วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

My Blog Is Now A Bi

Last night I read through my whole blog
and just realised how full of nonsense it is -_-"
Mainly I talked about my ordinary life, food, love, and stuff like that. Those entries I wrote when I was in England was kinda nice though as I had lots of wonderful moments there, and because my computer has decided when I arrived at bangkok in September that it had too much data in it and wiped out everything, including every photo I took there.

This is why I never trust technology. You never know what it has in its evil mind.

Right now I work at Bangkok University and I am trying to hard to get my arse back to England. I definitely fell in love with it. It was quite funny how much I whined, cried, and protested about studying abroad even before I know what England is like. Then I learned the fact of life:


"People change"


This is absolutely true. After six months, meeting lots of people whose ambition in academic stuff was high, I began to feel the urge to continue my study to PhD level. A voice in my head told me that I can be better than this, why stopping at MA when I can go further? At the end of my MA I decided to follow that voice, which cost me my relationship.

It hurt, yes, it hurt like hell.

To break up with someone always hurt, but to break up with someone when you still love them, man that's just even more painful

But anyway, I'm fine now. I'm with someone very nice (though he barely has time for me these days, and to be honest I'm quite lonely *sob sob*)


I wanna blog in English too because I noticed that my English skill is now increasingly dropping to the frightening level. Doing this might not be so helpful, but at least I will get to use English more.


Yesterday I dined alone.


I normally get very sensitive seeing someone eating alone in a restaurant. For some reasons I feel very sad for them. Why are they eating alone? Where are their friends? What about their family? If that person is an old person, man I'll get very sad.


Until I dined alone yesterday.


I was quite hungry at the end of the day, so I called my mum and my brother to ask if they wanted to dine together. Too bad mum had work to do, and my brother was busy practicing for the concert. So I went to the Japanese restaurant alone.

Right there, I found my peaceful space.

I don't think I have eaten in a restaurant alone before, so that was my first time. With a book in my hand, I started eating my dinner, which was massive: 12 salmon rolls, a full set of Yakiniku with salad, rice, and soup, plus green tea ice cream.


(I saw several waiters/waitresses glanced at the whole lot of food on my table and rushed to their friends in the kitchen. Seems like I have given them some kinda gossip tonight)

However, that was a nice experience.

I love reading while eating. It's a bad habit I know, but it just makes the food tastier, seriously. And to be able to read quietly while devouring my favourite food was a bliss.

I know I will look at people eating alone in a different way now.

Actually I will do a lot of eating alone next month, as I will be flying solo to Singapore. Yes!! Alone in Singapura! I'm both nervous and excited, but really, I can't wait!

PS. I'd be grateful if you go check my channel out
www.youtube.com/narawannara
Thanks loads!
..............

เมื่อวานไปดินเนอร์คนเดียวมาค่ะ

เลิกงานมาจากวิทยาเขตรังสิตก็หิวโซมาเลย โทรศัพท์ไปชวนแม่กับน้องชายไปกินข้าวด้วยกัน อยากกินอาหารญี่ปุ่น ปรากฏว่าแม่ติดงาน ท่าทางกำลังองค์ลงกับระบบคอมพิวเตอร์เฮงซวย เลยรีบวางสายก่อนโดนลูกหลง ส่วนน้องชายติดซ้อมดนตรีที่ม. สมตุ้ยเลยต้องไปกินคนเดียวอย่างช่วยไม่ได้ เพราะกระเพาะมันเรียกร้องก่อนสิ่งอื่นใด

ปกติจะไม่กินข้าวนอกบ้านคนเดียว เป็นคนมีปมง่ะ มีความรู้สึกว่าคนที่นั่งกินข้าวคนเดียวน่าสงสาร เพื่อนเขาไปไหน ครอบครัวเขาล่ะ ทำไมเขาต้องมานั่งกินคนเดียวด้วย เขาจะเหงามั้ย ยิ่งเห็นคนแก่นั่งกินข้าวคนเดียวนะ มองไม่ได้เลย สะเทือนใจอย่างแรง

แต่แล้วก็ได้พบความสงบสุขในรูปแบบใหม่

นราเนี่ยติดนิสัยอ่านไปกินไป เป็นนิสัยที่ไม่ดี แต่เลิกไม่ได้ วันไหนกินข้าวแล้วไม่มีหนังสือจะรู้สึกเหมือนอะไรมันขาดไปสักอย่าง เหมือนอาหารไม่อร่อย วู้ยอธิบายยาก
เมื่อวานพอรู้ว่าจะไปกินข้าวคนเดียว ถึงกับเดินอ้อมไปหอสมุด ไปยืมหนังสือมาสองเล่ม เอาไว้อ่านตอนกินโดยเฉพาะ
แนะนำหนังสือที่ทำให้อาหารอร่อย
Under the Tuscan Sun by Frances Meyes
Bon Appetit, Provence Series by Peter Mayle
Garlic and Sapphire by Ruth Rachel
แซบอีหลี

ว่าไปแล้วกินข้าวคนเดียวมันก็ดีเหมือนกันนะ มันเขินๆหน่อยตอนแรกเพราะไม่เคยทำ แต่พอกางหนังสือ กิน มีความสุขจังเลย
พนักงานก็บริการขยันขันแข็ง โค้งแล้วโค้งอีก คาดว่าถ้าเอาพรมแดงมาปูได้คงทำไปแล้ว
นราสั่งเยอะมาก เซ็ทหมูกระทะร้อนหนึ่งชุด แซลมอนโรลสองจานสิบสองชิ้น ไอติม
แอบเห็นพนักงานเสิร์ฟเหล่มองแล้วไปคิกคักกันครัว ดังอีกแล้วกรู อายยย

ต่อจากนี้คงมองการต้องนั่งทานข้าวคนเดียวในมุมมองที่ต่างออกไปค่ะ

อันที่จริงเรื่องกินข้าวคนเดียว อีกหน่อยก็ต้องกินคนเดียวสามมื้อสามวันแล้ว จะไปฉายเดี่ยวที่สิงคโปร์ค่ะ อิอิ ทั้งกังวลและตื่นเต้น ณ ขณะนี้ยังหาที่พักไม่ได้เลย ไม่อยากพักโรงแรมเพราะไปคนเดียว แพง และน่ากลัวอ่ะ

มิตรรักแฟนเพลง ขณะนี้นราเปิด YouTube Channel แล้วนะคะ แวะไปอวยกันหน่อย
www.youtube.com/narawannara
ขอบคุณคร้า

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

First Experience with a Fortune Teller

วันก่อนมีโอกาสได้ไปพบปะกับอาจารย์ท่านหนึ่ง
ซึ่งอาจารย์ท่านนี้มิได้สอนหนังสือแต่อย่างใด
แต่เป็นอาจารย์คล้ายๆกับนั่งทางใน บอกอนาคตอะไรได้ทำนองนั้น ถ้าอธิบายผิดต้องขอโทษด้วยไม่รู้เขาเรียกกันว่ายังไง ไม่มีเจตนาจะลบหลู่ค่ะ
เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสไปดูดวงดูอนาคตแบบนี้
ถามป๋าแล้ว ว่ารู้จักอาจารย์คนนี้ได้ยังไง ป๋าบอกรู้มาจากน้า
น้ารู้มาจากหนังสือ
น้าโทรไปหาอาจารย์ก่อน ถามว่าทำไมชีวิตถึงมีแต่เรื่องเดือดร้อน ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ
อาจารย์เงียบไปพักหนึ่ง แล้วถามน้าว่า คุณไปทำอะไรมา มีเด็กสองคนเขาตามเกาะแขนเกาะขาคุณอยู่ เขาไม่ปล่อยคุณเลย
น้าฟังแล้วสะดุ้งแหงๆ เพราะในอดีตมีเหตุเกี่ยวข้องกับการทำแท้งสองหน
เรื่องบางเรื่องมันก็อธิบายด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้เนอะ
ป๋าไปถามเรื่องที่ดิน พอถามเสร็จก็ให้อาจารย์ช่วยดูให้นรา
อาจารย์บอกว่า เป็นคนที่โชคดี กรรมหนักแทบไม่มีเลย ที่ได้ดีโชคดีผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้ตลอดเป็นเพราะกินบุญเก่า พร้อมทั้งแนะนำให้นราหัดทำบุญเพิ่มเติมบ้าง
อารมณ์คล้ายๆการเติมเงินมือถือมั้ง
พอบอกว่าเรียนเรื่องภาษา ท่านก็บอกว่าดีแล้ว ตรงโฉลกพอดี ในอนาคตจะเป็นคนมีชื่อเสียงด้านการแปล จะมีงานเยอะ เงินเยอะ ทำงานถึงขั้นบ้างานเลยทีเดียว
ฟังมาถึงตรงนี้ บอกตรงๆว่าความรู้สึกประมาณ "จริงเร้อ" มันผุดขึ้นมาทันที
เพราะรู้ตัวเองว่าเป็นคนโคตรขี้เกียจ ถ้างานไม่ต้องส่งก็ฝันไปเหอะว่าจะทำ
เป็นคนทำงานเท่าที่ต้องทำน่ะค่ะ ไม่ได้ขวนขวายอะไรมากมาย
แปลกใจที่อาจารย์ท่านพูดถึงเรื่องงานแปล
ท่านบอกเวลาแปลให้สร้างสำนวนของตัวเอง อย่าแปลห้วนๆ
แล้วก็ให้ระวังเรื่องปาก เป็นคนพูดตรงเกิน คิดอะไรก็พูดเลย นิสัยฝรั่ง
ใครรู้จักนราดีช่วยคอนเฟิร์มทีสิว่าอันนี้ตรงหรือเปล่า
นราตั้งใจไว้แน่นอนแล้วว่าจะไม่ถามเรื่องความรักเด็ดขาด
ไม่อยากรู้
เพราะถ้ารู้แล้วมันจะคิดมากไปเปล่าๆ
แต่อาจารย์แกแถมให้ง่ะ
พอพูดเรื่องเรียนจบแกต่อเรื่องความรักทันที จะบอกว่า ไม่เอ๊า ไม่อยากรู้ ก็ไม่ทันแล้ว
อาจารย์บอกว่า ตอนนี้ที่คบๆอยู่คือคู่กรรม
คู่บุญเราจะมาต่อเมื่อเรียนเอกจบแล้ว ดวงความรักจะพุ่งหลังเรียนจบ
ดวงเนื้อคู่ เป็นต่างชาติ แต่ไม่ได้อยู่ในที่ที่เราจะไปเรียน
อื่มมมมม
แถมบอกด้วยว่าปีหน้า เมื่อไปเรียนต่อ จะมีคนชั่วมาก เข้ามายุ่งเกี่ยว ให้ระวัง
เดินออกจากบ้านอาจารย์ด้วยอาการสั่นๆ คาดว่าเป็นเพราะบรรยากาศบวกกับความตื่นเต้นที่ได้ดูดวงอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในชีวิต
ก่อนกลับหยอดปัจจัยสมทบทอดผ้าป่ากับป๋าไปคนละร้อย
เป็นการประเดิมการต่ออายุบุญที่ดี
กลับมานั่งในรถ คิดกลับไปกลับมา
อาจารย์บอกว่า หนูไม่มีกรรมหนักมาถ่วงเลย เพราะงั้นชีวิตจะดีจะชั่ว ขึ้นอยู่กับหนูทำตัวเองทั้งนั้น
ข้อนี้ฟังแล้วสะอึก จริงๆเลย
เพราะตอนที่พลาดหวังป.เอกที่ยอร์ก นี่แหละคือสิ่งที่นราคิด
เรามีโอกาสมาเรียนแล้ว ถ้าก่อนหน้านั้นเราตั้งใจเรียนกว่านี้ ตั้งใจทำงานกว่านี้ มันคงได้คะแนนมากพอที่จะต่อเอกต่อไป
อาจารย์บอกด้วยว่า อย่าไปเรียนที่ลอนดอน จะเรียนไม่จบ แล้วตอนเรียนอย่ามีแฟน จะเรียนลำบาก เรียนไม่จบอีกเหมือนกัน
ถ้าคบไปตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่ จะเปลืองเนื้อเปลืองตัว
คิดดูดีๆแล้วอาจารย์คงบอกเราเรื่องความรักเพราะข้อนี้ละมั้ง
นึกถึงที่โน้ต อุดมเคยพูดเอาไว้ในเดี่ยวไหนสักเดี่ยว น่าจะเร็วๆนี้ เรื่องเกี่ยวกับนิสัยผู้หญิง
ชอบไปดูหมอ แล้วถ้าหมอทักว่ามึงกะกูไม่ใช่เนื้อคู่กัน มึงจะเลิกกะกูไหม
นราว่าไปดูดวงแบบนี้ นอกจากจะต้องมีวิจารณญานแล้วยังต้องมีสติพิจารณาด้วยนะ ไม่ใช่ตะบันเชื่อ
อาจารย์บอกว่าอนาคตจะดัง จะเงินเยอะ
กลับบ้านมากระหยิ่มยิ้มย่อง กูจะรวยๆๆ งานไม่ทำ วันๆชิวไปเรื่อยเพราะอาจารย์บอกแล้วว่าอนาคตเราจะรวย ไม่ต้องทำงานก็ได้ มันคงจะรวยหรอก
หรือหมอดูบอกว่าคนนี้ไม่ใช่เนื้อคู่ คบไปจะมีแต่เรื่องเดือดร้อน
กลับบ้านมาเลิกกับแฟนทันที
อันนี้บ้าไปแล้ว สติเสื่อมมาก
เรื่องความรักนราไม่ใส่ใจกับคำทำนายทายทักอะไรเท่าไหร่
โอเคเราอาจจะมีเนื้อคู่ คู่บุญอะไรจริง
แต่ชีวิตของเรา เราเลือกเอง ใช่หรือไม่
การที่เรามีเนื้อคู่รออยู่ ไม่ได้แปลว่าไอ้เนื้อคู่ที่ว่านี่มันจะเป็นคนดีเสมอไป
เป็นเนื้อคู่ มีดวงผูกพันกันมาแต่ปางก่อน แต่ชาตินี้เป็นคนขี้เกียจสันหลังยาวเกาะเมียกิน พนันเอาเหล้าแดก กับใครอีกคนที่ไม่ใช่เนื้อคู่ เป็นคู่กรรมกันมา แต่ขยันทำงาน อนาคตไกล ดูแลเราได้
ยังงี้ยังจะเอาเนื้อคู่อีกไหม?
คนไหนใช่ไม่ใช่ อยู่ที่เราเลือกเอง
คิดมากเรื่องความรักไปพักใหญ่ ตามประสาสาววัยรุ่น อิอิ
แต่พอคิดได้อย่างที่เล่าไว้ข้างบน ก็เลิกคิด
จะเกิดอะไรขึ้นก็คอยดูต่อไป คนที่ได้รู้จักได้คบมาจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครทำให้เราต้องเจ็บช้ำน้ำใจเท่าไหร่ ได้เจอแต่คนดีๆ คอยเป็นห่วงและช่วยเหลือ
ไอ้เนื้อคู่นะจะเจอเมื่อไหร่ก็เจอเถอะ ไม่ซีเรียส ตอนนี้ขอเงินมาก่อน ฮะฮะ
เรื่องสำคัญที่อยากรู้น่ะคือเรื่องเรียนต่อ
ถามอาจารย์ว่า มีโอกาสจะได้เรียนเอกต้นปีหน้าไหม ประมาณเดือนเมษา จากที่ปกติต้องรอจนเดือนตุลาถึงจะได้ต่อเอก
อาจารย์บอก หนูจะได้ เขาจะลัดคิวให้ ให้หมั่นทำบุญเสริมดวงกับเด็กๆแล้วเดือนเมษาหนูจะได้ไปนะ
อาจารย์บอกด้วยว่านิวคาสเซิลเป็นเมืองดีนะ มหาลัยดีทีเดียว
เรื่องนี้เสริมกำลังใจสมตุ้ยเป็นอย่างยิ่งฮ่ะ
จากนี้ไปเจอเด็กทีไหนจะกราดเข้าไปแจกตังค์แจกขนม
นราไม่ได้เชื่อเต็มร้อยนะ เผื่อใจไว้สำหรับความผิดหวังอย่างที่ทำเสมอแหละ แต่ลึกๆก็แอบหวังว่าอาจารย์ท่านจะพูดถูก อันนี้ก็ต้องรอติดตามผลกันต่อไป
นราวัลลภ์ รายงาน
สมหมาย ถ่ายภาพ
สุภาพ ตัดต่อ

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Because Life is Random#1

ช่วงนี้ไม่ได้อัพบล็อกเลย
งานเยอะมาก ไม่คิดว่าสอนหนังสือมันจะยุ่งอย่างนี้
ทุกวันกลับบ้านมาก็พุ่งหลาวใส่เตียงนอน หลับกู้ก้าๆน้ำท่าไม่ได้อาบเป็นประจำ (อายจัง)
ทำงานมาไม่ได้ไปเที่ยวไหน หรือทำอะไรหนุกๆเหมือนตอนอยู่อังกฤษเลย ก้มหน้าก้มตาปั๊มเงิน รอกลับไปอังกฤษลูกเดียว
คิดถึงยอร์กมาก คิดถึงอังกฤษมาก
อยากขนครอบครัวไปไว้ที่โน่นให้หมด
อยากกลับไป แล้วไม่ต้องกลับมาอีกเลย
ทนหนาวหน่อย แต่ไม่ต้องทนกับอากาศร้อนเหงื่อตกกีบ
ไม่ต้องทนกับคนไทยใจแคบบางคน
.

