แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การเดินทาง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การเดินทาง แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

Goodbye My Room

ประมาณเดือนตุลาของปีที่แล้ว
นรามาถึงอังกฤษพร้อมกระเป๋าหนึ่งใบใหญ่ กับเป้ไนกี้ (ที่ที่นี่เรียกไนค์) ที่แม่ซื้อให้ตอนวันเกิดหนึ่งใบ
ตอนมาถึงในห้องโล่งๆไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้กระทั่งผ้าคลุมเตียงหรือหมอนมุ้งอะไรทั้งสิ้น
วันนี้ หลังจากเกือบหนึ่งปีผ่านไป
นราได้ซ่องสุมสมบัติบ้าไว้เป็นกุรุส
และต้องมาปวดขมองพยายามยัดมันทั้งหมดลงไปในกระเป๋าเดินทางใบเดิม

พรมซกมกมาก คือนราไม่ได้ขี้เกียจ แต่อยากทิ้งอะไรไว้ให้แม่บ้านทำบ้าง เลยไม่ได้ดูดฝุ่นก่อนไป
เห็นห้องเล็กๆอย่างนี้เก็บสองสามวันเห็นจะได้
อย่างที่บอกว่าข้าวของนั้นเหมือนเห็ดรา งอกรวดงอกเร็ว เก็บเท่าไหร่ก็ไม่หมด กว่าจะเก็บให้ดูโล่งขึ้นมาอย่างนี้ก็สติแทบเสีย หมุนไปหมุนมาในห้องเหมือนอีบ้า
ยังดีว่าตอนห้าโมง แซมที่เคยตรวจวิทยานิพนธ์ให้และตอนนี้กลายเป็นแฟนแย้ว มาช่วยเก็บข้าวเก็บของ ช่วยแบกช่วยลากมันลงไปข้างล่าง รอแท็กซี่มารับ

ชีวิตกว่าหนึ่งปี หดเหลือแค่นี้
ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่หนึ่งใบ
กระเป๋าขึ้นเครื่องหนึ่งใบ
และเป้ไนกี้หนึ่งใบ
เงยหน้ามองหน้าต่างห้องแล้วใจหายนิดๆ
นึกถึงวันแรกที่เรามาถึง แล้วคิดว่ากรูจะแบกกระเป๋าหนักยี่สิบเจ็ดโลขึ้นไปถึงชั้นสามได้ยังไงวะ
มาวันนี้ต้องย้ายข้าวย้ายของ โบกมือลาห้องน้อยๆแต่ราคาไม่น้อยที่อยู่มาตั้งนานซะแล้ว
เศร้า

มาถึงบ้านแซม ขนกระเป๋าไปวางเรียบร้อย
นึกขึ้นได้ว่าลืมเก็บของในครัว เซ็งค่อด
ถั่วแช่แข็งทั้งถุง น้ำมันพืช เครื่องปรุง น้ำสลัด เต็มตู้เลย
ไม่รู้จะทำไง เพราะเข้าหอไม่ได้แล้วเนื่องจากฝากกุญแจเพื่อนไปคืนเรียบร้อย ก็เลยส่งแมสเสจไปทางเฟซบุก บอกเพื่อนคนบัลกาเรียว่าช่วยกินของในตู้ให้หน่อย มีไข่ด้วย ถ้าไม่กินมันจะเน่าเสียเปล่าๆ

วันพรุ่งนี้เช้า นรากะแซมจะไปลอนดอนกัน
เพราะแซมมีประชุมวิชาการที่ลอนดอนสกูลออฟอีโคโนมิกส์ นราก็คงไปแรดรอแถวๆนั้น
ดีเหมือนกันจะได้เจอเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยที่ไปทำงานกับเรียนที่นั่นด้วย
จากลอนดอนเสร็จก็จะไปกลอสเตอร์ บ้านเกิดแซม
ยังไม่เคยไปเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นยังไง

ปีใหม่ต้นปีที่ผ่านมา นราก็ไปลอนดอนมาแล้ว ฉายเดี่ยว
ไปสวนพฤกษศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ สวนคิว
เสือกไปหน้าหนาว ไปก็เห็นแต่หิมะ แม่งไม่เห็นต้นห่าอะไรเลย
คราวนี้ว่าจะไปอีก ถึงจะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วก็เหอะมันต้องมีอะไรให้เราเห็นมากกว่าตอนหน้าหนาวแน่

จะกลับแล้วต้องเที่ยวให้มัน
ใจมุ่งมั่น แต่ตังไม่มี
เพราะงั้น แม่ค้าบ...

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Ride and Shine!

มีเพื่อนดี ถือเป็นศรีแก่ตัว
เมื่อสองสามวันก่อน แอนดรูว์ เพื่อนคนอังกฤษ ที่รู้ว่านรากำลังจะย้ายบ้าน มาถามว่าอยากได้จักรยานไหม เขาเห็นมีคนโฆษณาขายอยู่คันหนึ่ง เผื่อย้ายบ้านแล้วจะได้เดินทางไปไหนมาไหนง่ายขึ้น
นราบอกว่าก็ดีนะ แต่เส้นทางอะไรก็ไม่รู้จัก ปกติเดินเอาไม่ก็รถเมล์ แถมตอนนี้ถังแตกอีกตะหาก
แอนดรูว์บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวออกตังค์ซื้อไปให้ก่อน มีเงินเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืนก็ได้
ใจดีสุดๆ
สรุปว่าวันนี้เลยได้จักรยานใหม่มาคันนึง จริงๆไม่ใหม่หรอกเพราะเป็นของมือสองอะนะ แต่สำหรับเรามันใหม่เพราะไม่เคยใช้มาก่อน
สีม่วงตะแหลนแป๋น เหมาะกับเจ้าของตอแหลๆแบบเราดี

