั้น แม่สาวพนักงานสองคนที่ยืนอยู่ตรงประตูก็ยืนเม้าธ์กันอยู่นั่น ประหนึ่งว่าพลัดพรากจากกันในสงครามเวียดนามมาหลายปี ทำหน้าที่ภาษาห่าไรไม่รู้ ไม่ได้ดูแลคนที่มาเลย กลับบ้านไปแปรงฟันนอนไป๊อีนี่!

ขอโทษค่ะนอกเรื่องได้บัตรคิวแล้วก็มานั่งรอนะ นราก็รอออออ
รอออออ....
รอออออ...
จนถึงบ่ายโมงก็ถึงคิวเรา ให้ตายเหอะ ไปยื่นเอกสารแล้วก็รู้ว่าเราขาด Checklist อีก ต้องมานั่งกรอกใหม่ แล้วรีบเอาเอกสารไปยื่น
นรานะเสียวมาก กลัวเอกสารขาด เอามาผิด หรือต้องใช้สำเนามากกว่าที่มี...กำมือแน่นเหมือนรอฟังประกาศผลนางงาม
สรุป เอกสารไม่ขาด ไม่เกิน ถูกต้องครบถ้วน
...แต่ VISA Letter เสือกผิด!!...

แอร๊ยยยย มันไม่ใช่ความผิดชั้นนะเนี่ยยยย York จ๋า What did you do to me เนี่ย?
ใน Student Nationality เขาเขียนว่า Thailand ไม่ใช่ Thai
นราไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร ไม่ได้ติดใจ แต่เจ้าหน้าที่อะดิมาไซโคนรา บอกว่า "จะเอากลับไปเปลี่ยนไหม เคยมีคนโดนปฏิเสธวีซ่าเพราะแบบนี้มาแล้วนะ" ทำเอานราหน้าเขียวด้วยความกลัว แต่ต้องยืนยันว่าจะยื่นเอกสารตัวนี้

โธ่คุณขา กว่าจดหมายใหม่จะมาก็เป็นเดือน กว่าเดี๊ยนจะขอเอกสาร จดหมายรับรองต่างๆนานาใหม่อีกรอบ กว่าผลวีซ่าจะออกว่าผ่านไม่ผ่าน มันคงจะทันกันภายในเดือนเดียวหรอกนะคะ แล้วถ้าเกิดเขาให้ แต่ให้มาเป็นวีซ่าแบบสามเดือนเพราะข้อมูลไม่ถูกต้อง นราก็ต้องไปต่อที่อังกฤษ นั่นหมายความว่าเดี๊ยนจะต้องเดินเรื่องขอเอกสารผีบ้าทั้งหลายนี่ใหม่อีกครั้ง ทำไมชีวิตนรามันบัดซบงี้คะ

แต่เอาน่ะ นราเขียนเมล์ไปถามมหาลัยแล้ว เขาก็ยืนยันกลับมาว่าข้อผิดพลาดจุดนี้จะไม่ทำให้เราโดนปฏิเสธหรอก แต่เขาก็ส่งเอกสารใหม่มาให้อยู่ดี ฮ่วย แล้วทำไมไม่รู้จักเขียนให้มันถูกแต่แรกน้อ แต่อย่างน้อยก็สบายใจขึ้นค่ะ ต้องรอดูผลอีกที

พอยื่นเอกสารเสร็จก็เดินมารับบัตรคิวสำหรับการสแกนลายนิ้วมือค่ะ รอนานอีกเหมือนกัน แต่อันนี้เสร็จเร็ว เข้าไปเซ็นเอกสารนิดหน่อย กดๆ จิ้มๆ ให้เขาลอกแบบลายนิ้วมือเราไป แล้วก็ถ่ายรูป จบ กลับบ้านได้ เก็บใบเสร็จกับสำเนาพาสปอร์ตไว้มารับตัวจริงคืนวันหลัง

พูดเหมือนสั้น เหมือนแป๊บเดียว แต่สรุปแล้ววันนั้นนราใช้เวลาที่ศูนย์ยื่นคำร้องขอวีซ่าตั้งแต่สิบเอ็ดโมงครึ่งถึงบ่ายสาม สามชั่วโมงครึ่งแน่ะ หนังสือที่เอามาก็อ่านแล้วอ่านอีก ใครจะไปก็เตรียมตัวให้พร้อมนะคะ เอาหนังสือไปอ่าน เอางานไปทำ (รู้สึกเขาไม่ให้ฟังเอ็มพีสามนะ) ห้องน้ำก็เข้าให้เรียบร้อย เกิดลุกไปเข้าแล้วเขาเรียกเลยคิวเราไปแล้ว ต้องไปต่อคิวใหม่เลยนะเอ้อ