วันนี้มาแบบปรัชญา
เพราะอารมณ์ไม่ค่อยดี ตลกแดกไม่ไหว
แน่นอน ปรัชญายอดนิยมมันต้องเป็นเรื่องความรัก
คนเราเนี่ยนะ เวลารักใครแล้วเนี่ย มันมีสองแบบ
แบบแรกคือรักเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ รักเป็นเจ้าชีวิต
ไอ้รักน่ะมันรักแน่ แต่รักก็ต่อเมื่อคนที่เรารักเขาเป็นอย่างที่เราอยากให้เขาเป็น วันใดที่เขาเผยด้านที่เรารับไม่ได้ออกมา เราก็พร้อมจะหันความรู้สึกด้านลบใส่เขาทันที

อีกแบบคือรักเพราะรัก รักมีพื้นฐานจากความปรารถนาดี
แม้ว่าความรักฉันท์คู่รักมันจะหมดไปแล้ว แต่ความรักแบบนี้มักจะทิ้งความรักแห่งความปรารถนาดีเอาไว้ด้วยเสมอ ปรารถนาที่จะเห็นคนที่เราเคยรักมีความสุข ปรารถนาที่จะเห็นเขามีชีวิตที่ดี

น่าเสียดาย คนส่วนใหญ่ยังก้าวไม่พ้นรักแบบแรก
เมื่อถึงวันแตกหักกันไป ก็เหลือแต่ความคับแค้น
ถึงเวลาที่ตัวละครเอกนามว่าอัตตา หรือชื่อภาษาอังกฤษว่าคุณ Ego จะออกมาแสดงบทบาท
ใครอัตตาน้อยหน่อย ก็ไม่คิดอะไรมาก จบก็จบ
ใครอัตตาสูงหน่อย จะเกิดอาการทุรนทุราย ทนไม่ไหว ต้องการการแก้แค้นเอาคืนอย่างมาก เพราะถือว่าอัตตากูโดนเหยียบย่ำ
เกิดเป็นการถากถาง เสียดสี อะไรร้ายๆที่เมื่อก่อนไม่เคยพูด วันนี้ไม่เคยกลัวที่จะปล่อยมันหลุดจากปาก

คนเคยรักแบบแรก คอยเฝ้าดูแต่ความฉิบหาย ความหายนะ ความลำบากของอีกฝ่าย รอหัวเราะเยาะและเหยียบย่ำด้วยความสะใจ
คนเคยรักแบบสอง อยากรู้ข่าวคราวความเป็นไป นึกถึงด้วยความปรารถนาดีเสมอ คอยติดตามข่าวดีของอีกฝ่ายเพื่อจะได้ดีใจอยู่เงียบๆ

น่าเสียดาย
อยากเป็นเพื่อนกันต่อไป
แต่มุมมองมันต่างกันเสียแล้ว
ก็ขอเป็นคนเคยรักแบบใหม่ แบบที่สามจะดีกว่าไหม
ทีวีไดเร็กขอเสนอ
คนเคยรักแบบที่สาม
"เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอ"
อะไรดี อะไรไม่ดี คราวนี้ตัดทิ้งออกไปจากชีวิตให้หมด ไม่ต้องเก็บเผื่อเลือก
วิน-วิน กันทั้งคู่
ถ้าไม่อยากเจอกันอีกแล้วชาตินี้ ก็ไม่ต้องเจอ ต่างคนต่างอยู่
ส่วนฝ่ายที่ยังทำใจลำบากที่ชาตินี้จะไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อน ก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาคร่ำครวญหวนไห้ถึงความหลัง
ถือเป็นการให้เกียรติฝ่ายที่ไม่อยากเจอด้วยนะเนี่ย
เดี๋ยวจะหาว่ามีสิทธิ์อะไรมาเอาเขาไปคิดถึง
คิดถึงวันนี้เป็นวันสุดท้าย
ร้องไห้วันนี้เป็นวันสุดท้าย
แล้ววันต่อไป คนคนนี้ก็คือคนแปลกหน้าสำหรับเรา
วันต่อไปก็จะมีคนรู้จักลดลงไปอีกหนึ่งคน

เอาวะ
อย่างน้อย
ฝ่ายรีไซเคิลขยะของยอร์กก็คงดีใจ
ที่ได้กระดาษการ์ดดีๆจากเมืองไทยไปหมุนเวียนใช้
ถือว่าทำบุญ ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องโดนทิ้งหรือทิ้งใครไง

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Live in Bangkok

หายไปสามชาติกว่า ในที่สุดวันนี้ก็ได้ฤกษ์อัพบล็อกซะที หลังจากทิ้งร้างมานาน ตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษก็ไม่ได้อัพเดทอะไรเลย
ไม่อยากจะบอกว่ากระเป๋าเดินทางและเสื้อผ้าก็ยังกองอยู่ที่เดิม จบโท แต่สันดานเก่าไม่เคยเปลี่ยนแปลง กลับมาถึงก็แผละของไว้ เสื้อผ้าไม่มีจะใส่ทีก็ไปคุ้ยๆเอาในกระเป๋า แม่ก็บ่นจนเลิกบ่น เพราะคิดว่าบ่นไปก็ไร้ผล อีนี่มันชุ่ยจนเข้ากระแสเลือดไปแล้ว
.
ไปทำงานที่มหาลัยมาได้สัปดาห์นึงแล้วค่ะ
ตอนนี้ยังไม่ต้องสอน เพราะมหาลัยเปิดเทอมเดือนหน้า ช่วงนี้ก็อ่านหนังสือ อบรม และเตรียมการสอนไปก่อน ใจเต้นตุ่มๆต่ำๆเหมือนกันนะ ไม่รู้จะสอนยังไง กลัวเด็กไม่ฟัง กลัวตัวเองจะสติหลุดเวลาเจอเด็กกวนประสาทแล้วแจกส้นตึกให้มันไปเจี๊ยะ
มีอาจารย์รุ่นหนุ่มๆสาวๆ (เหมือนเรา อิอิ) เพิ่งมาเข้าทำงานใหม่เยอะเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะอยู่ภาควิชาการโรงแรม ภาษาอังกฤษมีอยู่ไม่กี่คน
ก็ทำงานด้วยกันสนุกสนานดีค่ะ กลางวันก็ไปกินข้าวอะไรด้วยกันบ้าง ทำเอาสมตุ้ยดีใจน้ำตาจะไหล นึกว่าตัวเองไม่มีใครเอามานานแล้ว
.
ก่อนกลับมานิดหน่อย อาจารย์หัวหน้าภาคเมล์มาถามว่า อยากจะสอนอะไร สอนกี่เซ็กชั่น เอา 7 ไปเลยมั้ย
นราปฏิเสธแทบไม่ทัน บอกว่าน้องพลับขอ 5 ก่อนนะ นะๆ
เมล์ตอบแกไปแล้ว ไฟโลภะบังเกิด คำนวนเงินเดือนบวกเงินสอนพิเศษแล้วพบว่ายังไม่พ้นวิกฤติการณ์แดกแกลบ เลยแรดไปถามอาจารย์อีกทีว่ายังมีคลาสเหลือๆให้หนูสอนอีกสักคลาสไหม
อาจารย์ที่คงเหม็นเบื่ออีเด็กโลเลนี่เต็มทนเลยบอกว่า เอองั้นเอา Critical Reading ไปแทน Advanced Reading แล้วกัน แล้วสอนเพิ่มอีก 1 เซ็กชั่น เป็น 6 แหม่เลขสวยเชียว
แต่ตอนไปถาม เสือกลืมไปว่า ตัวเองตกลงกับอาจารย์อีกท่านไว้ว่าจะช่วยสอนคลาสเสริม TOEIC วันเสาร์เทอมที่จะถึงนี้ด้วย
สรุป สิริรวมทั้งสิ้น 7 เซ็กชั่นเหมือนเดิม ทำงานจันทร์ถึงเสาร์
สมน้ำหน้า โลภนัก
สรุปว่านังสมตุ้ยเจอ Listening and Speaking II, Critical Reading, แล้วก็ TOEIC
และในฐานะที่ทำงานวิชาการ มหาลัยของเราซึ่งกำลังจะพัฒนาไปเป็น Research University ก็มุ่งเป้าว่าอาจารย์ของมหาลัยจะต้องมีผลงานทางวิชาการทุกคน
ครับ นอกจากงานสอนที่กล่าวไปเบื้องต้น
กระพ้มยังต้องเขียนบทความวิชาการ 2 เรื่อง และบทความวิจัยอีกเรื่อง และทั้งหมดต้องได้รับการตีพิมพ์
(ส่งเรื่องตลกไปขายหัวเราะเขายังไม่รับลงให้เลย แล้วนี่จะให้เอาลงวารสารวิชาการระดับชาติ...)
.
แต่จะว่าไปแล้วนราก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์อะไรที่ต้องทำงานหนัก
เพราะอยากพิสูจน์ให้มหาลัยว่าเราเองก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ได้ เรื่องของเรื่องคืออยากกลับไปต่อป.เอกที่อังกฤษค่ะ แล้วอาจารย์ผู้บริหารเคยบอกไว้ว่า ขึ้นอยู่กับผลงานและความมุ่งมั่นในการทำงาน
งานนี้นังสมตุ้ยสู้ตาย ตายไม่กลัว กลัวอย่างเดียวจะเป็นปิดทองหลังพระ
เชื่อไหม หลังเลิกงานไปนั่งอ่านหนังสือ ทำงานในหอสมุดจนสามทุ่มเพื่อเขียน Research Proposal เพื่อสมัครป.เอก นั่งจนหอสมุดปิด
ตัวเองยังงงตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไปได้ไง สารภาพตรงๆ ตั้งแต่เรียนมาจนจบป.โท ไม่เคยตั้งใจอ่านหนังสือ ค้นคว้าอะไรเยอะขนาดนี้เลย ตอนทำวิทยานิพนธ์ก็อ่านเยอะอยู่ แต่หนักสแกนเอาเป็นส่วนใหญ่ คะแนนออกมามันถึงได้งอกง่อยไง
คราวนี้กะเหมาเอ็มร้อยมาสักสามลัง แล้วนั่งอ่านหนังสือยันเช้าไปเลย
.
ตอนนี้ยังอยู่ที่วิทยาเขตกล้วยน้ำไท
แต่เปิดเทอมแล้วจะไปรังสิตเสียสี่วัน เข้ากล้วยแค่อังคารและเสาร์
แค่ให้ตื่นเช้าไปทำงานให้ทัน 8.45 ยังลำบาก ไม่อยากนึกถึงเลยจริงๆว่าถ้าต้องไปจับรถบัสให้ทันตอน 7.20 มันจะเป็นไงน้า
นราว่าไม่ต้องนอนเลยท่าจะคุ้มกว่า
เออดี เอาไว้ไปขู่นศ.ที่ชอบคุยในห้องหรือก้มหน้าก้มตาจิ้มบีบี ว่าเมิงคุย เมิงเล่นเมื่อไหร่กรูหลับแน่ เรียนกันไปเองก็แล้วกัน
win-win ไหมละ เราก็ได้นอน เด็กก็ได้เล่นบีบี ได้คุยกันสมใจ
.
กลับมายังไม่ได้เจอเพื่อนๆเลย
เขานัดเลี้ยงรุ่นสมัยม.สามกันก็เสือกเจ็ทแล็ก เหนื่อยหนักจนลุกไม่ไหว
พลาดไปแล้วๆ
แต่วันเสาร์ที่จะถึงนี้ คณะมนุษยศาสตร์มีงานเลี้ยงครบรอบ 30 ปี
กะว่าจะเอาให้กลิ้ง เหะๆ เหะๆ
ใครเป็นศิษย์เก่าม.กท.ก็อย่าลืมไปซื้อบัตรซะนะ มากันเยอะๆ

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

Goodbye My Room

ประมาณเดือนตุลาของปีที่แล้ว
นรามาถึงอังกฤษพร้อมกระเป๋าหนึ่งใบใหญ่ กับเป้ไนกี้ (ที่ที่นี่เรียกไนค์) ที่แม่ซื้อให้ตอนวันเกิดหนึ่งใบ
ตอนมาถึงในห้องโล่งๆไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้กระทั่งผ้าคลุมเตียงหรือหมอนมุ้งอะไรทั้งสิ้น
วันนี้ หลังจากเกือบหนึ่งปีผ่านไป
นราได้ซ่องสุมสมบัติบ้าไว้เป็นกุรุส
และต้องมาปวดขมองพยายามยัดมันทั้งหมดลงไปในกระเป๋าเดินทางใบเดิม

พรมซกมกมาก คือนราไม่ได้ขี้เกียจ แต่อยากทิ้งอะไรไว้ให้แม่บ้านทำบ้าง เลยไม่ได้ดูดฝุ่นก่อนไป
เห็นห้องเล็กๆอย่างนี้เก็บสองสามวันเห็นจะได้
อย่างที่บอกว่าข้าวของนั้นเหมือนเห็ดรา งอกรวดงอกเร็ว เก็บเท่าไหร่ก็ไม่หมด กว่าจะเก็บให้ดูโล่งขึ้นมาอย่างนี้ก็สติแทบเสีย หมุนไปหมุนมาในห้องเหมือนอีบ้า
ยังดีว่าตอนห้าโมง แซมที่เคยตรวจวิทยานิพนธ์ให้และตอนนี้กลายเป็นแฟนแย้ว มาช่วยเก็บข้าวเก็บของ ช่วยแบกช่วยลากมันลงไปข้างล่าง รอแท็กซี่มารับ

ชีวิตกว่าหนึ่งปี หดเหลือแค่นี้
ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่หนึ่งใบ
กระเป๋าขึ้นเครื่องหนึ่งใบ
และเป้ไนกี้หนึ่งใบ
เงยหน้ามองหน้าต่างห้องแล้วใจหายนิดๆ
นึกถึงวันแรกที่เรามาถึง แล้วคิดว่ากรูจะแบกกระเป๋าหนักยี่สิบเจ็ดโลขึ้นไปถึงชั้นสามได้ยังไงวะ
มาวันนี้ต้องย้ายข้าวย้ายของ โบกมือลาห้องน้อยๆแต่ราคาไม่น้อยที่อยู่มาตั้งนานซะแล้ว
เศร้า

มาถึงบ้านแซม ขนกระเป๋าไปวางเรียบร้อย
นึกขึ้นได้ว่าลืมเก็บของในครัว เซ็งค่อด
ถั่วแช่แข็งทั้งถุง น้ำมันพืช เครื่องปรุง น้ำสลัด เต็มตู้เลย
ไม่รู้จะทำไง เพราะเข้าหอไม่ได้แล้วเนื่องจากฝากกุญแจเพื่อนไปคืนเรียบร้อย ก็เลยส่งแมสเสจไปทางเฟซบุก บอกเพื่อนคนบัลกาเรียว่าช่วยกินของในตู้ให้หน่อย มีไข่ด้วย ถ้าไม่กินมันจะเน่าเสียเปล่าๆ

วันพรุ่งนี้เช้า นรากะแซมจะไปลอนดอนกัน
เพราะแซมมีประชุมวิชาการที่ลอนดอนสกูลออฟอีโคโนมิกส์ นราก็คงไปแรดรอแถวๆนั้น
ดีเหมือนกันจะได้เจอเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยที่ไปทำงานกับเรียนที่นั่นด้วย
จากลอนดอนเสร็จก็จะไปกลอสเตอร์ บ้านเกิดแซม
ยังไม่เคยไปเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นยังไง

ปีใหม่ต้นปีที่ผ่านมา นราก็ไปลอนดอนมาแล้ว ฉายเดี่ยว
ไปสวนพฤกษศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ สวนคิว
เสือกไปหน้าหนาว ไปก็เห็นแต่หิมะ แม่งไม่เห็นต้นห่าอะไรเลย
คราวนี้ว่าจะไปอีก ถึงจะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วก็เหอะมันต้องมีอะไรให้เราเห็นมากกว่าตอนหน้าหนาวแน่

จะกลับแล้วต้องเที่ยวให้มัน
ใจมุ่งมั่น แต่ตังไม่มี
เพราะงั้น แม่ค้าบ...