เจ้าของเก่า ท่าทางจะเป็นนกกระยาง
อานนั่งยกสูงมากกกกก ขึ้นไปนั่งแล้วตูดกระดกเหมือนตลกคาเฟ่ ต้องให้แอนดรูว์ช่วยไขลงให
จักรยานขายมาพร้อมกับล็อก ล็อกเหนียวมาก ทั้งดันทั้งดึง กด กระชาก บิด หมุน กว่าจะไขเสร็จก็ท้องพอดี ไขล็อกนี่เหนื่อยกว่าปั่นจักรยานอีก มือดำหมด
เพราะว่าไม่ได้ปั่นจักรยานมานานมาก ถ้าจำไม่ผิดครั้งสุดท้ายที่ปั่นคือม.ปลาย ห้าปีกว่าแล้วอ่ะ
พอขึ้นไปนั่งบนจักรยานใหม่ มันก็ยังปั่นได้นะ แต่ไม่แข็ง
ปั่นแล้วสั่นๆเหมือนสาวพรหมจรรย์ต้องมือชาย เพียงแต่อันนี้ถ้าพลาดท่าเสียทีคือตายลูกเดียว แบบว่าพุ่งหลาวลงเนิน หรือรถเมล์คาบไปแดก
ทั้งจักรยาน ล็อก และแถบสะท้อนแสง รวมแล้วราคา 20 ปอนด์ ถูกมาก
มิน่าตาแอนดรูว์ถึงได้ตื่นเต้นนัก อยากให้ซื้อ แถมเป็นจักรยานกึ่งเสือภูเขาด้วย มีเกียร์ห้าเกียร์ ถ้าโซ่มันตกร่องทีก็ไม่รู้จะทำไง
.
พอดีว่าตอนแอนดรูว์เอาจักรยานมาให้ นรากำลังจะออกไปซื้อของกินเข้าหอพอดี เลยได้ลองของใหม่แบบชวนตาย ปั่นข้ามเมืองไปซื้อของ
โอ๊ยยยยน่ากลัวมาก ปกติที่ไทยก็ไม่ค่อยได้ปั่นจักรยานออกถนนใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งมาอยู่นี่เส้นทางอะไรก็ไม่คุ้น รถรา ไฟจราจรอะไรก็ไม่คุ้น กลัวจะตายห่า ปั่นไปเหงื่อออกเต็มเลย เวลาจะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเขาต้องยกมือขอทาง นราไม่ยกอะ ไม่กล้าปล่อยมือ เสียวล้ม
ใช้สมาธิหนักมาก ยิ่งกว่าอ่านหนังสือสอบอีกให้ตาย
ก็ต้องค่อยๆฝึกต่อไป ถ้าไม่เห็นมาอัพบล็อกอีกก็อาจจะแปลว่าตกจักรยานฉิบหายไปแล้วนะคะ
.
ก่อนหน้านี้ ไม่ค่อยได้ไปว่ายน้ำแล้ว
เหตุผลหลักคือขี้เกียจเดินไกลๆ ตอนนี้มีจักรยานแล้ว อ้างไม่ได้ละ
แต่ก็ดีเหมือนกันจะได้ใช้ค่าสมาชิกให้มันคุ้มหน่อย
จ่ายแต่ไม่ไป บ้านรวยหรือไงอีนี่
.
อึดอัดพุงง่ะ

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

Going Solo in London #3

สวัสดีจ้า ขอเสียงหน่อย วู้ฮู้
ทำเป็นร่าเริงกลบเกลื่อน แง งานยังไม่เสร็จเลย
เดี๋ยวนี้นอนตีหนึ่งตีสอง ตื่นสิบโมงกว่าทุกวันเลย ทรุดโทรมอย่างมาก
อยู่ในห้องอุดอู้เหมือนหนูในรูตุ่น
กินอาหารแช่แข็งยัดใส่ไมโครเวฟแล้วอุ่น
มีใครได้ยินเสียงโหยหวนจากแดนไกลบ้างงง โฮๆๆๆ
......
วันที่สาม วันพุธที่หกมกรา ตื่นตั้งแต่เก้าโมงครึ่ง
ร่ำลาเพื่อนและพี่ๆป้าๆที่บ้านเรียบร้อยก็ขึ้นรถไฟใต้ดินสายเขียว ตรงจาก Ealing Broadway มาลง Tower Hill เช้านี้กะว่าจะไปลอนดอนทาวเวอร์ เสร็จแล้วก็ไปขึ้นรถไฟกลับยอร์กตอนบ่ายสองสิบห้า เดินทำเวลาสุดๆ
ลอนดอนทาวเวอร์ อะฮ้า มันก็คือสถานที่สุดดังที่มีคนเห็นผีของแอนน์ โบลีน เมียของเฮนรี่ที่แปดเดินอยู่บนหอคอยไง้ ใช้เป็นทั้งที่พักกษัตริย์ คุก แล้วก็โกดังเก็บชุดเกราะ เครื่องเพชร บลาๆๆ
ถึงแย้ว Tower of London มีหิมะขาวๆก็สวยไปอีกแบบนะ

ใหญ่โตเหมือนกัน เห็นแล้วนึกถึงวัดพระแก้ว แต่ของเขาเป็นอิฐทึมๆเยอะกว่า ก็เข้าใจว่าบ้านเมืองเขาอากาศหนาว คงจะสร้างให้โปร่งๆแบบของเราไม่ได้มั้ง นราจองตั๋วไว้ล่วงหน้าทางเน็ทแล้วค่ะ ค่าเข้า 13.50 ปอนด์ โคตรแพง เดินไปรับตั๋วเสร็จก็ลุยกันเล้ย
ตรงทางเข้ามีตาลุงยืนตรวจกระเป๋าผู้เข้าชมอยู่ นราแบกเป้ใส่เสื้อผ้าเข้าไปด้วยเขาก็เลยขอตรวจ ก็เข้าใจว่าต้องเข้มงวดเพราะเป็นพื้นที่ราชฐาน แต่แม่ง ควักเสื้อผ้ากรูออกมาหมดเลย ถ้ากางเกงในใช้แล้วหล่นออกมามรึงจะทำยังไง พอเจอสายชาร์จกล้องก็ถามใหญ่ว่านี่อะไรๆ ตื่นเต้นไปได้เด่อ ที่น่าเจ็บใจคือพอควักเสื้อผ้าออกมาเสร็จแล้วมันไม่เสือกเก็บให้ดิ ฟายยย จับยัดๆเป็นก้อนๆ แล้วผลักกระเป๋าเราไปอีกทาง กว่านราจะม้วนจะยัดกลับเข้าไปให้กระเป๋ามันรูดซิปปิดได้ก็ตั้งนาน
.
ข้างในจ้า
คนเยอะเหมือนกันนะ
เข้าไปแล้วก็นึกถึงว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนมันจะเป็นยังไงน้อ หินที่สร้างกำแพงนี่มันอยู่ตรงนี้มากี่ปีแล้วน้อ เกิดอะไรในนี้บ้าง ฮ่า ฟุ้งซ่านใช้ได้