สรุปว่าก็ก้าวเข้าใกล้วันแห่งการเปลี่ยนแปลงไปอีกก้าว นึกแล้วก็หดหู่ใจจัง เฮ้อ
จบมันเศร้าๆ ดื้อๆ ยังเงี้ยแหละ เพราะตอนนี้ฝนตก และเดี๊ยนอารมณ์แปรปรวนค่ะ
ปล. เมื่อไหร่ตูจะได้หอพักซะทีฟระ จะให้เอาผ้าใบไปปูนอนใต้สะพานที่ยอร์คเป็นเพื่อนเป็ดเพื่อนห่านรึไง เซ็งกะปิ!

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

What's Wrong with My Motherf*cking Lungs?

วันนี้ไม่มีรูปนะคะ
กำลังอยู่ในสภาพบ้าคลั่งพร้อมวิกลจริต
ทำไมมมม ทำไมต้องเป็นเราด้วยยย
.................
ตัดภาพ ย้อนเวลากลับไปตอนสายๆของวันนี้
นราลางาน เพื่อไปตรวจวัณโรคที่กับศูนย์ IOM เอาไว้ทำวีซ่า
นัดกับจอย เพื่อนเด็กทุนเหมือนกัน ไปตอนเช้าประมาณ 10 โมง
โทรไปนัดล่วงหน้าไว้แล้ว
เอกสารที่ต้องเตรียมไป ได้แก่:
1. พาสปอร์ต ทั้งตัวจริงและสำเนา เซ็นรับรองสำเนาถูกต้องด้วย
2. บัตรประชาชน ทั้งตัวจริงและสำเนา เซ็นเหมือนกัน
3. รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว พื้นขาว เขียนชื่อข้างหลังด้วย
4. เงินเงิ้นเงิน 2,600 บาท พระเจ้า!
ไปถึงก็ยื่นเอกสาร เจ้าหน้าที่ก็ให้เข้าไปนั่งรอ
พอเขาเรียกเบอร์ในบัตรคิวก็ลุกไปกรอกเอกสารและจ่ายเงิน
ประมาณว่ายอมรับเงื่อนไขในการตรวจ
และเลือกโรงปากะบาลที่เราจะไปเอ็กซเรย์นม เอ๊ย ปอด
นราเลือกพญาไท 2 เพราะมีประวัติเก่าอยู่แล้ว
ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กิน หิวงั่กเลย
แต่อดทนไว้ กะว่าเดินเรื่องให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกินทีเดียว
ไปถึงโรงพยาบาล ก็กรอกประวัติอีก แล้วไปนั่งรอเอ็กซ์(เรย์)
บริการดีสมเป็นโรงพยาบาลเอกชนจริงๆ
แต่แอบเซ็ง เขาสะกดนามสกุลนราผิด
อุตส่าห์เขียนชัดๆแล้วว่า Promprakai
ไหงออกมาเป็น Promprakit
นามสกุลใครก็ไม่รู้ ?? เสียเวลาแก้อีก
แล้วก็เป็นไปตามขั้นตอนเอ็กซเรย์นะคะ
ถอดเสื้อ เสื้อใน สร้อย กิ๊บ ออกให้หมด แล้วเปลี่ยนใส่เสื้อเขียวๆ
ไปยืนเต๊ะท่าเท้าสะเอว หายใจเข้าลึกๆให้เขาแชะหนึ่งที ก็เรียบร้อย
นั่งรอรับฟิล์มประมาณครึ่งชั่วโมงก็ได้แล้ว
เร็วเหมือนกัน และคงจะรู้สึกว่ามันเร็วกว่านี้
ถ้าตอนนั้นไม่ได้หิวฉิบหายวายวอด
พอได้ฟิล์มแล้วก็รีบกลับไปที่ศูนย์ IOM อีกทีเพื่อเอาฟิล์มไปยื่น
แต่ไปถึงตอนเที่ยงครึ่ง เขาพักเที่ยงกันพอดี
เลยฝากฟิล์มให้เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่ไว้ รับบัตรคิว แล้วลงไปกินเคเอฟซีกัน
(ชุดข้าวยำไก่ซี้ดเผ็ดนรก กับไก่ทอดหนึ่งชิ้น)