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

Newgate Market

ไร้สาระมาหลายเอนทรี่มาก ขออภัย
พอดีสติสตังไม่ค่อยสมประกอบช่วงนี้
วันก่อนเพิ่งไปส่งวิทยานิพนธ์มาค่ะ โล่งหายใจสะดวกเหมือนกลืนวิกส์วาโปรัปเข้าไปทั้งขวด
เพราะว่าพี่คอมเขาเจ๊ง วันนั้นนราเลยต้องแหกขี้ตาไปห้องคอมที่ตึกแลงก์วิธ แก้งานจนเสร็จ เซฟเป็นไฟล์พีดีเอฟ เดินกลับมาพรินท์ที่ห้อง พรินท์เสร็จเอาไปเข้าเล่มที่ร้านของมหาลัย (บริการรวดเร็วประทับใจมากขอบอก ไม่ถึงสามนาทีอ่ะค่ะ ไม่เกินห้าสิบหน้าคิดราคาสามปอนด์) เสร็จแล้วเดินกลับไปตึกแลงก์วิธเพื่อส่งงานอีกที
และแล้วสงครามสิบเอ็ดเดือนของนราก็จบลงค่ะ
จะว่าไปมันก็โล่งๆยังไงไม่รู้นะ ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว
นั่งในห้องก็นั่งเฉยๆ เบื่ออ่ะ ไม่รู้จะทำไรดี

แน่นอนว่าพอเสร็จงานก็ต้องเตรียมตัวกลับบ้าน
นรานะเซ็งกะการเก็บของมาก
ของในห้องนี่เหมือนเห็ดรา เก็บตรงนั้นเสร็จไหงตรงนี้มันงอกออกมาใหม่อีกแล้ว ไม่เข้าใจ
ขยะงี้บาน
กล่องเปล่าที่สะสมไว้ พอเราแกะมันกางออกมาเพื่อที่จะเอาไปทิ้งขยะรีไซเคิล หนาตั้บแบกแทบไม่ไหว
เดินไปก็ปล่อยเศษกระดาษแข็งร่วงกราวเป็นทาง
ช่วงนี้ก็พยายามไปเที่ยวเมืองอื่นๆ ก่อนกลับ
เดี๋ยวอีกไม่นานจะไปเที่ยวกลอสเตอร์ไชร์ด้วย
แต่ก่อนหน้านั้นต้องตระเวนซื้อของที่ระลึกไปฝากญาติโยมทางเมืองไทยก่อนค่ะ
วันนี้ก็เลยเข้าเมืองคนเดียว ไปเดินเล่นด้วย ซื้อของด้วย
สำหรับผู้ที่กำลังจะมายอร์กนะคะ
มานิวเกท มาร์เก็ทด้วย ไม่งั้นจะหาว่าสมตุ้ยไม่บอกไม่กล่าวแหล่งของดีไม่ได้นะเอ๊อะ

นิวเกท มาร์เก็ท อยู่ตรงที่ถนนมาร์เก็ทสตรีทตัดกับพาร์เลียเมนท์สตรีทค่ะ
จุดสังเกตคือน้ำพุตรงกลางจตุรัส ใครๆก็รู้จัก
ตรงนี้วันดีคืนดีก็จะเป็นที่จัดงานเทศกาลต่างๆ
อย่างตอนนี้ก็มีเทศกาลอาหารอยู่ น่ากินมากแต่ไม่มีตัง
บางทีก็มีคนมาจัดการแสดงเปิดหมวกอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อยไปจนถึงคุณตาผมไม่มี
ตลาดนิวเกทที่ว่านี้ ก๊อเป็นตลาดอ่ะนะ
ขายผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ เสื้อผ้า
อารมณ์ประมาณตลาดอ่อนนุชบ้านเรามั้ง แต่พวกอาหารของสดนี่เหมือนเจ้าของเขามาเอง
แผงขายผัก อาจจะแพงกว่าในซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างมอร์ริสันหรือเซนส์บิวรี่นิดหน่อย แต่คุณภาพต่างกันเยอะอย่างเห็นได้ชัด
(ไม่ทุกอย่างหรอกแต่ส่วนใหญ่ เดี๋ยวจะหาว่าโฆษณาเกินจริง)
มะเขือเทศลูกกลม โต เกลี้ยงเกลา แดงฉ่ำ
ขนาดนราไม่ชอบมะเขือเทศยังรู้สึกว่ามันน่ากินจังเลยอ่ะ
ผักมีมาตามฤดูกาล อย่างหน่อไม้ฝรั่งถ้าไปตอนเดือนพ.ค.จะเยอะมาก อวบอิ่ม น่ากินสุดๆ ถ้าไปซื้อตอนนี้จะได้หน่อไม้ฝรั่งที่เหมือนขุดขึ้นมาจากซากอารยธรรมเมโสโปเตเมีย

ตรงกลางตลาดปกติจะขายพวกถุงเท้า เสื้อไหมพรม อุปกรณ์ของใช้ในบ้าน แต่วันนี้ทำไมเป็นร้านดอกไม้ไม่ทราบ ดอกไม้ที่นี่ที่ราคาถูกจะเป็นพวกคริแซนธิมัม นาร์ซิสซัส แดฟโฟดิล ช่วงนี้ดอกดาห์เลียออกเยอะก็ราคาถูก กำละปอนด์เดียว เวลาซื้อคนขายจะเอาดอกไม้ไปห่อกระดาษให้ แล้วแถมอาหารดอกไม้เหลวๆให้มาด้วย

แผงตรงนี้ขายหัวดอกไม้บานเบอะค่ะ
อยากซื้อกลับบ้านแต่คงไม่ผ่าน ตม.

ตรงนี้ใครชอบหนังสือ ห้ามพลาด อย่าพลาด อย่าบังอาจพลาด
เป็นมุมขายหนังสือมือสอง ดูเหมือนไม่ตั้งใจขายเพราะเอาลังกระดาษมากองๆตั้งๆแล้วก็อยู่ยังเงี้ยทั้งวัน
แต่ๆๆๆ อย่าให้รูปลักษณ์ภายนอกมาหลอกท่านได้
หนังสือทุกเล่มในร้านนี้สองปอนด์เท่ากันหมด
ค้นดีๆท่านอาจเจอหนังสือที่ท่านตามหามาแสนนานในราคาถูกบัดซบก็ได้

The Historians เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ เล่มหนาเตอะ
ที่ไทยขายไม่ต่ำกว่าเล่มละสามสี่ร้อย
ที่นี่ สองปอนด์ = ร้อยบาท
ถึงเป็นมือสองแต่สภาพดีมาก สันไม่งอด้วย
หนังสือดีๆอย่างของ John Grisham, Stephen King, Tom Clancy มีให้เลือกมากมาย
พวกหนังสือชิคลิท แบบสาวนักช้อปตะลุยโน่นตะลุยนี่ก็มี
วันนี้นราน้ำตาแทบร่วง
เจอ Encore Provence ของ Peter Mayle ที่เขียน A Year in Provence กับ Toujours Provence ฉบับภาษาไทยจัดพิมพ์โดยมติชน
เล่มนี้เหมือนจะยังไม่ออกมาเป็นภาษาไทย คิดว่าน่าจะออกมาให้ชื่นใจในงานหนังสือเร็วๆนี้
คว้าแบบไม่คิดเลย
จริงๆมีหนังสือเล่มอื่นที่อยากได้ อย่าง Under the Tuscan Sun ของ Frances Meyes แปลไทยโดยมติชนเหมือนกัน อยากได้มากกก แล้วยังมีหนังสือทำนองนี้อีกเป็นตั้ง ไม่ติดว่ากระเป๋าเดินทางจะระเบิดแล้วจะซื้อมาให้หมดเลยจริงๆ

หนังสือบางเล่มอาจจะซีดไปสักหน่อย เพราะตั้งไว้ให้แดดเลียหลายวันหลายคืน
แต่หนังสือดีก็คือหนังสือดี
ถึงพิมพ์ลงบนกระดาษทิชชู่ก็ยังเป็นหนังสือดี
ไม่เหมือนพวกหนังสือ "สักแต่เขียน" ที่ทะลักทะล้นเต็มร้านหนังสือเดี๋ยวนี้
ไอ้ประเภท "วิธีหาผัวฝรั่ง" "คำสารภาพของสาวนักอึ๊บ" "คัมภีร์สยบผู้ชายแทบเท้า" "ดิฉันเป็นฮิสทีเรีย" "สาวไส้ไซด์ไลน์" "เมื่ออกหักรักคุดตุ๊ดเมิน" และเก้าโลเก้าลากยาวไปถึงอาบูดาบี
อีแบบนั้นพิมพ์ลงบนกระดาษอาร์ทอย่างดีสี่สีประดับเกล็ดคริสตัลชวารอฟสกี้ยังไม่อยากจะอ่านเลย

การไปเดินตลาดนี่
นอกจากจะได้ของที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นผักสดจากไร่ ปลาสด หรือหนังสือดีๆ
เรายังได้เรียนรู้ความเป็นอังกฤษไปด้วยนะ
ป้าร้านขายผักร้านนึง ร้านที่อยู่หน้าร้านปลา เค้าจะมีสำเนียงการเรียกลูกค้าที่ประหลาดมาก
ไม่รู้จะอธิบายยังไง ลอกเสียงเขามาสะกดให้ฟังเลยละกัน ลองออกเสียงตามแบบลากยาวๆยานๆหน่อยนะจะได้อารมณ์มาก
"สตร๊อบะหรีจุสท์วั้นพ่าวน์อี๋ช คว้อลิฝล่าวเหวอร์ฟิ้ฟติเผนซ์ พี้ชแอนด์เน็กทะหรีนเธ้ออิฟ้ายฟ์เพนซ์อี๋ช" (Strawberries just one pound each, cauliflower fifty pence, peach and nectarine thirty-five pence each)
ใครมาลองแวะไปฟังดูได้
Yorkshire English แต๊ๆเจ้า
ปล.ช่วงนี้พีชน่ากินมาก ลูกใหญ่ สด หอม ถ้าแผงตั้งตรงที่แดดส่องนะเวลาเดินผ่านได้กลิ่นลูกพีชหอมฟุ้งไปทั่วเลยค่ะ

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

Goals to Achieve

ห่อหมก
หมกไข่ปลา
ทอดมันกุ้ง
ยำไข่แมงดา
ยำทะเล
ตับหวาน
ข้าวซอย
แกงส้ม
อาหารญี่ปุ่น
ตับไก่ปิ้ง ข้าวเหนียว
ไก่ทอด ข้าวเหนียว และต้องมาจากหน้าโลตัสอ่อนนุชเท่านั้น
ต้มยำ
ถั่วเขียวต้มน้ำตาล
ปลาหมึกชุบแป้งทอด
ต้มซี่โครงหมูถั่วลิสง
ผัดยอดมะระหวาน
แกงมัสมั่น
ราดหน้าเส้นหมี่แม่ทำ
ยำปลากระป๋อง
กุ้งนึ่งนมสด
ยำถั่วพู
ผัดไทยใส่ถั่วงอกกับมะนาวเยอะๆ
แกงหน่อไม้กระดูกหมู
ถั่วงอกผัดเต้าหู้เหลือง
แกงจืดใบตำลึง
เนื้อสเต็กชิ้นหญ่ายๆ
ส้มตำไทยใส่พริกเม็ดเดียวออกเปรี้ยวนำ
ซุบหน่อไม้
ไก่เคเอฟซีหนึ่งบัคเก็ตใหญ่ๆ ไก่อังกฤษทั้งแห้งทั้งเค็มไม่ได้เรื่อง
เย็นตาโฟเส้นใหญ่
เป็ดเอ็มเคย์ย์ย์ย์
ต้มข่าไก่ยอดมะพร้าว
ไอ้นั่นน่ะ แกงเหลืองๆที่มันใส่เลือดหมูก้อนกับหน่อไม้เส้นๆอ่ะ
ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์
โคร็อกเกะเอมทำ ขอชิ้นใหญ่ๆ ใหญ่เท่าที่จะใหญ่ได้ ไส้หมูสับกับชีสกับหอมใหญ่
คอหมูย่าง
พล่าทะเล
ตอนนี้นึกออกแค่นี้
ใครยังอยู่ไทยแล้วจะเจอนรา จะได้ไม่ต้องคิดมากว่าอยากจะพาไปเลี้ยงอะไร
จะแดรกแม่งให้หมดกรุงเทพเลยคอยดู

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

If There's an Award for the Best Trouble Magnet, I'll Sure Win It

เอาสั้นๆ
มาย้ำเตือนความจริงจังของการเป็นนักดึงดูดความซวยระดับชาติของนังสมตุ้ย
เริ่มตั้งแต่ไปติดที่สนามบินหกวัน
นั่งรถบัสกลับมาอังกฤษ ซัดไป 24 ชม.
ป.เอกโดนรีเจ็ก
วีซ่าจะหมดแค่สิ้นเดือนนี้
ม.ที่ให้ทุนไม่ให้เรียนเสริมรอสมัครเอกใหม่ ให้กลับบ้านทันที
ตกจักรยาน
ผึ้งบุกห้อง
คอมเจ๊งสองสัปดาห์ก่อนส่งวิทยานิพนธ์
วันก่อนไปข้างนอกกับเพื่อน เสือกใส่ส้นสูงเดินทั่วเมือง
นิ้วแหกไปสี่นิ้ว กระเผลกเป็นหมาโดนตำแย
จะพรินท์วิทยานิพนธ์ หมึกดำก็เสือกหมด
ไปดูเว็บไซต์อาร์กอสที่ขายราคาถูก
ปรากฏว่ามีขายทุกรุ่น ยกเว้นรุ่นที่เราจะใช้
ต้องซื้อแพงขึ้นสามปอนด์
ชะรอยว่าฟ้าคงไม่หนำใจ
วันนี้จึงดลบันดาลให้นังสมตุ้ยอาหารเป็นพิษเพิ่มอีกอย่างนึง
.
ขอบคุณมากเลย
ซวยจนไม่รู้จะบ่นอะไรแล้ว
ใครมาอ่านก็บ่นแทนหน่อยแล้วกัน ไม่มีแรง
อ้วกจนจะตายคาอ่างล้างหน้าแล้ว
ข้างบนก็โอ้กอ้าก ข้างล่างก็ปู้ดป้าด
พรุ่งนี้จะส่งวิทยานิพนธ์แล้วด้วย