เขาจะมีบันไดให้ขึ้นไปเดินดูบนกำแพงป้อมตามทาง ทะลุผ่านทาวเวอร์ต่างๆไปเรื่อยๆ จากตรงนี้มองเห็นสะพานนี่ด้วย โอ๊ยลืมชื่อไปแล้วอ่า แต่ที่ดีใจที่ได้เห็นก็เพราะว่ามันเป็นสะพานที่เขาถ่ายหนังเรื่อง เดอะมัมมี่ 2 ไง้ ฮ่าฮ่า โคตรไร้สาระเลย ตรงนี้เมื่อก่อนถือว่าเป็นวิวที่ดีที่สุด ห้องนอนของกษัตริย์ก็จะมองออกมาเห็นวิวริมแม่น้ำนี่แหละ

เห็นตึกแตงกวาด้วย วู้ว มันคืออะไรไม่รู้ จำได้ว่าเคยอ่านในรีดเดอร์ไดเจสต์
สวยดีค่ะ เห็นจากที่ไกลๆ
ที่ดังอีกอย่างของทาวเวอร์ออฟลอนดอนก็คือ กา ใช่แล้ว อีกา ดำๆ ก๊าๆ
เขาเรียก Ravens ไม่ใช่ Crows คิดว่าเพราะมันตัวใหญ่กว่าเยอะ จิกทีลูกตาหลุดแน่ กาที่นี่ปีกแหว่งค่ะ เขาตัดมันไม่ให้มันบินหนีไปที่อื่น
กาพวกนี้ไม่ได้มาอยู่ตามใจชอบนะคะ แต่เป็นกาที่รัฐบาลเลี้ยงไว้เลยแหละ เพราะมีตำนานว่าที่ลอนดอนทาวเวอร์ต้องมีอีกาอยู่เสมอ ไม่งั้นทั้งราชบัลลังก์และบ้านเมืองจะล่มสลาย อีกาต้องมีอยู่สิบตัวเสมอค่ะ และมีตำแหน่ง Ravenmaster สำหรับคนดูแลกาให้เป็นพิเศษเลยอีกด้วย
ประติมากรรมดุกดุ๋ยเหล็กหล่อ จำลองตำแหน่งนักรบเวลาออกศึกป้องกันปราสาท
ทำไมนรารู้สึกว่ามันน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้อ่า
ข้างในแต่ละหอ บางทีก็มีพวกหมวกเหล็ก หน้าไม้ให้ลองถือด้วยละ

จำชื่อหอคอยไม่ได้อ่ะ โฮๆ ขอโทษ มันผ่านมาหลายวันแล้ว แถมต้องรีบเดินแบบทำเวลาด้วย เพราะนัดเจอเพื่อนสมัยมัธยมไว้ตอนเที่ยงครึ่งค่ะ แต่จำได้ลางๆว่ามันใช้เป็นคุกเก่านะ ข้างในก็เป็นอิฐเก่าๆทึมๆเหมือนที่อื่นๆทั่วไป แต่ตามผนังยังมีลายมือนักโทษที่สลักอะไรไว้เยอะแยะ เขาก็รักษาเอาไว้ให้ดูนะ ส่วนใหญ่เป็นข้อความสลักชื่อตัวเองแล้วก็ข้อความเชิงศาสนา

สงสัยจังเอาเอาอะไรสลักหว่า ช้อนหรอ ลายเส้นคมกริบเชียว

นี่ White Tower ค่ะ
สัญลักษณ์อีกอย่างของลอนดอนทาวเวอร์
William the Conqueror สั่งสร้าง หินที่ใช้สร้างสั่งมาจากฝรั่งเศส ส่วนที่ได้ชื่อว่าเป็นไวท์ทาวเวอร์เพราะพระเจ้าเฮนรี่ที่สามสั่งให้กัดสีผนังหินด้านนอกทั้งหมดให้ขาวสวย ปัจจุบันเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงพวก Armoury ชุดเกราะคน เกราะม้า ชุดออกศึกของพระเจ้าเฮนรี่ที่แปด อุปกรณ์ต่อสู้ในสงคราม
จากพิพิธภัณฑ์นี้ทำให้เราได้รู้ว่า ตัวจริงของพระองค์ ทรงบึ้บบั้บมาก
จริงๆนราเข้าไป Jewellery House ด้วย แน่นอนห้ามถ่ายรูป
ออกมาตาพร่าพรายเดินไม่ตรงทางกันเลยทีเดียว
โอ้ยโหยย เพชร ทอง ล้วนๆ ปิ๊งปั๊งเปล่งปลั่งเต็มไปหมด
ข้างในจัดแสดงพวกมงกุฎ คฑา ดาบ เสื้อคลุมทองคำ
เพชรยอดมงกุฎเม็ดเท่าไข่ไก่ จริงๆไม่ได้อุปมา อุปลักษณ์ใดๆทั้งสิ้น
สมแล้วที่เขาบอกว่าประตูเซฟหนักข้างละสองตัน
.
ก่อนจะออก หิมะก็เริ่มลงบางๆ
แต่นราไม่ยอมกลับโดยไม่ได้เห็น Bloody Tower ร้อก
มันเป็นหอคอยที่ใช้ขังบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์เยอะแยะ ตายไปก็เยอะแยะ อย่าง Sir Walter Raleigh คนที่เป็นกวีก็โดนขังตั้ง 13 ปี ที่เขาบอกว่าถ้าคนนี้ไม่ตายก่อนนะเชคสเปียร์ไม่ได้เกิดหรอก
ริชาร์ดที่สามก็มีข่าวลือว่าคุมขังหลานที่มีสิทธิ์ในการขึ้นครองราชย์ไว้ที่นี่จนหลานตายไปตัวเองถึงได้ขึ้นครองราชย์แทน
Traitor's gate ประตูสำหรับนำตัวนักโทษเข้ามา
แต่ก่อนใช้สำหรับเป็นทางน้ำไหลสมัยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่หนึ่ง แต่ต่อมาก็กลายเป็นประตูรับนักโทษที่มาทางเรือผ่านแม่น้ำเทมส์ เห็นเขาว่าบางทีก็มีการเอาหัวนักโทษที่ตัดคอแล้วมาเสียบประจานบนเหล็กแหลมๆด้วย แอนน์ โบลีนผู้โด่งดังก็ผ่านประตูนี้มาเหมือนกัน ก่อนจะถูกประหารที่ Tower Green