พอกลับมา เขาก็เรียกเลยบัตรคิวของเราไปแล้ว
แต่เจ้าหน้าที่บอกไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาย้อนให้
สักพักก็มีคนมาเรียกให้เข้าไปในห้อง
ทำไมต้องเข้าห้องด้วย? คนอื่นเขารับกันข้างนอกนี่นา
ตอนนั้นคิดอย่างนี้ แต่ไม่ได้ติดใจไรมากเพราะคิดว่าเขาคงมีหลายโต๊ะ
หมอนั่งรออยู่พร้อมฟิล์มเอ็กซเรย์ปอดอันเซ็กซี่ของเรา
เอาแล้ว ตึ่มๆ ตึ่มๆ
หมอไม่พูดพล่ามทำเพลง ชี้ทันที
"ปอดตรงนี้มันมีรอยนิดๆนะครับ แล้วสีของเนื้อปอดสองข้างไม่เท่ากัน
อาจเป็นลักษณะของแผลเป็นจากอาการปอดติดเชื้อ
เดี๋ยวต้องมาเก็บเสมหะเพิ่มอีก 3 วันนะครับ"
แล้วหมอก็ปล่อยให้คุณพยาบาลลากเราที่กำลังงุนงงออกไป
รอยไหนโว้ยยยยย กรูดูสีมันก็เหมือนกัน
หมอเห็นของหมอคนเดียวอ่ะ
แต่เพราะเขาเป็นหมอ เราจึงต้องเชื่อฟัง
ตัดภาพมาที่อีกห้อง
พยาบาลใส่ทันที ถามว่าเคยมีคนรู้จักเป็นวัณโรคไหม
มีอาการไอ มีไข้เหงื่อออกตอนกลางคืนหรือเปล่า
นราค่อนข้างมั่นใจว่าไม่เคย และไม่มีอาการ
แต่ยังไงแกก็ต้องมาเก็บตัวอย่างเสมหะอยู่ดี แอร๊งงงง
ปัญหาคือ
นราขากถุยไม่เป็น
ชาตินี้เกิดมาไม่เคยขากถุยเอาเสมหะออกจากคอเลย
ไม่ได้สุภาพ ไม่ได้กุลสตรี แต่ทำไม่เป็นอ่ะ
นี่เขาให้คู่มือการขากถุยอย่างถูกต้องมาด้วยนะ ทำนองว่า
1. หายใจเข้าออกลึกๆ 4 ครั้ง
2. ครั้งที่ 4 ยกแขนขึ้นและไอจากก้นบึ้งที่ลึกที่สุดของปอดน้อยๆ
3. เอามือกดพุง และไอจนกว่าปอดของท่านจะหลุดออกมา
ล้อเล่นค่ะ
ไอไล่เสมหะเฉยๆแหละ
4. ถ้าพบว่าเป็นเสมหะที่ท่านเก็บไม่ถูกต้อง
ท่านต้องทำใหม่ จนกว่ากรูจะบอกให้หยุด
!!!!
นี่ไม่ต้องไอจนลูกกะตาถลนออกมาเรอะ
เวรกรรมจริงๆ
ไอ้ที่เราไม่คิดว่าจะมีปัญหากับผลตรวจ
ดั๊นพลิกล็อกซะนี่
กลับบ้านด้วยความรู้สึกเซ็งกะปิ
พรุ่งนี้ต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งกะตีห้า ออกจากบ้านหกโมง
เพราะเขานัดไปขากถุยตอน 6.45
เสร็จแล้วก็ไปทำงานต่อ โธ่ชีวิต
ต้องทำยังงี้ตั้งสามวันแน่ะ
.................
ใบตอง
จะทำวีซ่าต้องโทรไปจองด้วยเหรอคะ
งานเข้าอีกงานแล้วสิ
หมูหวาน
ถ้าหนุ่มในบล็อกหล่อนมิใช่แฟน
หล่อนคงไม่กรีดร้องโหยหวน จิกทึ้งผมตัวเองอย่างนั้นหรอกย่ะ
ยามที่เห็นเขาทำหน้าแบ๊วพร้อมจุกชมพู
(ผมจุกนะ อย่าคิดมาก)
มุ้กหมุก
เออ พอมุกพูดเลยนึกขึ้นได้ว่ามุกเป็นคนหัวเล็ก
ฮ่าๆๆ ลืมไปนานแล้วนะเนี่ย
ว่างๆต้องนัดมายลเสียหน่อยแล้ว
หนูแนนโกะ
ตอนนี้ก็อยากกินแซลมอนอีกอ่ะ
ถ้าแตงโมที่ยุ่นลูกละพันห้าเยน
นราเก็บตั้งไว้ซื้อหนังเอวีดีกว่าค่ะ