แข่งเรือแข่งรถแข่งได้
แข่งความซวยนี่ มีใครจะมาแข่งกะสมตุ้ยไหมคะ

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

I Hate Technogy

ถ้านราเคยสงสัยสิ่งที่โมมดจิพูด
ว่าตัวเองนั้นหรือคือ Trouble Magnet
อารมณ์แบบว่า เฮ้ย จริงเร้อ ไม่จริงมั้ง
วันนี้ค่ะ เชื่อแล้ว
ขอคารวะแม่หมอโมมดจิจากใจจริง
คอมเจ๊งค่ะ
.
แอร๊ยยยยยยยยย
อยากจะตะโกนกู่ร้องให้ก้องฟ้าเป็นอักษรลิ่มคูนิฟอร์ม
ร้อยวันพันปี กรูอยู่ว่างๆไม่เคยเจ๊ง
มันต้องมาเสียเอาช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม ช่วงเฉียดเป็นเฉียดตาย ช่วงโค้งสุดท้าย ช่วงลูกผีลูกคน
ไอ้เทคโนโลยีนี่ เชื่อไม่ได้ยิ่งกว่าสัตว์หน้าขนอีก
ยังดีว่าก่อนหน้านี้ เหมือนจะรู้ เพราะแบ็กอัพข้อมูลใส่แฮนดี้ไดรฟ์กับเมล์หาตัวเองไว้ก่อนแล้ว
ก็เลยยังไม่สติแตก แต่ทำงานไม่ได้ ต้องเดินไปใช้คอมที่ตึกเรียน ห่างออกไปสิบห้านาที
.
อาการคอมทรยศ
วันแรกเปิดเครื่อง มันบอกว่า จะ activate windows ตอนนี้เลยมั้ย
งง เกิดมาไม่เคยโดนถามแบบนี้ พอลองกดตกลง มันบอก เข้าวินโด้ไม่ได้ เพราะหมายเลขผลิตภัณฑ์ของคุณไม่ถูกต้อง และวินโด้ของคุณไม่ใช่ของแท้
ฟายยย ของไม่แท้บ้านพ่อง
เห็นอยู่กะตาตอนคนขายลงโปรแกรมให้ ถอดจากกล่องมา มีสติกเกอร์ของแท้แปะมาด้วย ไม่แท้ห่านไร
พอกด activate later มันก็ล็อกออฟ เป็นหน้าจอฟ้าๆ
แน่นิ่งไป กดล็อกอินใหม่มันก็วนไปหน้าจอเดิม
วนลูปอยู่อย่างนี้ ยังไงก็เข้าวินโด้ไม่ได้
.
วันที่สอง ดีขึ้นหน่อย
กดเปิดเครื่องแล้วไปอึ
กลับออกมาก็เห็นว่ามันเข้าหน้าเดสก์ท็อปได้แล้ว
แต่วอลเปเปอร์หายไป กลายเป็นหน้าจอดำมืดเหมือนมิติที่สี่
โปรแกรมบางอย่างหายไป เหมือนว่าวินโด้เรามันเป็นแบบไม่สมบูรณ์
แต่ยังดีว่าเข้าเน็ทได้ (หลังจากพยายามนานมาก) ทำงานอะไรก็ยังได้ดีอยู่
.
นราพลาดด้วยการปิดคอม
คือเป็นคนดีค่ะ ไม่อยากเปิดคอมทิ้งไว้นานๆ สงสารกลัวพี่เค้าเหนื่อย
ไม่คิดเลยว่าพี่เค้าจะทรยศด้วยการกามิกาเซ่เอาดื้อๆ
วันนี้ลองเปิดคอม เจอหน้าจอเดิม เข้าเดสก์ท็อปได้เหมือนเดิม
แต่ต่อเน็ทยังไงก็ไม่ติด
เปิดๆปิดๆอยู่สามสี่ครั้ง
พอมัดมือชกบังคับให้พี่เค้าปิดเครื่องครั้งสุดท้าย
พี่เค้าก็สิ้นลมหายใจไปเลย
คราวนี้เข้าอะไรก็ไม่ได้ กลายเป็นหน้าจอสีดำมืดมนอนธการ
ฮือ
.
นราโทรหาแอนดรูว์ แอนดรูว์บอกจะมาดูให้ตอนบ่ายสาม
นราเลยไปใช้คอมที่ห้องคอมจนถึงบ่ายสองกว่าๆ
คีย์บอร์ดอังกฤษมันต่างจากของไทยเรานิดหน่อย
พิมพ์ไม่คุ้นมือ พิมพ์ผิดบ่อย
หงุดหงิดอิ๊บอ๋าย
เมนก็จะมา อารมณ์แปรปรวน
ม่าง ชีวิตมีสีสันจริงๆให้ตาย
.
แอนดรูว์บอกว่าเขาแก้ไม่ได้ เพราะไฟล์มันเจ๊งไปแล้ว
เข้าวินโด้ไม่ได้ กดอะไรก็ไม่ได้เลย
เขาเลยลง OS อื่นให้แทน ชื่อ Obuntu
เป็นโปรแกรมที่พัฒนามาจากลีนุกซ์ ชื่อเรียกยากนราเลยตั้งชื่อให้ใหม่ว่าบันดี้
หน้าตาแปลกๆ ปุ่มแปลกๆ ใช้ยาก
แต่บ่นไม่ได้
มีคอมทำงานได้ก็บุญแล้ว
.
กำลังคิดว่าต้องไปแมนเชสเตอร์ทำบุญที่วัดไทยมั่งแล้ว
เป็นมนุษย์กรรมหนาจริงๆ
เดือนสิงหาทั้งเดือนมีแต่เรื่องไม่หยุดไม่หย่อน
นี่ถ้าสัปดาห์หน้ามีอะไรซวยๆเกิดขึ้นอีกจะไม่สงสัยเลย
.
ตอนนี้วิทยานิพนธ์ก็ใกล้เสร็จละ
แต่ก็เป็นแค่ฉบับร่างอันแรก แน่นอนว่าพอให้อ.ที่ปรึกษาอ่านแล้วต้องมีแก้อีกบาน
เหนื่อยจังเลย ช่วงนี้ตื่นมาแล้วเนื้อตัวมันจะเหลวๆเหมือนไม่มีแรงไงไม่รู้ ปวดเมื่อยไปหมด
หรือเป็นเพราะน้ำหนักขึ้นหว่า
ค่ะ ขึ้นมาห้าโล โอ้มายโก๊ช
อ้วนตั้บเหมือนไหกระเทียมต่อขาไม่มีผิดเลย
ปัญหาเรื่องวีซ่ายังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
หงุดหงิดเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะทำไง ได้แต่รอ
เป็นกำลังใจให้สมตุ้ยด้วยนะคะ

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Bee Attack

ขณะนี้เวลาตีห้าครึ่ง
ชาวบ้านชาวช่องเขายังนอนหลับกันอิ่มสิ่ม
แต่อีนี่ตื่นมาทำไม? เรามาค้นหาความจริงกัน
.
เรื่องของเรื่องคือ เมื่อคืนฝนตก
แล้วนราก็เปิดหน้าต่างทิ้งไว้ทั้งคืน ลืมปิดด้วยแหละ อีกอย่างฝนตกแล้วอากาศมันเย็นสบายดี เมื่อวานตอนกลางวันอากาศค่อนข้างนิ่ง เลยร้อนๆ อบๆ ก็เปิดหน้าต่างไว้ตั้งแต่บ่ายๆ
ตื่นมาตอนตีห้าด้วยเสียงบี่ซซซ บี่ซซซ ป่อกแป่กๆๆ
เสียงไรฟะ
ก็กลิ้งตัวขึ้นมาดู หาต้นตอของเสียงว่ามันมาจากไหน มันคืออะไร
มองไปที่ห้องน้ำ
เจอไอ้เสื้อลายเหลืองดำ เกาะนิ่งๆอยู่ตรงประตูห้องน้ำสองตัว
อืม สองตัวเอง ไม่เป็นไรเดี๋ยวหาแก้วครอบแล้วเอาไปปล่อย
เหลียวมองหาแก้ว สายตาบังเอิญเหลือบขึ้นไปมองไฟติดผนัง
ฉิบหาย
มากันทั้งรัง
เมิงไม่มีอะไรทำกันแล้วหรอ ไปปาร์ตี้ที่อื่นเด้
.
ผึ้งเยอะมาก ประมาณสิบกว่าตัวได้
เกาะโคมไฟบนเพดานบ้าง บินชนอย่างไม่หยุดหย่อนบ้าง เป็นต้นเหตุของไอ้เสียงป่อกแป่กๆที่ได้ยิน
สันนิษฐานว่ามันหนีฝนเข้ามาหลบในห้องเรา ตามทฤษฎีจากหนังเรื่อง Bee Movie ที่บอกว่าผึ้งบินฝ่าฝนไม่ได้
ตอนนี้ใช้ชีวิตแบบน่าสมเพชเวทนา อยู่ในห้องตัวเองแท้ๆต้องใส่รองเท้าเดิน กลัวไปเหยียบไอ้ที่มันตายแล้วหล่นลงพรม
ใครไม่เคยโดนผึ้งต่อยตรงส้นเท้า ไม่เข้าใจความทรมานหรอก
นราเคยเดินไปเหยียบซากผึ้งตอนสมัยยังอยู่บ้านที่สมุทรปราการเข้า โอ้โหพ่อคุณเอ๊ยทั้งเจ็บทั้งคัน เกาก็ไม่ได้ จั๊กกะจี๋ กว่าจะหายก็กระเผลกไปนาน
.
กลับมาที่ปฏิบัติการย้ายผึ้งออกจากห้องโดยละม่อมต่อ
นราหยิบแก้วมา กับหนังสือ APA Referencing Style เล่มบางๆหนึ่งเล่ม
เป็นการจับผึ้งที่เปี่ยมไปด้วยความรู้มาก
เล็งไอ้ตัวที่มันเกาะตามผนังนิ่งๆไว้ก่อน เพราะมันเหนื่อยแล้วมันจะไม่ค่อยขัดขืน มันจะยอมให้เราครอบแต่โดยดี
เอาแก้วครอบปุ๊บ เอาหนังสือสอดปิดปากแก้ว แล้วเอาไปเขย่านอกหน้าต่าง
กำจัดไปได้ประมาณสี่ห้าตัว
ส่วนที่เหลือ เหมือนมันรู้แกว
ม่างบินขึ้นไปสามัคคีชุมนุมกันอยู่บนโคมไฟ ซึ่งมันโค้งๆ มนๆ
เอาแก้วครอบไม่ได้ เดี๋ยวครอบแล้วมันบินหลุดออกมาต่อยเอาทำไงอะ
อีกตัวยิ่งฉลาดใหญ่
ไปเกาะอยู่บนเครื่องตรวจจับสัญญาณควันไฟไหม้
มันต้องรู้แน่ๆ ว่าเราไม่กล้าไปจับไอ้เครื่องที่ว่านี่ กลัวมันร้องแล้วต้องจ่ายเงิน
ผึ้งไอน์สไตน์ น่ากลัวมาก
.
นั่งๆพิมพ์อยู่นี่ ต้องโยกหัวหลบผึ้งเวลามันบินไปทั่ว
เมื่อกี๊ก็มีตัวนึงบินเฉียดกบาล แบบเข้ามาติดอยู่ในผมอ่ะ
ไปบินที่อื่นได้หมายยยย
เปิดหน้าต่างทิ้งไว้กะจะให้พี่ท่านจากไปโดยสันติ
ปรากฏ บินเข้ามาอีกสามสี่ตัว
ขอบคุณมากเลย
กำลังคิดอยู่ว่าจะปิดหน้าต่างแล้วรอให้มันตายไปหมดเองดีไหม จะได้เอาซากไปฝากแซมด้วย เพราะที่บ้านเขามีต้นกาบหอยแครงที่มันกินแมลงอยู่
แต่ก็ออกจะโหดร้ายเกินไป
ยิ่งตอนนี้มีแต่เรื่องซวยๆ ก็เลยอยากจะทำตัวดีๆ ทำบุญทำอะไรมั่งเผื่อจะมีโชคเข้ามาบ้าง
.
ตอนนี้ผึ้งเงียบกันไปแล้ว
คาดว่าคงจะเหนื่อยหลังบินชนไฟมาทั้งคืน
รอก่อนเหอะ เมิงแยกกันอยู่เดี่ยวๆเมื่อไหร่โดนครอบเอาไปทิ้งแน่
ตอนนี้ไม่กล้ายุ่ง กลัว
ว่าแต่เลิกบินมาโฉบตรงหน้าได้มั้ยยยย เว้ย
ขันติเริ่มจะแตกแล้ว
อยากเอาอะไรฟาด แต่เคยอ่านหนังสือเขาบอกว่า เวลาผึ้งตายมันจะส่งกลิ่นมาเรียกพวกมันไปแก้แค้นให้
กลัวมันจะแห่แหนกันมาทั้งรังเหมือนฝรั่งแห่ไปฟูลมูนปาร์ตี้ เลยได้แต่ฝากไว้ก่อน
.
จริงๆมันก็ไม่ได้ทำร้ายเรา
แค่ทำให้เสียวเล่นๆ โฉบไปโฉบมา
ก็นะ เขาก็มาอาศัยหลบฝน
แต่เช้าแล้วช่วยกลับรังเถอะขอร้อง
กลัวบางตัวที่มันตายหล่นลงไปในผ้าห่มในรองเท้าจังอ่ะ
ประสาทหลอนแล้วตอนนี้