ยังดูไม่ค่อยทั่วเลย แต่ต้องไปแล้วเพราะนัดกับเพื่อนไว้ นัดเจอกันที่ Tottenham Court Road เพื่อนบอกจะพาไปกินร้านเกาหลี แต่อุแม่เจ้าเอ๊ย โผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน ก็เจอแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ปกติลอนดอนหิมะไม่ตกไม่ใช่เรอะ

หิมะตกหนักมาก แถมเพื่อนมาช้าด้วย นราก็ยืนรอด้วยความกระวนกระวายใจ กว่าเพื่อนจะมาก็เกือบบ่าย สรุปมีเวลากินข้าวกันแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แทนที่จะได้ไปกินร้านเกาหลีก็กลายเป็นแมคโดนัลด์แทน แต่ก็ยังดีได้เจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอมานานนะ กินเสร็จนราก็รีบขึ้นรถไฟไปคิงส์ครอสทันที แต่แหมโว้ย หิมะตก รถไฟช้า รถไฟไม่วิ่งโว้ย กว่าจะไหวตัวทันเปลี่ยนสาย เวลาก็ลดน้อยลงทุกที
(จากตรงนี้ไปให้ตัดภาพเข้าโหมดสโลโมชั่น)
นราโผล่ขึ้นมาจากรถไฟใต้ดิน-นรามองหาชานชาลา-โอ้โน่ว รถไฟกรูไม่ได้อยู่คิงส์ครอส แต่มันอยู่เซนต์แพนคราส-นราวิ่งหาชานชาลา-เจอแล้วมีโลโก้รถบัสที่เราขึ้นขามาด้วย-นราเหลือบมองนาฬิกา ฉิบหายบ่ายสิบหกแล้ว รถออกบ่ายสิบห้า-นรากระโจนเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ ถามว่า "Excuse me, where is the train for Megabus passengers?"-เจ้าหน้าที่หันมาตอบ "อิ๊ทส์ ก๋อน"-It's gone มันไปแล้วโว้ยยย
แอร๊ยยย ตกรถไฟ นาทีเดียวมรึงก็ไม่รอหรอเนี่ย เครียด
สรุป ต้องร่อนเร่กลับไปหาเพื่อน ขอนอนอีกคืนเด่ะ แถมเสียตังค์ค่ารถไฟใหม่ 23 ปอนด์ ฮือๆๆ
นี่แหละเรื่องตื่นเต้นที่บอกค่ะ
.
ไหนๆก็ตกรถ ต้องอยู่อีกคืนแล้ว นราเลยไปที่ที่ยังไม่ได้ไปซะเลย
National History Museum ค่ะ ลงสถานี South Kensington บัตรรถไฟแบบใช้วันเดียวนี่เจอนราใช้แบบโคตรคุ้มอ่ะ 6.30 ปอนด์นี่ใช้จนบัตรเจ๊งไปรอบต้องไปขอให้เขาออกบัตรใหม่
วันนั้นเข้ามีลานไอซ์สเกตเปิดให้บริการด้วย แต่เราเล่นไม่เป็นขอดูเฉยๆแล้วกัน เห็นหนุ่มสาวจูงมือกันเล่นสเกต กระดี๊กระด๊า ทำเป็นหกล้ม อ๊าย ทับกันหวานชื่น ยึ่ย เห็นแล้วอยากเอาน้ำร้อนราดแม่ง (อิจฉาตาร้อน เป็นนิสัยที่ไม่ดีนะคะเด็กๆ Don't try this at home)
พิพิธภัณฑ์นี่เข้าฟรีไม่เสียเงินจ้า ยกเว้นส่วนที่เป็นนิทรรศการภาพถ่ายสัตว์ป่า