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Thunderstorm

ตอบจดหมายจากทางบ้านก่อน
โมมดจิ
ถ้ามาคงให้ซ้อนท้ายจักรยานไม่ได้อ่ะค่ะ ผิดกฏหมาย ดีไม่ดีพากันกลิ้งลงเนินทั้งคู่ ยิ่งตอนปั่นขึ้นเนินหน้าหอนะ ไม่อยากจะเซด เห็นมันไม่ชันเท่าไหร่ทำไมหนืดงี้ฟะ เข่าแทบป่น
มะแอ้
ไม่ต้องห่วงตอนนี้ Tokyo Drift สุดๆ สามารถปั่นไปกลับตามถนนใหญ่จากหอไปห้องสมุดกับหมู่บ้านท้ายมหาลัยได้แล้วโดยไม่ลังเลเวลาเจอรถที่วงเวียน ปาดหน้าแม่งเลย ยังไงมันก็ต้องหยุดให้เรา ฮะเหย ฮะเหย
.
วันก่อนได้รับ shocking news จากคณะ
ว่าที่สมัครเรียนต่อป.เอกไปน่ะ ไม่ผ่าน
ในจดหมายให้เหตุผลว่า เพราะคุณยังไม่จบป.โท เรายังไม่เห็นวิทยานิพนธ์ของคุณ ไม่รู้ว่าคุณจะได้คะแนนสูงพอสำหรับป.เอกหรือเปล่า ตอนนี้มันกระชั้นไปนะ ไว้สมัครปีหน้าก็แล้วกัน
ความฉิบหายมาเยือน
จำได้ว่าตอนนั้นเปิดเพลงฮิปฮอปของนิคกี้ มินาจอยู่ อารมณ์แบบลดฮวบกะทันหัน ต้องปิดเพลง แล้วนั่งนิ่งๆ เอ๋อๆ แสดงความเคารพต่อหน้าท่านอีเมล์ผู้กำหนดชะตาชีวิต
พอตั้งสติได้แล้วก็โทรหาอาจารย์ที่ปรึกษา เดชะบุญวันนี้ท่านอยู่ในออฟฟิศ ปกติจะตระเวนเดินสายทั่วโลก นานๆได้เจอที
ได้ความว่า
เพราะเขายังไม่เห็นวิทยานิพนธ์ของเรา ทางคณะเลยตัดสินจากผลการเรียนในเทอมที่ผ่านๆมา ซึ่งนราได้คะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ที่เขาต้องการ คือ 60 ขึ้นไป นราได้ 66 แค่วิชาเดียว ที่เหลือคือ 57 55 และ 51 -_-
(ต่ำลงเรื่อยๆ สมควรแล้วที่เขาไม่เอา)
สรุปแล้วคือ นรายังไม่ดีพอ
สำหรับเทอมเดือนตุลานี้ หมดหวัง เข้าเรียนไม่ได้
รออีกที มกราคมเดือนหน้า ซึ่งมันก็เฉียดฉิวมาก เพราะกว่าคะแนนป.โทจะออกก็เดือนพฤศจิกายน
แต่ปัญหาคือ สามเดือนกว่าจะถึงมกรา กรูจะไปอยู่ไหน จะทำอะไร ยังไง
เป็นความลับดำมืดที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้
.
ข้อดีของการที่เราเจอเรื่องเฮงซวยในชีวิต
คือการที่เราจะได้รู้ว่า ใครมั่งที่อยู่เคียงข้างเราเวลาเราอยากตายสุดๆ
เพื่อนคนอังกฤษที่เรียนป.เอกที่นี่อยู่ ชื่อแซม พอรู้ว่านราโดนปฎิเสธจากมหาลัย ก็มาหาที่หอเลย ถามว่าเป็นอะไรมั้ย มีอะไรให้เขาช่วยได้มั้ย เสนอตัวจะช่วยเรื่อง research proposal สำหรับสมัครครั้งต่อไป นราประทับใจมากเลยที่เขาพูดอย่างหนึ่ง
"Well there's nothing you can do now, but what WE can do is that WE are gonna make your dissertation good enough for York to accept you"
น้ำตาไหลเป็นอ่างอ่ะ
.
เพื่อนจำนวนมาก ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง ทั้งที่อยู่ไทยอยู่ยอร์ก ต่างพากันมาปลอบใจหมาขี้แพ้ในเฟซบุ๊กกันล้นหลาม เป็นกำลังใจให้นรามากมาย ก็ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
เจ้าของบ้านคนที่นรากะว่าจะย้ายไปอยู่ด้วยเดือนกันยานี้ ตอนนี้แกอยู่ฝรั่งเศส ไปทำงาน แต่พอนราเมล์ไปอธิบายสถานการณ์ให้เขาฟัง เขาก็โทรกลับมาหา ถามว่าเป็นอะไรมั้ย ถ้าบอกว่าแกร้องไห้ด้วยจะเชื่อมั้ยเนี่ย แต่เรื่องจริง แบบว่าเสียงเขาสั่นๆแล้วบอกว่า ไม่อยากให้เราไปเลย มีอะไรให้เขาช่วยก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ ใช้ชื่อเขาเป็น supporter ก็ได้
นราก็เอ้า ซาบซึ้งกินใจ
.
ถามว่าตอนนี้เครียดไหม
เครียดฉิบหาย
ผมร่วง นอนไม่หลับ หัวใจมันกระสับกระส่าย
เหมือนคนไม่บาย ใจหายมาหลายคืน
(ยังจะตลกแดกนะเมิง)
ไม่รู้จะทำยังไง ทำอะไรก่อนหลัง
ทางออกน่ะมันก็มี แต่มันมีปัญหาเบ้งๆรออยู่ทุกประตูทางออกเลยอะดิ
ถ้าเลือกเปลี่ยนวีซ่าเป็นวีซ่าสำหรับทำงาน ต้องมีเงินในบัญชีมากกว่า 800 ปอนด์ไม่ต่ำกว่าสามเดือน แล้วนรามีที่ไหนล่ะนะ เงินเดือนเดือนนึงสี่ร้อยเองเหอะ
ถึงเขาอนุญาตให้ใช้สเตตเมนท์ของพ่อแม่ได้ นราก็ไม่รู้ว่าเขามีเงินจำนวนนั้นอยู่ในบัญชีหรือเปล่า หาเรื่องเดือดร้อนให้เขาอีก
ถ้าเลือกจะหาอะไรเรียนไปพลางๆสามเดือนเพื่อรอเรียนต่อป.เอกปีหน้า แน่นอน ต้องใช้เงินมากมายมหาศาล ไหนจะค่าเรียน ค่าใช้จ่าย ค่าทำวีซ่าก็แพงจะตายห่าแล้ว
แล้วนี่ยังไม่รู้เลยว่า ม.ที่ไทยจะว่าไง จะให้อยู่ต่อไหม หรือจะให้กลับ
ชีวิตสับสนมาก ความรู้สึกตอนนี้เหมือนแมงวันโดนครอบอยู่ในขวด
ได้แต่บินชนผนัง บี่ซซซ บี่ซซซ บี่ซซซ
.
เอาเป็นว่าวันจันทร์จะไปคุยกับเจ้าหน้าที่มหาลัย ขอคำปรึกษาดูว่าเราจะทำอะไรได้มั่ง
นราใช้หลักเหตุผลร่วมกับหลักสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว
บนไว้ว่า ถ้าสามารถอยู่ในอังกฤษได้ต่อจนกว่าจะปีหน้าโดยไม่มีปัญหา มีคนให้ทุนซัพพอร์ท ได้วีซ่าฉลุย และปีหน้าได้เรียนป.เอก (ไม่ยอร์กก็ลีดส์) จะงดเว้นเนื้อสัตว์ทุกชนิดไปตลอดหนึ่งปี เอาจริงนะเนี่ย
ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าโชคชะตาจะเลิกเล่นตลกกะชีวิตซะที
อาจจะเป็นเหมือนที่โมมดจิบอกก็ได้ คือนราเป็น Trouble Magnet ดึงดูดแต่เรื่องซวยๆเข้ามาในชีวิต
เมื่อไหร่จะมีเรื่องดีๆมั่งว้า
.
ตัวเลือกสุดท้าย ถ้าสองวิธีข้างบนไม่เวิร์ก
คือหาใครสักคนที่ถือสัญชาติอังกฤษมาแต่งงานด้วย
ฮ่าาาาาาา ความคิดชั่วร้ายจริงๆ
แต่น่าแปลกมากนะ พอลองถามแซวๆเพื่อน ปรากฏแม่งเก็บไปคิดจริงแฮะ
มันบอก "well I got nothing to lose when you divorce me, so I think it's alright. When do you wanna get married?"
เล่นเอาปฏิเสธแทบไม่ทันฮ่ะ
หนุ่มอังกฤษนี่ ใจง่ายจริง อิอิ
.
คำคมประจำวันนี้
Nothing goes according to plan

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Ride and Shine!

มีเพื่อนดี ถือเป็นศรีแก่ตัว
เมื่อสองสามวันก่อน แอนดรูว์ เพื่อนคนอังกฤษ ที่รู้ว่านรากำลังจะย้ายบ้าน มาถามว่าอยากได้จักรยานไหม เขาเห็นมีคนโฆษณาขายอยู่คันหนึ่ง เผื่อย้ายบ้านแล้วจะได้เดินทางไปไหนมาไหนง่ายขึ้น
นราบอกว่าก็ดีนะ แต่เส้นทางอะไรก็ไม่รู้จัก ปกติเดินเอาไม่ก็รถเมล์ แถมตอนนี้ถังแตกอีกตะหาก
แอนดรูว์บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวออกตังค์ซื้อไปให้ก่อน มีเงินเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืนก็ได้
ใจดีสุดๆ
สรุปว่าวันนี้เลยได้จักรยานใหม่มาคันนึง จริงๆไม่ใหม่หรอกเพราะเป็นของมือสองอะนะ แต่สำหรับเรามันใหม่เพราะไม่เคยใช้มาก่อน
สีม่วงตะแหลนแป๋น เหมาะกับเจ้าของตอแหลๆแบบเราดี

เจ้าของเก่า ท่าทางจะเป็นนกกระยาง
อานนั่งยกสูงมากกกกก ขึ้นไปนั่งแล้วตูดกระดกเหมือนตลกคาเฟ่ ต้องให้แอนดรูว์ช่วยไขลงให
จักรยานขายมาพร้อมกับล็อก ล็อกเหนียวมาก ทั้งดันทั้งดึง กด กระชาก บิด หมุน กว่าจะไขเสร็จก็ท้องพอดี ไขล็อกนี่เหนื่อยกว่าปั่นจักรยานอีก มือดำหมด
เพราะว่าไม่ได้ปั่นจักรยานมานานมาก ถ้าจำไม่ผิดครั้งสุดท้ายที่ปั่นคือม.ปลาย ห้าปีกว่าแล้วอ่ะ
พอขึ้นไปนั่งบนจักรยานใหม่ มันก็ยังปั่นได้นะ แต่ไม่แข็ง
ปั่นแล้วสั่นๆเหมือนสาวพรหมจรรย์ต้องมือชาย เพียงแต่อันนี้ถ้าพลาดท่าเสียทีคือตายลูกเดียว แบบว่าพุ่งหลาวลงเนิน หรือรถเมล์คาบไปแดก
ทั้งจักรยาน ล็อก และแถบสะท้อนแสง รวมแล้วราคา 20 ปอนด์ ถูกมาก
มิน่าตาแอนดรูว์ถึงได้ตื่นเต้นนัก อยากให้ซื้อ แถมเป็นจักรยานกึ่งเสือภูเขาด้วย มีเกียร์ห้าเกียร์ ถ้าโซ่มันตกร่องทีก็ไม่รู้จะทำไง
.
พอดีว่าตอนแอนดรูว์เอาจักรยานมาให้ นรากำลังจะออกไปซื้อของกินเข้าหอพอดี เลยได้ลองของใหม่แบบชวนตาย ปั่นข้ามเมืองไปซื้อของ
โอ๊ยยยยน่ากลัวมาก ปกติที่ไทยก็ไม่ค่อยได้ปั่นจักรยานออกถนนใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งมาอยู่นี่เส้นทางอะไรก็ไม่คุ้น รถรา ไฟจราจรอะไรก็ไม่คุ้น กลัวจะตายห่า ปั่นไปเหงื่อออกเต็มเลย เวลาจะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเขาต้องยกมือขอทาง นราไม่ยกอะ ไม่กล้าปล่อยมือ เสียวล้ม
ใช้สมาธิหนักมาก ยิ่งกว่าอ่านหนังสือสอบอีกให้ตาย
ก็ต้องค่อยๆฝึกต่อไป ถ้าไม่เห็นมาอัพบล็อกอีกก็อาจจะแปลว่าตกจักรยานฉิบหายไปแล้วนะคะ
.
ก่อนหน้านี้ ไม่ค่อยได้ไปว่ายน้ำแล้ว
เหตุผลหลักคือขี้เกียจเดินไกลๆ ตอนนี้มีจักรยานแล้ว อ้างไม่ได้ละ
แต่ก็ดีเหมือนกันจะได้ใช้ค่าสมาชิกให้มันคุ้มหน่อย
จ่ายแต่ไม่ไป บ้านรวยหรือไงอีนี่
.
อึดอัดพุงง่ะ

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Money Is A Biggie!

ใครที่รู้จักนรา
จะรู้ว่านราเป็นมนุษย์ที่จัดการอะไรให้เป็นระเบียบได้เฮงซวยมาก เลินเล่อที่หนึ่ง ผลัดวันประกันพรุ่งอีกอ่ะ พูดง่ายๆคือเป็นคนชุ่ย เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แก้ไม่หาย บางทีก็ซวยเพราะความชุ่ยของตัวเอง บางทีก็ต้องมานั่งเสียใจทีหลังกับความไม่รอบคอบ
เอาเป็นว่าวันนี้ขอเอาเรื่องที่เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆ มาแฉเป็นอุทาหรณ์แล้วกันนะ
เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครก็ตามแต่ที่กำลังจะมาอังกฤษ แล้วเปิดบัญชีที่นี่
.
ตอนนรามาอังกฤษใหม่ๆ แน่นอนว่ายังไม่มีบัญชีเป็นของตัวเอง
ไปไหนมาไหนพกเงินเป็นฟ่อน จนล่วงเข้าเดือนพฤศจิกายนแล้วนั่นแหละถึงได้มีบุญตามเพื่อนไปเปิดบัญชีกับเขาบ้าง ได้บัตรเดบิตมาใบหนึ่ง
ไอ้บัตรนี้มันช่างแสนสบาย เงินสดไม่พอก็รูดเอาก่อนได้ สะดวกเหลือแสน
แถมใช้ซื้อของทางอินเตอร์เน็ทได้อีกแน่ะ
นรา จากเด็กน้อยหลังเขาที่ไม่รู้เรื่องห่าเหวอะไรเกี่ยวกับเงินพลาสติกเลย ก็มีความสุขกับความสะดวกสบายที่ว่านี้มาก
.
พออยู่นานไป เริ่มชิน เริ่มมีการซื้อของซื้อบริการผ่านการหักเงินโดยตรงจากบัญชี
เช่น ฟิตเนสเซนเตอร์ กับค่าโทรศัพท์ ถึงเวลามันก็จะหักเงินออกโดยอัติโนมัต
นี่แหละ จุดเริ่มต้นของเรื่อง
เอาง่ายๆเลยคือ นราเอาเงินประจำเดือนที่ได้จากม.ที่ไทยย้ายไปใส่ในบัญชีอังกฤษไม่ทัน มันตัดเงินค่าโทรศัพท์ไปก่อนแล้ว
ซึ่งตอนนั้นในบัญชีเหลืออยู่สามปอนด์ ค่าโทรศัพท์สิบสามปอนด์ มันจะไปพอได้ยังไง
เงินในบัญชีก็เลยกลายเป็นติดลบสิบปอนด์กว่า ซึ่งตอนนั้นนรายังไม่รู้ เพราะนานๆจะเข้าไปเช็กแบงค์สเตตเมนท์ออนไลน์ซะที
หลังจากนั้นสิบวัน เงินมา นราถึงได้ย้ายเงินจากบัญชีกรุงไทยไปใส่บัญชีธนาคารอังกฤษ สามร้อยปอนด์
.
ปรากฏ เมื่อวานนี้ ได้รับจดหมายจากธนาคาร บอกว่าเราใช้เงินเกินบัญชี ถือว่าเป็น overdraft service คือทางธนาคารออกเงินส่วนที่เกินมาให้ก่อน โดยจดหมายที่ว่าเนี่ย บอกว่าให้ใช้เงินคืนให้เร็วที่สุดด้วย ซึ่งก็ไม่มีปัญหา เพราะนราเอาเงินเข้าบัญชีไปแล้ว
แต่ๆๆๆ จดหมายแผ่นที่สองนี่สิ ทำเอาขนหัวร่วงกราว ตรงไหนมีขนมันร่วงหมด เพราะมันเป็นจดหมายอธิบายค่าปรับของธนาคาร
1. เมื่อใช้เงินเกินบัญชี จะมีค่าปรับรายเดือนทันที สิบห้าปอนด์
2. ทันทีที่ให้ธนาคารออกเงินให้ก่อน ธนาคารจะถือว่าเป็นการกู้ยืม เพราะงั้นเงินที่ยืมไปคิดดอกเบี้ย 1.48%
3. และควรจะโอนเงินส่วนที่ต่างเข้าบัญชีทันที เพราะมันชาร์จวันละหกปอนด์สำหรับยอดเงินไม่เกินยี่สิบห้าปอนด์ และมากกว่านั้นตามสัดส่วน
โหดฉิบหาย ยืนอ่านจดหมายนี่รู้สึกได้เลยว่าเลือดไหลซิบๆลงมาตามแผลที่โดน ตัวงี้แบนเลย โดนรีดไถ (แต่ถึงไม่รีดก็แบนอยู่แล้ว)
บอกตามตรงวินาทีนั้นใจสั่นมาก มือเท้าเย็น ปากชา หิวข้าวด้วย ใจหวิวๆ พยายามปลอบใจตัวเองว่าเค้าคงไม่ปรับเรามั้ง เมื่อวานเข้าไปเช็กยอดเงินก็เห็นมีเท่าที่ถอนใช้ไป ไม่มีโดนปรับหนิ แต่อีกใจก็บอกว่า ถ้าเขาไม่ปรับเมิงแล้วเขาจะส่งจดหมายมาบอกเมิงทำไม
ปรึกษาเพื่อนอังกฤษ เขาก็บอกว่าให้โทรไปถามจะดีกว่า
นราก็โทรไป ด้วยใจที่สั่นไหวและมือที่สั่นเทา
.
คุยเสร็จ เครียดเลย ปวดหัว
สรุป โดนชาร์จจริงๆ 75 ปอนด์เนื้อๆ
ค่าปรับรายเดือน 15 ปอนด์ ค่าปรับรายวัน วันละหกปอนด์อีกสิบวัน เป็น 60 ปอนด์ สิริรวมเลขสวยแต่ซวยคนจ่ายคือ 75 ปอนด์
จะหักออกจากบัญชีเดือนกันยา
นราเพิ่งโดนฟิตเนสเซนเตอร์ชาร์จเพิ่มไปจนถึงเดือนกันยามาหยกๆเพราะไปยกเลิกสมาชิกไม่ทัน จะโดนอีกแล้วหรอเนี่ย จ่ายพร้อมกันทั้งค่าฟิตเนสทั้งค่าปรับเดือนหน้านี่ แดกขยะเปียกแน่ๆ
วิงเวียน ตาลาย ไม่รู้จะทำไง เลยโทรถามเพื่อนคนเดิม เพื่อนบอกไปคุยที่สาขาที่เราเปิดบัญชีไป
.
นราขึ้นรถเมล์ เชื่อมั้ยจำไม่ได้เลยมาถึงเมืองได้ไง เมื่อไหร่ คือมันเหม่อมาก ในหัวคิดแต่ว่า ทำไมๆๆๆๆกูถึงได้ชุ่ย ทำตัวเองซวยเป็นประจำอย่างนี้วะ
เงินตั้งขนาดนั้น ไอ้มีจ่ายนะมีอยู่หรอก แต่มันจะไม่เหลือแดกไง ถึงได้เครียด
ทุกวันนี้ก็แทบจะต้องขโมยอาหารเพื่อนกินอยู่แล้ว
เตรียมเอกสารไปบาน แต่งตัวเรียบร้อย สร้างภาพว่าปกติชั้นไม่ได้ยากจนจนต้องรูดเงินเกินหรอกนะยะ แต่มันเป็นอุบัติเหตุ
ไปถึงก็ทำหน้าน่าสงสารสุดฤทธิ์ เล่าให้เขาฟังอย่างละเอียดว่างี้ๆๆๆ เงินจากไทยมันมาไม่ทันค่ะ เพราะงั้นเดี๊ยนไม่ผิดนะคะ อีกอย่างตอนเปิดบัญชีไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าใช้เงินเกินจะโดนปรับหลังอานอย่างนี้
เจ้าหน้าที่เขาก็อ่านๆๆ พยายามหาช่องโหว่ของสัญญาให้เรา สุดท้ายก็บอกว่า เพราะเราไม่เคยเบิกตังค์เกินมาก่อน คราวนี้จะยกเลิกให้ แต่ห้ามใช้เงินเกินอีกภายใน 12 เดือน คราวนี้ช่วยไม่ได้แล้วนะ
นรานี่พยักหน้าด๊กๆๆเหมือนนกหัวขวาน แทบจะคลานไปกราบตีนเขาอยู่แล้ว อะไรก็ได้ค่าขอให้ไอ้เงินจำนวนนี้มันไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับหนูเป็นพอ
สุดท้าย ถือว่าสวรรค์ยังเมตตา ฟ้ายังมีใจ รอดตัวมาได้ ไม่ต้องจ่ายเงินเดือนหน้า ไม่ต้องแดกแกลบแทนข้าว
.
ข้อคิดประจำวัน
แบงค์อังกฤษ โคตรโหด โปรดระวัง
เงียบๆ หงอยๆ ไม่เรื่องมาก
แต่ชาร์จทีแม่งเอาตาย
นราก็ได้บทเรียนแล้ว จากนี้ไปคงระวังตัวให้มากขึ้น รอบคอบมากขึ้น
จำไปอีกนานค่ะ