บอกตามตรง British Museum น่าสนใจกว่าเยอะ ที่นี่เขาเน้นพวกเกี่ยวกับโลก แผ่นดิน ระบบนิเวศน์อะไรทำนองนี้มากกว่า แต่ป๋าน่าจะชอบ มีพวกแร่อัญมณีเยอะแยะเลย นราก็ดูผ่านๆแหละเพราะไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ แต่คราวนี้เดินสบายหน่อยเพราะเอากระเป๋าไปฝากไว้แล้ว เสียไปอีกปอนด์ยี่สิบ เด่อ
.
นราชอบห้องเกี่ยวกับสัตว์มากฝ่า
ห้องแรกเป็นห้องนก นกสตัฟฟ์เยอะมาก บางตัวก็น่ากลัวดี แต่งานเขาทำดีมากนะคะ บางตัวเหมือนยังมีชีวิตอยู่เลย
ต่อไปเป็นห้องฟอสซิล ถึงบัดนี้นราก็ยังไม่รู้ว่าที่เขาโชว์ๆไว้อ่ามันของจริงหรือเปล่า เห็นติดป้ายไว้ว่าซื้อมาจากไหนเมื่อไหร่ด้วย ก็น่าจะเป็นของจริงละเนอะ โครงกระดูกใหญ่ๆนั่นเขาว่าเป็นโครงสล็อธโบราณค่ะ ใหญ่ค่อดๆ
ทำไม้ทำไมเวลาเข้าพิพิธภัณฑ์ นราเข้าผิดด้านทุกทีเลยให้ตายเถอะ เดินมาเรื่อยๆถึงรู้ว่า อ่อ ข้างหน้ามันอยู่ตรงนี้นี่เอง โถงสวยมากกกก มีโครงกระดูกไดโนเสาร์คอยาวตามแบบฉบับพิพิธภัณฑ์ทั่วไป
แต่นราประทับใจกับโถงจริงๆ ศิลปกรรมการก่อสร้างนราไม่รู้หรอกเขาเรียกว่าอะไร แต่สวยจังเลย ใหญ่โตอลังการมาก ยิ่งตรงบันไดทอดขึ้นไปชั้นสองนะแจ่มสุดๆ เสียดายถ่ายรูปมาไม่ได้ ติดอีญี่ปุ่น แม่งถ่ายกันอยู่นั่นน่ะไม่เลิกไม่รา นราเลยช่างมันไว้มาใหม่ก็ได้
บนเพดานมีภาพวาดดอกไม้ต่างๆด้วยนะ แต่ละช่องไม่ซ้ำกันเลย ให้นราเอาเต๊นท์มากางนอนดูดอกไม้บนเพดานทั้งคืนยังได้เลยนะเนี่ย
ก่อนกลับเสียตังค์ซื้อโปสการ์ดมาอีกสี่ใบ สวยดี
และก่อนกลับก็แรดไปไชน่าทาวน์อีกแล้ว ฮ่า กินโฟร์ซีซั่นอีกแล้ว
แต่ไม่ได้กินเป็ดเพราะงบหมด เอาไปซื้อตั๋วหมดแล้ว กินแต่บะหมี่เกี๊ยวกุ้งอย่างเดียวแล้วกลับบ้านไปหาบี ซิกๆ ซิกๆ บีขาเพื่อนกลับมาแล้ว
เช้าวันต่อมาก็เหมือนรีเพลย์เทปใหม่ บีไปส่งที่สถานี กอดร่ำลากัน แล้วนราก็กลับสู่โลกใบเดิมที่ยอร์กค่ะ
...และตั้งแต่นั้นมา นราก็ไม่ได้ออกจากห้องอีกเลย โฮๆๆๆ...
.
ใบตอง
วันหลังพานราไปกินจิคะ
เมื่อไหร่จะได้ดูรูป
.
มุกกุ
โหยฟิตใหญ่เลยนะคะ ขอให้เพรียวสวยสมใจไวๆ อย่าลืมเอารูปให้ดูด้วย นราเองก็ผอมลงนิดหน่อย แต่เป็นผอมโทรมค่ะ ซิกๆ
.
แนนโกะ
รายงานยังอยู่ค่ะแต่ไม่รู้อยู่มุมไหนของบ้าน
เรื่องทิป นราก็ไม่รู้เหมือนกัน ทุกวันนี้ก็หน้าด้านไม่ให้ทิปไปเรื่อยๆค่ะ
.
มะแอ้
ไม่ต้องเสียใจไป เดี๋ยวอุ้ยเรียนจบกลับไปแล้วเราไปแรดที่ฮ่องกงด้วยกัน เดี๋ยวพาไปจับตูดมิกกี้เม้าส์นะ ช่วงนี้อุ้ยยุ่งมากๆเลย ขอโทษทีน้าไม่ได้โทรหา เดี๋ยวเคลียร์งานต้นเดือนนี้หมดแล้วจะโทรหาแน่ไม่ต้องห่วงจ้า
.
ตาหมู
ไม่อยากเม้นท์มั่งหรอไง

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

Going Solo in London #2

อัพบล็อกบ่อยเหมือนชีวิตไม่มีอะไรจะทำ
ซึ่งจริงๆก็มี แต่มันทำไม่ได้ เขียนไม่ออก สมองตาย
ตอนนี้สายตามีอาการแปลกๆ มันพร่าๆเบลอๆเวลามองคอม
กลัวม่านตาจะฉีกเหมือนอาจารย์รุ่นพี่ที่เขาเล่าให้ฟังจังอ่า
.
ม่ะ ต่อๆ วันนี้วันอังคารที่ห้ามกราค่ะ ตั้งใจว่าจะตื่นแต่เช้า โปรแกรมที่วางไว้คือไปสวนคิว แล้วก็สวนสัตว์ลอนดอน ต่อด้วยห้างแฮร์รอดตามคำบัญชามะแอ้ แต่ปรากฏเมื่อคืนเม้าท์แตก นอนดึก ตื่นมาก็เก้าโมงกว่าเกือบสิบโมง ลังเลอยู่นานว่าจะไปสวนคิวดีไหมน้อ ช่วงฤดูหนาวนี่สวนสัตว์มันปิดเร็วด้วยสิ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแล้ว แต่เอาเข้าจริงก็เสียดาย แวะไปจนได้
Kew Gardens เป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่เบ้งที่อยู่มานานกว่า 250 ปีแล้ว นราได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือเรื่องเถาวัลย์มหัศจรรย์ของเฮเลน เครสเวลล์ คิดไว้ว่าถ้ามาอังกฤษต้องมาให้ได้ แล้วก็สมใจเจ๊ นั่งรถไฟใต้ดินสายสีเขียวจากบ้านเพื่อนมาลงสถานีคิวการ์เดนท์ส เดินตรงไปอีกหน่อยก็ถึง ค่าเข้า 11 ปอนด์สำหรับนักเรียนค่ะ