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"D" Is for the Devil

เดือนพฤษภาและมิถุนาที่ผ่านมา
ชีวิตมีความสุข สนุกสนาน เบิกบานหาใดเสมอเหมือน
ทุกวันไม่ทำอะไรนอกจากกิน นอน ดูชิงร้อยชิงล้านในยูทูป ดูซีรีส์เกาหลี เคโรโระ
วันนี้ ณ ขณะนี้ เดือนสิงหาคม
ถึงเวลาชำระหนี้ค้างจ่ายแล้ว
สม
.
วิทยานิพนธ์ค่ะ Dissertation พิมพ์ไปแสยงมือไป คำต้องห้ามจริงๆคำนี้
ได้ยินคนพูดถึงแล้วจะเกิดอาการมือเท้าเกร็ง ปากบิด ตากระตุกทันที
มันมารอตั้งนานแล้วแหละ เราไม่ทำเอง
โทษใครไม่ได้
ที่ผ่านมาก็อ่านบ้าง ค้นหนังสือมารวมๆไว้มั่ง
คือทำเหมือนขยัน เดินไปหอสมุด อุ้มกลับมาเต็มอ้อมแขน แล้วเอากลับมาตั้งไว้เป็นสิริมงคลที่หัวนอน ไม่ทำห่าอะไรกับมันเลย
ตอนนี้ผลัดวันประกันพรุ่งไม่ได้แล้ว เพราะเวลาน้อยลงทุกที
ภาพที่ท่านจะได้เห็นต่อไปนี้ เป็นภาพจริงจากสถานที่จริง ไม่ผ่านการตัดต่อ ตกแต่งใดๆทั้งสิ้น
เพื่อแสดงให้เห็นว่า คำคำเดียวอย่าง Dissertation ส่งผลต่อชีวิตคนได้มากแค่ไหน
เชิญทัศนา
.
เริ่มที่โต๊ะทำงานก่อน
ตอนนี้มันไม่ใช่แค่โต๊ะทำงานแล้ว แต่เป็นเหมือนห้องเช่าในตัว
เริ่มจากมุมซ้ายสุด
กระป๋องน้ำ ถ้วยชามอาหารที่เอาเข้ามากินในห้องแล้วยังไม่ได้เอาออกไปล้าง วางกองเป็นหอไอเฟล
บางถ้วยมีฟอซซิลเกาะติด น่าเก็บรักษาเป็นวัตถุโบราณของชาติมาก
พัดลม เปิดทิ้งไว้ตลอดเวลา มอเตอร์จะไหม้แล้วมั้ง
ตรงกลางเป็นกองหนังสือโน้ต เอกสาร ข้อมูลสรุปย่อ ทุกอย่างกองรวมกันเป็นตั้ง
เงยหน้าขึ้นมาก็เป็นโน้ตย่อ โน้ตเตือนความจำทั้งหลาย รวมทั้งพวกตัวอย่างงานเขียน กฎกติกามารยาทกอล์ฟทิปทั้งหลายทั้งปวงอยู่บนนั้นหมด
เรียกว่าหลอกหลอนแบบสเตอริโอเซอราวด์
ปิดท้ายด้วยคอมพิวเตอร์ตัวเดิม ที่ตอนนี้เป็นทั้งชีวิต เป็นทั้งวิญญาณไปแล้ว ใครก็ห้ามแตะคอมกรู หวงยิ่งกว่าปู่โสมเฝ้าทรัพย์อีก

ภาพต่อไปไม่อยากเปิดเผยเลย
อายนะเนี่ย
แต่เอาเหอะ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รู้ว่าชีวิตนักเรียนนอก (ชุ่ยๆ) มันเป็นยังไงมั่ง นราพร้อมพลีชีพค่ะ
คาดว่าหลังเอนทรี่นี้ออกไป คงหาผัวไม่ได้อีกเลยทั้งชีวิต
ผู้หญิงอะไร ชุ่ยชะมัด
.
ครั้งสุดท้ายที่พับผ้าห่มคลุมเตียงเรียบร้อย
คาดว่าน่าจะเมื่อสามร้อยปีก่อนคริสตศักราชที่แล้ว
ไม่ได้จัดเตียงนานมาก
โปรดสังเกตหัวเตียงก็เลอะเทอะพอกัน
คือติดนิสัยนอนอ่านหนังสือ ง่วงก็แว้บ เอื้อมมือข้ามหัวเอาหนังสือไปแปะไว้ตรงหัวเตียง ชนทั้งตุ๊กตา นาฬิกาอะไรระเนระนาดไปหมด
และเนื่องด้วยโต๊ะมันเต็มแล้ว อย่างที่เห็นเมื่อกี๊
ก็เลยไม่มีที่จะกินข้าว
เลยต้องมานั่งกินบนเตียงแทน
ห่อขาวๆที่เห็นอ่ะ คืออาหารที่สั่งมาค่ะ
ไม่มีเวลากระทั่งจะออกไปซื้อของสดมาตุน อาหารในตู้เย็นเกลี้ยงแล้ว เหลือผักสลัดเหี่ยวๆอยู่ห่อเดียว


ด้วยความที่เหนื่อย
ออกไปข้างนอกมา สัมภาษณ์เพื่อนบ้าง ให้เพื่อนสัมภาษณ์บ้าง ไปหอสมุดบ้าง
พอกลับมามันก็หมดแรง หมดอารมณ์
สะบัดรองเท้ากองๆไว้อย่างที่เห็นเนี่ย
ตีนก็มีอยู่สองตีน ไม่รู้จะมีรองเท้าเยอะอะไรนักหนา
อืม จะบรรยายความเหนื่อยยังไงดีนะ
เคยไหม ที่เหนื่อยกลับมาแล้วคิดว่าจะอาบน้ำกินข้าวก่อน แล้วทำงานนิดนึงแล้วค่อยนอน
แต่พอนั่งบนเตียงปุ๊บ เหมือนเตียงมันดูดพลังงานที่เหลืออยู่น้อยนิดของเราออกไปหมดเลยอ่ะ
ถึงเวลานั้นสิ่งเดียวที่ทำได้คือ ล้มตัวลงนอน เหมือนเวลาช้างล้ม
ไม่ต้องนับ 1 2 3 TKO น็อกเอ๊าท์ในเวลาไม่ถึงนาที
.
สภาพร่างกาย อย่าเห็นจะดีกว่า
อ้วนอีกแล้ว
เพราะเหนื่อยเกินกว่าจะหอบสังขารไปว่ายน้ำ
ไม่ออกกำลังกาย แต่กินเท่าเดิม มันจะไปเหลืออะไร ก็เบอะอะดิ
ออกรอบๆเอวเหมือนห่วงยาง อึดอัดมาก เวลาเอี้ยวตัวอะไรก็รู้สึกได้ว่ารอบตัวเรามีชั้นมันหมูหนาๆพอกอยู่
นอกจากนี้ก็มีสภาพสิวขึ้น ยิ่งเฉพาะพอใกล้ช่วงนั้นของเดือนจะระเบิดเหมือนสนามรบเวียดนาม
โทรมค่ะ ข้อมือก็มีปัญหา
อาจจะเพราะคอมมันตั้งไม่ได้มุมที่ถูกต้อง เวลาพิมพ์แล้วฝืนข้อมือ
โอ้เอ๋ย กว่าจะได้ปริญญาโทนี่เราต้องแลกด้วยอะไรมั่งเนี่ย
เหนื่อยจังเลยยย

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

The Great Yorkshire Show #2

ม่ะ ภาคสอง มาต่อกันให้จบ
ความเดิมตอนที่แล้ว นราเดินดูแต่ดอกไม้ผลไม้ ทั้งๆที่ธีมหลักของงานคือปศุสัตว์ การประมูลพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ประกวดเนื้อสัตว์
ออกมาจากโซนพืชผักผลไม้ ก็เดินย้อนฝ่าฝูงชนมหาศาลออกไปข้างนอก ฟ้าเริ่มท่าทางไม่ค่อยดี ลมก็เริ่มพัดแรงขึ้น รู้สึกดีใจที่ใส่เสื้อแจ็กเก็ตหนังสีน้ำตาลมาด้วย ตอนแรกก็บ่นแหละว่าร้อนอิบอ๋าย ถึงตอนนี้ดีใจจริงๆที่ใส่ไว้
.
เดินมาถึงเวทีใหญ่ๆ เขากำลังแข่งขันตัดขนแกะกันอยู่
ผู้เข้าแข่งขันต้องลากแกะออกมากล้อนขนให้มากและเนี้ยบที่สุดภายในเวลาที่กำหนดไว้
ยืนๆดูไป ขำก็ขำ สงสารก็สงสารแกะ
แบบมันยืนอยู่ในคอกของมันดีๆ เคี้ยวหญ้าเคี้ยวฟางอะไรของมันไปเรื่อย อยู่ๆก็โดนจับลากออกมาจากคอก จับหงายท้อง แล้วโดนปัตตาเลี่ยนไถแครกๆๆๆ แป๊บเดียวเกลี้ยง
บางตัวเหมือนจะงงๆ ตั้งตัวไม่ทัน อารมณ์ประมาณ เห อะไรเหยอ
แต่บางตัวนี่ดิ้นสุดฤทธิ์ เตะ ถีบ ดิ้นเหมือนนางเอกตอนจะโดนตัวร้ายปล้ำยังไงยังงั้น
พอถลกขนออกมาได้เป็นแผ่นใหญ่ๆ ก็จะมีผู้ช่วยในเสื้อเขียวคอยช่วยเอามาคลี่ให้เป็นผืน แล้วม้วนๆกองไว้รวมกัน มีลุงเสื้อฟ้าเป็นกรรมการคอยดู
การตัดขนแกะเนี่ยนราว่าเป็นสกิลอย่างนึงเลยนะ เพราะขนแกะแต่ละพันธ์มันไม่เหมือนกัน แถมดีกรีความพยศของแกะก็ไม่เหมือนกันอีก
ตัดลึกเดี๋ยวโดนหนังแกะ ตัดตื้นเกินก็ได้ขนแกะไม่หมด
ชาวนาที่มาแข่งนี่มือฉมังล้วนๆ
กล้อนเสร็จ แกะนี่เย็นสบายไม่ต้องพึ่งซันซิลค์เลย
เกลี้ยง เป็นสีชมพูอ่อนๆ กลับเข้าคอกไปอย่างมึนๆ
ไหนๆก็เดินมาโซนแกะแล้ว ก็เดินเล่นดูน้องแกะไปพลางๆ
แกะที่เอามาโชว์ มีทั้งแบบที่ชนะได้รางวัลสุดยอดแม่พันธ์พ่อพันธุ์ พวกนี้ก็จะตัวใหญ่ อวบอ้วนสมบูรณ์ ดูแข็งแรงมาก
แล้วก็แบบที่เลี้ยงไว้เพื่อกิน พวกนี้มักจะเป็นลูกแกะ น่ารักๆ
เห็นแววตาแล้วสงสาร เมิงจะรู้ไหมว่าที่เขาประคบประหงมเมิง เอาหญ้าเอาน้ำให้กิน ก็เพื่อจะแดรกเมิงในวันหน้า
เกิดเป็นสัตว์ต้องทำใจอย่างเดียว
.
ยืนขำแกะตัวนี้นานมาก
แกะปลิ้น
ปลิ้นออกมานอกกรง
ที่เห็นนี่คือเขาเอาสีข้างถูกรงอยู่ ถูไปถูมา
นานมาก สันนิษฐานว่าคัน แต่เกาไม่ถึง ติดพุง

ปอเปี๊ยะแกะ
หนึ่งในลูกแกะดวงจู๋ ผู้ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง
วันนั้นอากาศค่อนข้างเย็น เพราะลมแรง เจ้าของเลยต้องเอาผ้ามาคลุมให้ แต่เห็นแกะตัวใหญ่ๆนอนหอบลิ้นแดงกันใหญ่

ตูดแกะ
ใหญ่มาก
ใครจะไปนึกว่าตูดแกะจะบานได้ขนาดนี้

แกะหน้าดำ
พยายามจะจำชื่อพันธุ์ แต่นึกไม่ออกวุ้ย

มีแกะประหลาดๆด้วย
อันนี้แกะดำ มีเขา
แล้วก็มีแกะไรไม่รู้ มีเขาตั้งสี่อัน
ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเยอะแยะ
ตัวนี้น่ารักม้ากมาก
กลมๆ ฟูๆ เหมือนปุยนุ่น
ก้มหน้าก้มตากินฟางไม่สนใจใคร
เห็นแบบนี้แล้วก็ไม่อยากกินเนื้อแกะเลย
ซึ่งปกตินราก็ไม่กินอยู่แล้ว เพราะรู้สึกว่ามันเหนียวและหยาบ ไม่แซ่บ
อยู่ในคอกแกะประมาณครึ่งชั่วโมง ออกมาหูชาไปเลย
แกะมันร้องตลอดเวลา
ตัวเดียวไม่เท่าไหร่หรอก แต่พอหลายๆตัวมันแบรรรร่นี่สิ
เสียงเหมือนมีคนเป็นร้อยๆเรอพร้อมกัน
แบรรรรร่ะะะ เบร่อออออ เอริ่กกกกก
.
ถัดไป เป็นคอกหมูอู๊ด
หมูอู๊ดใหญ่มั่ก หมูอู๊ดเหม็นมั่ก
และไม่เห็นตัวไหนทำอะไรนอกจากนอน
ชะโงกไปดูกี่ตัวกี่ตัวก็นอนท่าเดียวกันหมด ท่าบังคับ
หมูอู๊ดถ้ามันสะอาดๆมันก็น่ารักเหมือนกันนะ
ดูน้องอู๊ดตัวนี้ซิ กลมเกลี้ยงออกชมพู น่าเอามาหนุน
แถมเล่นกล้อง ชะมดชะม้อยหางตาให้อีกตะหาก
หมูอู๊ดตัวนี้ เป็นหนึ่งในแม่พันธุ์ที่ได้รับรางวัล
หญ่ายมาก หญ่ายจนน่ากลัว
เกือบๆสองเมตรได้ละมั้ง
จริงๆมีอีกตัว ที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา
เพราะมัวแต่ตกตะลึงจนลืม
โคตรใหญ่ โคตรของโคตรใหญ่ เกิดมาไม่เคยเห็นหมี เอ๊ย เห็นหมูที่ไหนใหญ่ขนาดนี้
หล่อนเป็นแม่พันธุ์ลาร์จไวท์ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าใหญ่
ตัวยาวเกินสองเมตรอ่ะค่ะ ขานี่เป็นกล้ามเนื้อมัดๆ อ้วนๆ
คือถ้าเมิงเหยียบยอดอกกรูนี่ อกทะลุผลุไปถึงสันหลังแน่นอน
.
ที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาอีกอย่างคือปศุสัตว์ พวกวัว
พอได้เห็นแล้วก็เข้าใจว่า ทำไมพ่อซิมบ้าในเรื่องเดอะไลออนคิงถึงได้ตาย ตอนโดนฝูงวิลเดอร์บีสท์วิ่งเตลิดมาทับ
ก็วัวแต่ละตัวมันใหญ่ซะขนาดนี้ ไม่ตายก็แปลกแล้ว
คือวัวใหญ่มาก จะบอกว่าใหญ่เท่ารถคันนึงก็คงจะเว่อร์ไป แต่ที่แน่ๆใหญ่ประมาณยาริสหรือแจ๊ซแน่นอน
เห็นแล้วถึงกับกลัว ต้องเดินห่างๆ
ปีเตอร์ผู้ใจดี พานราไปดูตู้ประกวด Carcass แกะ หรือพวกเนื้อที่เขาแล่ออกมาแต่ยังมีโครงอยู่ ยังไม่เลาะเป็นก้อนๆ แผ่นๆ คือยังเห็นเป็นรูปร่างตัวสัตว์อยู่นั่นแหละ เหมือนที่เขาแขวนไว้ในห้องเย็น
แล้วปีเตอร์ผู้ช่ำชองการชำแหละ ก็อธิบายให้ฟังว่า เวลาประกวดเขาดูเนื้อกันตรงไหน ไขมันตรงสะโพกต้องหนาบางยังไงถึงจะดี ความหนาของซี่โครงต้องเป็นยังไง
ดูนานๆ นึกถึง Resident Evil ซะงั้น หลอนเหมือนกันนะ เห็นเนื้อสดๆ เป็นรูปร่างแกะไม่มีหัว ห้อยโตงเตงเป็นแถวๆน่ะ
.
ขากลับ นรกบนดินดีๆนี่เอง
หาชานชาลาไม่เจอ เพราะมันเป็นสถานีเล็กมาก แถมปีเตอร์ก็ไม่ได้มาด้วยเพราะต้องทำงานต่อ กว่าจะตรัสรู้ว่ามันต้องเดินข้ามถนนแล้วมุดลงสะพานลอดข้างใต้ก็เสียไปเป็นครึ่งชั่วโมง แน่นอนไม่ทันรถไฟฮ่ะ รถไฟไปยอร์กมาแค่ชั่วโมงละขบวน ก็นั่งรอไปเหอะ ลมก็แรง หนาวก็หนาว
ขึ้นรถไฟมาถึงยอร์ก โอ้สวรรค์ชิงชังฉันหรือไร
ฝนตกทันที
ไม่ใช่ตกแบบหยุมหยิมตามปกติด้วย ไม่รู้มันเป็นอะไรทำไมวันนี้ต้องตกแบบพายุเข้า ตกแรงมาก
นรายืนรอรถเมล์สี่สิบนาที รถเมล์ไม่มา ปวดฉี่ก็ปวด ห้องน้ำก็ไม่มี สุดท้ายต้องนั่งแท็กซี่กลับมหาลัย โดนไปหกปอนด์
แถมเพราะหนาวและอั้นฉี่ สุดท้ายเลยได้ของแถมมาเป็นทางเดินปัสสาวะอักเสบ เพื่อนเก่าที่เราไม่อยากเจอ
.
โมมดจิ
เมนท์ยาวๆแหละดีแล้ว นราชอบอ่าน
ไปงานนี้นราไม่ได้เสียตังค์ซื้อของกินอะไรเลยค่ะ
อยากเหมือนกัน แต่มันแพง ซื้อไม่ลง
เรื่องงาน เหอะๆ ยังไม่ถึงไหนเลยค่ะ
แต่นราก็เป็นซะงี้แหละ ไม่อนาทรร้อนใจ เดี๋ยวรอดูเดือนสิงหาสิ ไฟลนแน่ๆ
รีบๆมายอร์ก แล้วไปตะลุยหาของกินกันเถอะๆๆ

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

The Great Yorkshire Show #1

วันนี้รูปเยอะ โหลดโหด
ใครเครื่องตกรุ่น แนะนำให้ไปถอยเครื่องใหม่ได้แล้ว เพื่ออรรถรสและความสะดวกในการอ่านบล็อกของนราค่ะ เป็นห่วงนะเนี่ย
เรื่องของเรื่องคือ วันนี้ไปงานออกร้านการเกษตรและปศุสัตว์มา
อาศัยอานิสงค์ของปีเตอร์ เพื่อนคนอังกฤษ ที่ทำงานเป็นคนแล่เนื้ออยู่ในงานเอาบัตรฟรีมาให้ เลยเข้าได้ฟรี จากราคาตั๋วมหาโหดยี่สิบปอนด์ ราคานักเรียนแล้วนะน่ะ
งานจัดที่ฮอร์นบีมพาร์คในแฮร์โรเกต ปีเตอร์เมื่อคืนก่อนมาค้างกับแฟนเขาที่มหาลัย ตอนเช้าเลยออกไปด้วยกัน เป็นงานออกร้านที่เจ้าของหมู วัว แกะ หมา บลาๆๆ ผลิตผลการเกษตรทั้งหลายจะเอาของมาอวดกัน
นั่งรถไฟจากยอร์กไปลงสถานีฮอร์นบีมพาร์ค ตั๋วไปกลับห้าปอนด์ยี่สิบ ใช้เวลาประมาณสี่สิบนาที แล้วเป็นไรไม่รู้ขึ้นรถไฟทีไรได้ที่นั่งแบบที่มันหันหลังให้ทางรถไฟวิ่งทุกที เดินทางแบบถอยหลัง
.
จากสถานีรถไฟ เดินไปตัวงานอีกประมาณสามโกฏชาติ โคตรไกล มีการเดินเข้าป่าเข้าดงอีกตะหาก เข้าใจว่าเป็นทางลัด แต่อดไม่ได้ต้องถามปีเตอร์ "เมิงหลอกกรูมาฆ่าทิ้งหรือเปล่าเนี่ย"
ร้านส่วนใหญ่เป็นร้านผลิตภัณฑ์การเกษตรอะไรทำนองนั้น มีร้านไอศกรีมนม ไส้กรอกย่าง ฟิชแอนด์ชิปส์ เด็กเปรตวิ่งเกะกะทางเดิน คนเยอะเป็นหนอน เห็นแล้วนึกถึงบรรยากาศงานพรรณไม้งามที่สวนหลวง ไม่ก็งานหนังสือแห่งชาติตรงซุ้มนานมีบุ๊กส์กับเจบุ๊ก แน่นแบบนั้นเลย
เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัด ปีเตอร์เลยพาเข้าห้อง บ้าเหรอ พาเข้าไปในอาคารจัดแสดง แบ่งออกเป็นสามโซน โซนอาหาร โซนนมเนย แล้วก็โซนพืชผักต่างๆ
.
เนยยยยย
เห็นแล้วอยากเอาหน้าลงไปไถๆๆ เกลือกกลิ้งพลางเคี้ยวกินให้คอเลสเตอรอลมันพุ่งเล่นจริงๆ เนยคุณภาพจากผู้ผลิตท้องถิ่นเขาส่งเข้าประกวดกันเยอะแยะไปหมด แต่ละก้อนหอมหึ่ง เป็นกลิ่นหอมแบบอับๆ นมๆ ยังไงบอกไม่ถูก รู้แต่ชอบมาก
เนยก้อนเหลี่ยมๆดูเหมือนเล็ก แต่ของจริงใหญ่มาก ขนาดเท่าเครื่องพรินเตอร์ใหญ่ๆเครื่องนึงเลย ไม่ได้โม้ ใหญ่แบบกินทุกวันไปทั้งเดือนก็ไม่หมด
เนยแข็งก้อนเขียวๆนี่ชนะรางวัลที่หนึ่งค่ะ เป็นเนยแข็งผสมเสจ น่ากิน เนื้อเหมือนหินอ่อนเลย
เขามีการสาธิตการทำชีสให้ดูด้วย คนพูดตลกดี แต่ติดสำเนียงยอร์กเชียร์ค่อนข้างแรง เลยไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาพูดอะไร แต่ก็ดูเป็นความรู้ดีค่ะ เอานมเทใส่ชาม เทสารอะไรไม่รู้ลงไปสองสามอย่าง จำได้ว่าอย่างแรกคือ live bacteria ทิ้งไว้แป๊บเดียวแข็งตัวเป็นคล้ายๆเต้าหู้ซะแล้ว เสร็จแล้วเขาก็จะตัดเป็นชิ้นเล็กๆ เอาใส่ผ้าขาวบางเพื่อบีบน้ำ โรยเกลือ แล้วเอาไปอัดใส่พิมพ์ ทาดาาา
เดินลึกเข้าไปอีกหน่อย เป็นโซนผลไม้
ตื่นตาตื่นใจสมตุ้ยม้ากกก เพราะชอบดูผลไม้ที่มันติดอยู่กับต้น ไม่รู้เป็นโรคอะไร สงสัยชาติที่แล้วจะเป็นอุรังอุตัง
มีการประกวดผลไม้พวกเบอร์รีต่างๆ ที่หนึ่งเงี้ยไม่อยากจะพูด อวบอิ่มสีสันสดใสสุดๆ อีนี่ก็ไปยืนน้ำลายย้อยอยู่หน้าร้านเขา
ส่วนตัวนราชอบสตรอว์เบอร์รีนะ
นี่ก็กำลังจะหมดฤดูมันแล้ว ต้องรีบไปซื้อมาตุนกิน
แต่วันนี้ได้เห็นเรดเคอร์เรนท์ สุดยอด
ไม่คิดเลยว่าจะสวยได้ขนาดนี้ สวยแบบไม่อยากเอามากิน อยากเอามาใส่จานแล้วนั่งดูเฉยๆ
สีแดงสดใส เป็นประกาย เหมือนพลอยเลย
ยิ่งที่ได้รางวัลที่หนึ่งนะ เป็นสีชมพูอ่อนอมส้ม สีแชมเปญ เหมือนไข่มุกเลยค่ะ
งานใหญ่มาก
แต่นราเดินอยู่แต่ตรงพืชผักเนี่ย เป็นชั่วโมงๆ
โซนต่อไปเป็นโซนกุหลาบ หอมฟุ้งเลย
กุหลาบใหญ่กว่ามือเราก็มี บานแจงแวงทั่วไปหมด
ดอกกุหลาบพวกนี้ก็เป็นของส่งประกวดเหมือนกันค่ะ
ช่อนี้ได้รางวัลชนะเลิศ
จำไม่ได้ว่าชนะการจัดแต่งหรือชนะแบบนำเสนอหลากสายพันธุ์ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าดอกสีเหลืองที่ซ่อนอยู่ข้างหลังหอมมาก หอมหวานๆเย็นๆน่ากินดี
สุดยอดจริงๆ น่าอิจฉาคนปลูกต้นไม้เก่งๆนะ นราก็อยากปลูกดอกไม้แล้วมันบานสวยๆอย่างนี้มั่งอ่ะ ไม่เคยทำได้เลย ปลูกผักปลูกดอกไม้ทีไรมันต้องเน่าตายก่อนวัยอันควรทุกที
ปล.อย่ามาชวนไปปลูกผักเฟซบุ๊กซะให้ยาก
Alice's Red
แดง แด๊งงงจนตาจะบอด ยิ่งทาบกับฉากหลังสีน้ำเงินแล้วยิ่งจ้าจนปวดตา
ดูๆไปแล้วก็เหมือนขนมชั้นเลยเนอะ
ยัง ยังไม่พอ มีแสบกว่านั้นอีก
แสบทั้งสี แสบทั้งชื่อเลย
Tequila Sunrise
ดงเบญจมาศ
เห็นแล้วก็พยายามจะไม่นึกถึงงานศพอ่ะ
ไม่ใช่งานศพธรรมดานะ เป็นงานศพญี่ปุ่นด้วย
จริงๆมีดอกไม้มากกว่านี้ แต่เอาลงบล็อกหมดไม่ได้หรอก เหนื่อย ขี้เกียจย่อ ตามไปดูในเฟซบุ๊กเอาละกันนะ
มีกล้วยไม้ ฟุกเชีย ไฮเดรนเยีย สวีทพีที่สีหวานสมชื่อ แล้วก็ดอกไรไม่รู้แท่งยาวๆ เนี่ยหงุดหงิดจังเลยนึกชื่อไม่ออก
ฝรั่งกรี๊ดกล้วยไม้มาก ต้นนึงขายเกือบสิบปอนด์
นราได้แต่ชายตามอง แล้วพ่นลมออกจมูกด้วยมาดนางอิจฉาช่องเจ็ด "ฮึ แม่ฉันมีหมดแล้วย่ะ"
.
มีผลงานการปลูกผักส่งเข้าประกวดของนักเรียนประถมด้วย
เป็นบล็อกสี่เหลี่ยมที่มีผักผลไม้ปลูกไว้ตรึม
บ้านเราก็น่าจะทำมั่งนะ
เท่าที่จำได้ ตอนป.สามโดนสั่งให้ปลูกคะน้ากับผักบุ้งจีนที่สวนครัวหลังห้องเรียน
สรุป หมดอดแดรก ลูกภารโรงเอาสวนผักกรูไปทำสนามบอลซะยังงั้น
ส่วนใครที่คิดว่ามันฝรั่ง ก๊อคือมันฝรั่ง
ดูรูปนี้แล้วคิดใหม่ เพราะที่ท่านเห็นคือมันฝรั่งทั้งสิ้น
หลากสี หลากขนาด เรียงรายน่าเอ็นดูเชียว
ฝรั่งเขามีสูตรด้วยนะ ว่าพันธุ์นี้เหมาะจะเอามาทำอะไร อบหรือต้ม พันธุ์นี้ควรกินเมื่อไหร่
แต่ขอให้เป็นมันฝรั่งเถอะ นรากินหมด
เป็นมนุษย์เขมือบมันระดับชาติ
บางพันธุ์ชื่อน่ารักเชียว
"Smile"
"Charlotte"
"Mozart"
พันธุ์สุดท้ายนี่ถ้าเอาไปยัดปากลูก มันจะฉลาดเหมือนเปิดเพลงโมซาร์ทให้ฟังมั้ยนะ
จริงๆเป็นความใฝ่ฝันของนรามานานแล้ว
ว่าอยากจะได้มีประสบการณ์มางานออกร้านอย่างนี้สักครั้ง
เพราะตอนเด็กๆ พ่อซื้อหนังสือชุดบ้านเล็กของลอรา อิงกัลส์ ไวล์เดอร์มาให้ แล้วมันมีเล่มนึง Farmer Boy ที่เป็นเรื่องราวของสามีเขาตอนเด็ก ที่เขาช่วยพ่อดูแลม้าและวัวก่อนส่งเข้าประกวด แล้วพอถึงวันงานก็ไปเดินเล่นดูร้านรวง สัตว์เลี้ยง สุนัขล่าสัตว์ อาหารต่างๆ
หนังสือเล่มนี้แหละ ฝังใจนรามาจนถึงทุกวันนี้
วันนี้ mission accomplished แล้ว ได้เห็นสมใจว่า อ้อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
เห็นแล้วก็คิดถึงพ่อขึ้นมาด้วย
ว่าแต่เราพลาดเต๊นท์ช่างเหล็กได้ไงเนี่ย เห็นเขาบอกว่าถอดเสื้อทำงานกันทั้งร้าน
แหม่ เกือบจะจบดีแล้วนะกรู
.
วันนี้ขอจบครึ่งแรกไว้เท่านี้ก่อน
เดี๋ยวภาคสอง ภาคจบค่อยตามมาทีหลังนะคะ
เหนื่อย อัพลงทีเดียวไม่ไหว
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Curry Night