เวิ้งว้างว่างเปล่า หิมะขาว ปกคลุมไปทั่วสวน ก็มันหน้าหนาวหนิต้นไม้ที่ไหนจะงอกให้ดู ต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบก็มีแต่พวกสนใหญ่ๆ ใหญ่โคตรๆเหมือนต้นไม้ยุคไดโนเสาร์ แต่นราทำใจแล้วละว่าหน้าหนาวมันคงไม่มีอะไรมาก เลยกะว่าจะเข้าเรือนกระจกให้หมดทุกหลังแทน หลังแรกที่เข้าไปเป็น Palm House เป็นเรือนกระจกสถาปัตยกรรมสมัยวิคตอเรียที่สร้างด้วยกระจกและเหล็กที่อยู่มาถึงทุกวันนี้ค่ะ ข้างในอุ่นๆดี รวบรวมพืชตระกูลปาล์ม มะพร้าว และพวกพืชเขตร้อนทั้งหลาย

ไม่ได้ถ่ายรูปมาเท่าไหร่นะพวกปาล์ม ไม่รู้จะถ่ายมาทำไม อยู่ไทยเห็นทุกวัน มีต้นกล้วยสองต้นกำลังออกเครือ อิเด็กฝรั่งวิ่งมาโกลาหลกันใหญ่ ร้องบอกพ่อมัน ลุ้กๆๆ บาน้าน่าๆๆ เกิดมาไม่เคยเห็นกล้วยเว้ย ตลกดี เป็นเพราะเราเห็นจนชินแล้วมั้ง ในเรือนปาล์มก็มีไม้ดอกประปราย ลูกสีแดงๆนี่เป็นต้นไม้ของทิเขต ส่วนเขียวๆมาจากแอฟริกามั้ง ไม่ก็ออสเตรเลีย รีบเดินทำเวลาน่ะเลยจำชื่อต้นไม้ไม่ค่อยได้ เสียดายอยู่เหมือนกัน ส่วนต้นไม้หงิกๆงอๆนั่นคือต้นโอ๊คที่เก่าแก่ที่สุดในสวนค่ะ อายุอานามประมาณสองร้อยกว่าปี
ถัดจากเรือนปาล์ม ก็เป็นเรือนกระจกเล็กๆชื่อ Evolution House มั้งนะ จำลองการเปลี่ยนแปลงของพืชตั้งแต่ยุคสร้างโลกถึงยุคไดโนเสาร์ เรียบๆไม่มีอะไรมาก เหมือนสวนจำลองแถวบ้านเศรษฐีอ่ะ ขาดแต่ตุ๊กตาอาแปะตกปลา มาเรือนกระจกหลังนี้ดีฝ่า Temperate House ใหญ่โตอลังการงานสร้างสุดโคตร เป็นเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ เขาโฆษณาไว้ว่างั้นนะ
ในนี้ดอกไม้ตระกูล Rhododendron หรือกุหลาบพันปีโคตรสวย บานเต็มต้นเป็นพุ่มใหญ่ๆ ขนาดมีไม่กี่สีนะ นี่ถ้ามาหน้าร้อนจะสวยขนาดไหนน้อ
เรือนนี้เขาแบ่งออกจากตรงกลางเป็นเรือนซ้ายขวา เดินง่ายดีไม่หลงทาง ดอกไม้สวยๆเยอะเลย ดอกสีชมพูนี่ก็อยากเห็นของจริงมานานแล้ว ดอกฟุกเชีย ไอ้ส้มๆจำไม่ได้ แต่ชอบลูกแดงๆนี่จัง เขาเรียก Tomato Tree หน้าตาเหมือนมะเขือเทศเปี๊ยบ ใบเหมือนมะอึก แต่ต้นเบอเริ่มเลย เขาว่ารสชาติคล้ายมะเขือเทศกับส้ม อาหย่อย กินได้

เหมือนโลกนี้เป็นของเราค่ะ นานๆทีจะเจอมนุษย์สักคน เจอพนักงานเล็มกิ่งต้นไม้ที่หน้าตาเหมือนแซ็ก แอฟรอนด้วย แต่ไม่ใช่สเป็กเลยไม่สนใจ ดูดอกไม้ดีฝ่า ตรงนี้จำได้ว่าเป็นต้นไม้จากโซนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ลืมหายใจกับพุ่มคามีเลียสีแดงกับชมพู ออยยยย สวยจังเลย มีความสุขมากมาย อยากอยู่ดูนานๆ แต่เวลาไม่อำนวยเล้ย รีบดูรีบเดินเพราะกลัวไปสวนสัตว์ไม่ทัน

ออกจากสวนคิวตอนประมาณเที่ยงครึ่งค่ะ ขึ้นรถใต้ดินไปเปลี่ยนเป็นสายสีดำ แล้วลงสถานี Camden Town ตอนอ่านในเว็บไซต์นะมันก็อธิบายว่าเดินไม่นาน ประมาณ 10 - 15 นาที ไอ้เราก็นึกว่าเดินเรื่อยๆ ลืมไปว่าฝรั่งประเทศนี้ชอบพูดให้เหมือนใกล้ เดินจริงๆโคตรไกลอ่ะ ป้ายบอกทางก็ไม่ค่อยมี ยังดีว่ามีป้ายรูปกอริลลาแขวนเป็นระยะเลยพอเดินไปถูกทาง ใครคิดจะเดินบอกเลยค่ะว่าไกลฉิบหาย ควรพกกระติกน้ำและข้าวสารอาหารแห้ง รวมทั้งเต้นท์และอุปกรณ์ก่อไฟไปด้วย
บ่นไปงั้นแหละ พอถึงก็กระดี๊กระด๊า
พนักงานใจดี เข้ามาบริการถึงที่ นราจองตั๋วทางเน็ทไว้แล้วเลยได้ราคาที่ถูกกว่าปอนด์นึง คนไม่ค่อยมีเหมือนเคย ก็แหงละสิหน้าหนาวนี่ฝ่า
ไปถึงเข้าอควาเรี่ยมก่อนเลย เป็นตึกเตี้ยๆมืดๆ ก็มีปลาแบบที่เขามีกันทั่วไปในตู้ปลาทั่วโลกอ่ะนะ แต่นราก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงชอบดู เหมือนก็จะดูอยู่ดี แต่มีปลาปิรันย่าด้วยนะ เป็นปลาหน้าตาบอกบุญไม่รับ ในรูปเป็นพันธุ์ Red Belly Piranhas ค่ะ ปลาพวกนี้ไม่ว่ายนะ มันลอยนิ่งๆอยู่ในน้ำ รออาหารมาแล้วค่อยพุ่งเข้าไปงาบ
.
ออกมาเจอบ้านกอริลลา เดินไปดูเห็นแต่หิมะกับของเล่นลิง เหอะๆ ทำใจไว้แล้วแหละว่าคงเห็นสัตว์ไม่มากเพราะมันหนาว ยังดีว่าเดินเข้าไปอีกด้านแล้วเจอห้องกระจก ขำพี่กอริฯท่านนี้มาก ท่านแบบว่านั่งชิลอยู่ในตะกร้าแล้วแดรกกล้วยแบบไม่แคร์สื่อ ข้างนอกมีลิงอะไรสักอย่าง มีลูกเล็กๆด้วย น่าร้ากอ่า เห็นลิงแล้วคิดถึงน้องชายแหะ ดูลูกลิงรูปแรกจิมีการช้อนตาสู้กล้องด้วย ส่วนลูกลิงรูปล่างน่าสงสาร มุดไปมุดมาโดนพ่อมันตบเหม่งไปที
นกกระทุงกำลังเปลี่ยนสีเลย จากขาวเป็นชมพู เพราะใกล้ฤดูผสมพันธุ์ แต่ที่ฮาปนสงสารคือ นกมันหนาว แล้วมันสั่นงั่กๆๆ ส่วนยีราฟนี่เป็นดาราดังค่ะ ชื่อเอลลิชมั้งถ้าจำไม่ผิดนะ ต้องเข้าไปดูในโรงเรือนข้างใน เพราะมันทนหนาวไม่ไหวเขาต้องย้ายมันเข้ามา ม้าลายกับโอคาปิก็เหมือนกัน แม้แต่เพนกวินยังไม่ค่อยว่ายน้ำเลย อุดตัวเองอยู่ในบ้านกับโพรงใต้ดิน เห็นเพนกวินก๊อต้องคิดถึงแม่ เพราะแม่ชอบเพนกวิน
ชอบๆๆๆ ตัวนาก มีเก้าตัว ร้องเจี๊ยบๆจิ๊บๆเหมือนนก ร้องไปสั่นงั่กๆไป น่าสงสาร พอเห็นคนมามองมันก็จะยืนสองขาแล้วมองหน้า ประมาณว่ามีอะไรให้กรูกินไหมๆๆๆ
ไอ้ตัวกลมๆสีเผือกที่มีแต่หูโผล่ออกมามันคือตัวกินมดอะไรสักอย่างค่ะ หน้ามันจะยาวๆ แต่นี่เขานอนหลับอยู่ โคตรขำ นี่ท่านอนเหรอเนี่ย เห็นแต่หูปุ๊ดออกมา นอนทับหัวตัวเอง
นรามาเพื่อดูไอ้ตัวนี้แหละ เมียร์แคท มันก็คือทีโมนเพื่อนพุมบ้าในเรื่องไลอ้อนคิงนั่นเอง ตัวจริงน่ารักกว่าเยอะ หน้าตามันเหมือนหมาเล็กๆ จมูกแหลมๆ ตอนจะถ่ายรูปนราเพิ่งกินช็อกโกแลตเสร็จ ก็กำห่อฟอยล์เอาไว้ในมือ แล้วมันคงได้ยินเสียงกรอบแกรบๆมั้ง วิ่งมาหากันใหญ่ มาแล้วยกสองขาหน้า น่ารักกกก อยากเอากลับบ้าน ที่ฮากว่านั้นคืออากาศมันหนาว ทางสวนสัตว์ก็เลยเอาไฟแดงๆอุ่นๆมาติดในบ้านมันให้ แล้วเมียร์แคทมันก็ยืนเด่อยู่อย่างนั้นทั้งวันแหละ ใต้ไฟแดงๆ ประมาณว่าอาบแดด
ยืนดูตัวนี้นานๆก็เห็นเหมือนที่เนชันแนลจีโอฯบอกไว้เลยว่าเมียร์แคทมันจะมียามเฝ้าฝูง จะมีตัวนึง (ไอ้อ้วนในรูปนี่แหละ) นั่งพุงย้อยอยู่บนคบไม้ ตัวอื่นก็กินก็เล่นกันไป ตัวนี้ก็จะล่อกแล่กๆตลอดเวลา
ลิงดำๆ คือลิงมาคาก มีลูกสี่ตัว โคตรซน
สวนสัตว์ไม่กว้างมาก นราเดินจนสวนสัตว์ปิดก็พอดีดูครบเกือบหมด เอาไว้คราวหน้าอากาศดีๆค่อยไปใหม่ จะได้เห็นกอริลลาเต็มๆซะที ก่อนกลับซื้อถุงมาใบนึงราคาหนึ่งปอนด์ เป็นถุงใส่ของธรรมดา กะเอาไว้ใส่ของตอนช็อปปิ้ง
.
ออกมาจากสวนสัตว์ก็เริ่มมืดแล้ว วันนี้สงสัยเดินเยอะเลยไม่ค่อยหนาว ออกจะอุ่นจนร้อนด้วยซ้ำ ป้ายต่อไป จอดที่ห้างแฮร์รอดส์ค่ะ นั่งสายสีน้ำเงินมาลง Knightsbridge ขึ้นมาปุ๊บเจอทันทีเลย คนไทยเยอะมาก ได้ยินเสียงภาษาไทยดังเชียว มีอีตาคนนึงนะ เจอเฮียตั้งแต่ในรถไฟ หัวเราะโคตรดัง แถมหัวเราะทุเรศด้วย แบบหัวเราะเสียงหมูอ่ะ ฮ่า ฮ่า เอิ่กๆๆๆ ฮ่าๆ เอิ่กๆๆ โคตรน่ารำคาญเลยให้ตาย แถมตอนไปช็อปก็บ่นอยู่นั่นน่ะ ทำไมคนไทยต้องมาแฮร์รอดส์ด้วยวะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย แต่มือแม่งหยิบไม่หยุดเลยของอ่ะ
เอ๊ะ กลายเป็นนินทาคนอื่นได้ไง สรุปว่านราได้ประเป๋าแฮร์รอดส์มาห้าใบค่ะ แฮะๆ ของแม่สองใบ แล้วอีกสามมาจากไหนไม่รู้ ตอนนั้นมันหมดสติไป ตื่นมาก็จ่ายตังแย้ว
.
ไหนๆก็ออกมาแล้ว ด้วยความซ่านราก็ร่อนต่อไปที่ Chinatown ลงสถานี Leicester Square หิวมากๆ ไส้กิ่วเลย เพราะไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า กินช็อกโกแลตไปแท่งเดียวกับน้ำนิดหน่อย พอดีนึกขึ้นได้ถึงเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงเป็ดโฟร์ซีซั่น เลยเอาซะหน่อย จะอร่อยอะไรนักหนา
นราสั่งบะหมี่เกี๊ยวกุ้งหนึ่งชาม แล้วก็เป็ดย่างผัดกับหน่อไม้ แพงนะจานตั้งหกปอนด์ครึ่ง จริงๆจะให้ดีต้องกินแบบที่ย่างครึ่งตัว แต่กินคนเดียวมันออกจะเยอะไปหน่อยแถมเกินงบด้วย ผลปรากฏว่าเป็ดก็อร่อยแหละ ตอนร้อนๆก็อร่อยมาก แต่ที่อร่อยจนน้ำตาจะร่วงคือเกี๊ยวกุ้ง อ่อยยยย กุ้งเป็นกุ้ง กัดไปเจอแต่กุ้ง ฮืออออ อร่อย มื้อนี้โดนไปสิบหกปอนด์ บวกทิปอีกปอนด์นิดๆ
.
หมดเวลา ต้องกลับแล้ว อยู่ดึกกลัวโดนปล้น ยิ่งสวยๆอยู่ด้วย
คืนนี้ลอนดอนหิมะตก คนลอนดอนตื่นเต้นกันใหญ่ พยายามจะลากนราไปถ่ายรูป เหอะๆ ตอนนี้ที่ยอร์กหิมะหนาท่วมข้อเท้าแล้วหละ นราไม่ตื่นเต้นอย่างยิ่ง
นี่ถ่ายที่หน้าบ้านกับบี เพื่อนที่ให้ไปนอนด้วย
เหลืออีกหนึ่งวันก็ต้องกลับไปเจอกับโลกแห่งความจริงที่ยอร์กแล้ว หนาว แถมงานยังไปไม่ถึงไหนอีก คิดแล้วเหนื่อย แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ มันมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในวันสุดท้ายนี่แหละ อยากรู้ต้องติดตามนะ อย่าลืมเมนท์ให้หนูด้วย ดีใจที่เห็นว่าเพื่อนๆติดตามบล็อกอยู่ค่ะ