ก่อนอื่นเลย ขอขอบคุณทั้งโมมดจิและอวนมากๆ
ที่มอบให้ทั้งกำลังใจและความช่วยเหลือ
ยังไงขอนราดูสถานการณ์ไปก่อนนะคะ ว่าจะหานศ.มาทดแทนได้หรือไม่ ถ้าหาไม่ได้จริงๆก็คงจะงานเข้า ต้องปรับเปลี่ยนหัวข้อวิทยานิพนธ์ใหม่ และขยายขอบเขตกลุ่มศึกษาเป็นนศ.ชายระดับมหาลัยแทน ไม่เจาะจงว่าต้องมาจากม.ใดเป็นพิเศษ ฮึ งอนแล่ว
ถึงเวลานั้นคงได้รบกวนจริงๆจังแน่ค่ะ โดยเฉพาะโมมดจิ เห็นว่ามีเด็กในสต๊อกเยอะใช่ไหมคะ ฮิ ฮิ
.
หลังจากตามตื๊อผู้ชายคนหนึ่งอยู่นาน
ในที่สุดเขาก็ใจอ่อน ยอมนราจนได้
อิอิ ยอมทำแกงกะหรี่ให้กินค่ะ
ไปถึงบ้านนัทตอนหกโมงครึ่ง พ่อครัวนุ่งชุดตีแบดแฉะๆกำลังทำแกงกะหรี่ให้เราอยู่เลย อิ๊ๆ
อันนี้นราไม่ได้ข่มขู่บังคับให้เขาทำนะ
แค่บอกเฉยๆว่าอยากกิน ทำได้แล้ว ฮ่า
เรื่องของเรื่องคือ เคยนวดกล้ามเนื้อให้นัทเมื่อนานมาแล้ว
แต่คนอย่างนรา มีหรือจะหว่านพืชมิหวังผล
ก็คอยเซ้าซี้มาเรื่อยๆว่าอยากกินแกงกะหรี่จังเลย อยากกินข้าวฟรี เมื่อไหร่จะทำ
วันนี้ที่ทำจนได้ก็ไม่รู้ว่าเพราะตามสัญญา หรือทนรำคาญไม่ไหว
แต่มันอร่อยนี่นา ถามหลายทีแล้วว่าใช้ก้อนแกงยี่ห้ออะไร ไม่เคยจำได้เลย วันนี้ก็ลืมอีกแล้ว
นรา หน้าตาชื่นบานกับข้าวฟรี
อิ่มจังตังอยู่ครบ
ตู้เย็นสงบ ไม่เสียเสบียงอีกหนึ่งวัน
วันนี้สงสัยนัทจะวางยา ทำแกงกะหรี่เผ็ดอ่ะ
คือมันไม่เผ็ดสำหรับคนอื่น แต่มันเผ็ดมากสำหรับเรา กินไปก็ลิ้นห้อยไป เป็นที่น่าอนาถใจยิ่งนัก
วันนี้มันฝรั่งออกแข็งๆหน่อย แต่ชอบ ไม่ชอบเละเกินกินไปไม่มีรสสัมผัส หอมใหญ่ก็ดี แครอทก็หวานดี ข้าวใช้ข้าวเกาหลี แข็งไปนิดแต่อร่อย
กินของฟรีต้องไม่เรื่องมากค่ะ
เดี๋ยวโดนพ่อครัวตบฉาด
นราซัดไปเป้งๆ สองชาม อิ่มท้องจะแตก
สบายใจ เหมือนบรรลุสวรรค์ชั้นฟ้า นอนอืดแผ่พังผืดพุงหน้าทีวีไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น ฮ่า
แถมยังมีคนเอาสตรอว์เบอร์รีมาอีก โอ๊ยสุขใจๆ
ตอนนี้สตรอว์เบอร์รียังอร่อยอยู่ ลูกโตๆ หวานฉ่ำไม่เปรี้ยวเลย ก็ซัดไปซะครึ่งถาดอย่างไร้ยางอาย
พอกินเสร็จ สติกลับคืน
ก้มมองพุงตัวเองแล้วก็ถอนใจเฮือกๆ
อ้วนอีกแล้ว
ตอนนี้นรากำลังประสบปัญหาโยโย่เอฟเฟค
เพราะเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนหน้าไปว่ายน้ำตลอด ก็ผอมลงอย่างรวดเร็วมาก แต่ทีนี้ตั้งแต่สัปดาห์ที่มีงานนำเสนอหน้าชั้นเป็นต้นมาก็แทบไม่ได้ไปเลย คือออกกำลังกายน้อยลงแต่ยัดห่าเท่าเดิม ไขมันรีเทิร์นมาอย่างรวดเร็ว ตันไปหมดรอบองรอบเอว อึดอัดอ่า ต้องกลับไปว่ายน้ำให้เร็วที่สุดแล้วไม่งั้นเกินเยียวยา
.
กินแกงกะหรี่เสร็จ นัทขับรถพาไปสวนสาธารณะราวน์ทรี พาร์ก ที่นราเคยไปถ่ายรูปเมื่อตอนโน้น
สวนปิดสามทุ่มครึ่ง มีเวลาประมาณชั่วโมงนึงให้เดินเล่น เล่นของเล่นกัน
คนอื่นๆก็ไปเล่นชิงช้า ม้ากระดก ห้อยโหนปีนป่ายอะไรกันไป
แต่นรา สสารในท้องทิ้งถ่วงตกหนัก
จะหายใจยังไม่ไหวเลย
เลยขอนั่งชมธรรมชาติดีกว่า
ซ่าไปเล่นชิงช้าแปปนึง แกว่งไปแกว่งมา จะอ้วก ก็เลยหยุด
ไม่ได้มีความโรแมนติกเล้ย
.
จะว่าไปก็ไม่ได้เล่นชิงช้านานมากแล้วนะ
เป็นปีแหละ
รู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ หวิวๆ ลอยๆ
ตอนนี้ก็ยังยุ่งเหมือนเดิม
เรื่องงานล้วนๆ
เวลาหดสั้นลงทุกที แต่งานทำไมไม่ก้าวหน้าซักที
อาจารย์ที่ปรึกษา ตอนไม่อยากเจอก็อยู่จังเลย พออยากจะเจอก็ไม่เคยอยู่เลย หาตัวไม่ได้ หุดหิดมาก
นี่กะว่าจะไปปักหลักกินอยู่หน้าออฟฟิศแก ประมาณว่ามาเมื่อไหร่ หรือออกจากห้องมาเมื่อไหร่เจอแน่ๆ หนีไม่ได้ ห้ามไปไหนทั้งนั้นจนกว่าฉันจะปรึกษาจบ
.
วันนี้อากาศดีค่ะ เมฆน้อย ไม่ร้อนมาก
น่านอนกลิ้งบนสนามหญ้ากับหนังสือดีๆสักเล่ม กินขนมหวานๆ แล้วนอนขึ้นอืดให้เป็ดมาแทะศพ
จะตั้งใจทำงานแล้ว จะพยายามนะ
ฮึ้ยๆ

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Lunch in Town at Red Chili

บ่นๆๆๆ ว่าตังไม่มี
แต่พอเพื่อนมาชวนไปกินข้าวข้างนอกก็ไปทุกที
ช่วงนี้นรกมาก ไม่ได้ไปว่ายน้ำเลยตั้งแต่ทำงานนำเสนอหน้าชั้น อ้วนขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะยัดห่าในปริมาณเท่าเดิมหรือมากขึ้น แต่ไม่ออกกำลังกาย พุงหนานุ่มน่าขยำเข้าไปทุกวัน
.
วันนี้ไปทานที่ร้าน Red Chili ในเมืองมา
เป็นร้านอาหารจีนร้านใหญ่ ราคาแพงใช้ได้
เหมาะกับการไปหลายๆคนแล้วแบ่งกันจ่าย
วันนี้ทั่นประธานกิ๊กจะกลับบ้านที่ไทย ก็เลยถือโอกาสเลี้ยงบ๊ายบายซะเลย
ไปถึงตอนเที่ยง ร้านไม่มีคน
มีพนักงานหน้าตาเหมือนโดนผัวทิ้งมาต้อนรับ
ร้านนี้เป็นร้านที่ห้ามพนักงานยิ้ม ไม่มีใครยิ้มเลย
ไปกันหกคน แต่ละคนหิวซ่กกันทั้งนั้น
คนอื่นไม่รู้ แต่นราอะหิว แถมช่วงนี้กินเยอะมาก
อยากกินไปซะทุกอย่าง
คนที่เคยมากินแล้วก็พอรู้ว่าต้องสั่งอะไรมั่ง
นราเคยมาแค่ครั้งเดียว จำได้ว่าเคยได้กินหมี่เส้นแบนๆผัดที่อร่อยมาก ใส่หน่อไม้ กุ้งยักษ์ ปลาหมึกยักษ์ ไข่เต็มๆ อาหย่อยยย แต่ดันจำชื่อมันไม่ได้ วันนี้อยากจะกินแต่นึกไม่ออกก็เลยอดไป ดูในเมนูก็อ่านไม่ออก คำอธิบายก็คลุมเครือๆ เลยช่างมันไม่กินก็ได้ ไม่ง้อ
.
จริงๆไปแล้วก็อยากจะกินเป็ดย่างที่เขาลือว่าอร่อยนักหนา แต่พนักงานบอกว่าเราไม่เสิร์ฟเป็ดจนกว่าจะหกโมง เลยอด ได้กิน Aromatic Duck แทน เป็ดหอม เป็นไงหว่า
สั่งโค้กไปสามชาติเศษ โค้กไม่มา สันนิษฐานโดยทั่นประธานกิ๊กว่าพนักงานกำลังปลูกต้นโคคาอยู่
สักพัก(ใหญ่มาก) พนักงานก็เอาเครื่องเคียงกับซอสฮอยซินมาเสิร์ฟ
เป็นแตงกวากับลีคซอยเป็นเส้น ผักสดน่ากินดี ขนาดนราไม่ชอบกินผักดิบยังคิดว่ามันน่ากินเลย
เป็ดมาแล้ว มาพร้อมพนักงานหนึ่งคน
เป็ดที่ว่านี่เป็นเป็ดทอดกรอบ มีเสิร์ฟสามพอร์ชัน คือ 1/4 ตัว ครึ่งตัว แล้วก็ทั้งตัว 25 ปอนด์ ตอนแรกลังเลกัน เอ๊ จะสั่งทั้งตัวดีไหมเดี๋ยวกินไม่หมด ปรากฏว่าแทบไม่พอจะกินซะยังงั้น
คุณพนักงานที่มาพร้อมเป็ด มีหน้าที่ขูดเป็ดให้เป็นฝอยๆ เพื่อจะได้ทานคู่กับแผ่นแป้งกลมๆคล้ายปอเปี๊ยะ แต่อันนี้มันหนากว่าหน่อย แล้วก็แห้งๆเหมือนกระดาษ
ขูดเสร็จแล้วเขาก็ไป
สังเกตปากจู๋ มุ่งมั่นมาก
เป็ดมาร้อนๆ กินร้อนๆ หนังกรอบๆ อร่อยมาก
ยิ่งทานกับฮอยซินซอสยิ่งแซบอ่ะ ซอสมันเหนียวๆ หวานๆ แตงกวาก็สด กรอบ ลีคปกติมันจะเหม็นๆ เผ็ดซ่าๆ กินกับเป็ดกับซอสแล้วก็กรอบๆ อร่อย สดชื่นดี

ใช้เวลาจัดการเป็ดประมาณยี่สิบนาทีถึงครึ่งชั่วโมง
ก็บอกให้เขาเอาอาหารหลักมาเสิร์ฟได้
ที่นี่เลือกได้นะคะว่าจะรับอาหารที่สั่งทั้งหมดทีเดียวเลย หรือจะรับอาหารเรียกน้ำย่อยก่อนแล้วค่อยทานมื้อหลัก แต่แบบหลังจะช้ากว่ามาก
เป็ดอร่อยนะ แต่เทพีของมื้อนี้ยกให้จานนี้เลยอ่ะ
ปูนิ่มทอดกระเทียม
โคตร พ. โคตร ม. อร่อย

มันเป็นส่วนกรรเชียงปู ที่ชุบแป้งทอดจนกรอบแล้วกินได้ทั้งอัน ไม่ต้องมานั่งแคะเปลือกให้เสียอารมณ์
เป็นครั้งแรกตั้งแต่มาอังกฤษที่ได้กินปู
อาหารจีนต้องกินร้อนๆ ไม่งั้นเลี่ยน
โดยเฉพาะอาหารทอดแบบนี้ กินตอนร้อนๆ กรอบๆ โคตรอร่อยเลย
แถมจานนี้มันมีเศษแป้งฝอยๆ กรอบๆ ผสมเศษหอมใหญ่กับพริกหวานสับ เอามาคลุกกินกับข้าวก็อร่อยแล้ว
เนื้อปูหวานมากค่ะ เสียดายคนเยอะ กินได้นิดเดียว กะว่าวันหลังจะแอบกลับไปล้างแค้นกับจานนี้คนเดียว กินแม่งให้กรรเชียงงอกไปเลย

จานนี้ก็อร่อยนะ
ปลาหมึกทอดเกลือและพริกไทย
แต่นราไม่ชอบเนื้อหมึกแบบนี้ ชอบแบบที่เป็นเนื้อขาวๆชิ้นใหญ่ๆ แบบที่ร้านติ่มซำมากกว่า
แต่ก็อร่อยดี เศษแป้งทอดก้นจานก็อร่อย แต่เค็ม

จบมื้อ โดนค่าเสียหายกันไปคนละ 13 ปอนด์
ค่อนข้างแพงนะ แต่ถ้าไม่มากินทุกวันก็คงไม่หมดตัว
กินเสร็จคนอื่นก็ทยอยกันแยกย้าย เหลือนรากับเพื่อนชื่อนัทเดินโต๋เต๋กันในเมืองสองคน
เป็นครั้งแรกที่ซื้อเสื้อชั้นในกับคนที่ไม่ใช่แฟนและแม่
แอบเขินนะเนี่ย
ได้เต้าหู้กับลูกชิ้นปลาไส้เห็ดหอมมาด้วย
ตอนเดินกลับกินไอติมไปโคนกับเกาลัดจากร้านจีนอีกถุง
ตัวเองยังตกใจเลยว่าทำไมกรูกินเยอะอย่างนี้
ตอนนี้นั่งพิมพ์ๆอยู่ก็อยากกินอะไรสักอย่างนะเนี่ย
คือท้องมันไม่หิวหรอก แต่ปากน่ะมันอยาก
เจริญ
เงินหมดเพราะเรื่องกินนี่แหละ
.
อัพเดทเรื่องเรียนกันหน่อย
ก่อนมา มีคนดูลายมือให้แล้วบอกว่า เรื่องเรียนจะมีปัญหานะ
ไม่น่าเชื่อ มันมาแล้ว ปัญหาขนาดใหญ่สามช้างโอบ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เราด้วย ไม่รู้จะแก้ยังไง ตอนนี้เครียดแล้ว ผมร่วงนิดหน่อย แต่ไม่ผอมแฮะ เซ็ง
คือนราทำแบบสอบถามเพื่อวัดว่าเกมดอทเอมันเป็นที่นิยมในหมู่นศ.ชายแค่ไหน ก็แจกไปร้อยชุด แล้วก็บอกว่าถ้าใครยินดีอยากให้สัมภาษณ์ก็ทิ้งอีเมล์ไว้นะ
ก็มีคนเขียนอีเมล์ทิ้งไว้ให้สิบกว่าคน
แต่พอเมล์ไป เชื่อหรือไม่ เกินครึ่งเป็นเมล์ปลอม ส่งไปแล้วตีกลับทันที
ที่เหลือที่นิดหน่อยก็ไม่เคยตอบกลับเลย
ไม่เข้าใจว่า ถ้าไม่อยากให้สัมภาษณ์ เมิงจะทิ้งอีเมล์ปลอมเอาไว้เพื่ออะไรวะ ก็ทิ้งว่างไปเด้
ตอนนี้ไม่เหลือแล้ว นศ.ที่กะเอาไว้สัมภาษณ์ นรกมาเยือน
ไม่รู้จะทำไงแล้วค่ะ ฮือ
.
เหลือเวลาอีกสองเดือน
ไม่รู้จะรอดหรือเปล่า
แต่ก็จะพยายามต่อไป
มีเรื่องอะไรเข้ามาเยอะแยะไปหมดเลย
คิดถึงทุกคนนะคะ