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

Going Solo in London #1

มาแล้ว รีวิวฉายเดี่ยวในลอนดอน
ขออภัยที่ไม่ได้อัพบล็อกทันทีที่กลับมา มีการดองเล็กน้อย แต่กลับมาเหนื่อยมาก ไม่ไหวจริงๆค่ะ หิมะตกเยอะเลย แถมกลับมาแล้วยังลืมคีย์การ์ดไว้ในห้อง ต้องเดินลุยหิมะไปขอทำการ์ดใหม่อีก เบ๊อะบ๊ะจริงๆ
................
วันจันทร์ที่สี่มกรา นราตื่นอยู่จนถึงประมาณตีห้า ไม่ได้ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ แต่ปั่นงานให้ได้มากที่สุดทั้งคืน เพราะรู้ว่าไปลอนดอนไม่ได้ทำงานแน่ เอาหนังสือเรียนไปเล่ม แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้อ่านหรือเปล่า เมื่อเย็นวันก่อนโทรศัพท์ไปเรียกแท็กซี่ให้มารับตอนหกโมงสิบห้า มาตรงเวลาเป๊ะๆ นรามาถึงท่ารถตอนหกโมงครึ่งเอง ดูสภาพท่ารถ
ไปยืนรอรถคนเดียวตอนหกโมงครึ่ง โคตรน่ากลัวเลย ไม่มีคน นานๆมีรถผ่านที หนาวก็หนาว ยืนไปยืนมาเริ่มกลัว คิดว่าถ้ารถมันถลาเข้ามาจอดแล้วลากเราขึ้นรถไปจะทำไงวะเนี่ย จิตหลอนสักพักก็เข้าไปในเทสโก้เอ็กซ์เพรสที่อยู่ตรงนั้นเพื่อความอุ่นใจ ซื้อแซนด์วิชใส้แซลมอนรมควันกับน้ำเปล่ามาขวดนึง ประมาณเกือบเจ็ดโมงรถบัสของเมก้าบัสก็มา คันใหญ่เชียว ค่าตั๋วไปกลับสิบปอนด์เองค่ะ ถูกกว่ารถไฟห้าเท่าแน่ะ แต่มันต้องนั่งนานหน่อยเท่านั้นเอง
.
บนรถหนาวมาก เบาะนั่งตั้งตรงไปหน่อยนอนไม่ค่อยถนัด วันนั้นยังไม่หายดี นราก็ไอเป็นระยะๆ ไปจนถึงสถานีรถไฟ East Midlands Parkway ซึ่งเป็นที่ที่เราจะต้องเปลี่ยนจากรถบัสเป็นรถไฟเข้าลอนดอน ตอนแรกก็กลัวหลง กลัวขึ้นผิดคัน เห็นเค้าเดินไปไหนกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆก็ใจเสียตลอด แบบว่าอ้าว ไปไหนกันน่ะ เช้าวันจันทร์หนาวมาก มากๆ ขนาดฝรั่งยังยืนปากคอสั่นงั่กๆเลย
.
มาถึงคิงส์ครอส ลอนดอนประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง
สิ่งแรกที่ทำเมื่อมาถึง คือมองหาชานชาลา 9 3/4 ในเรื่องแฮร์รี พอตเตอร์ แต่หาไม่เจอหรอกเพราะตรงนั้นมันไม่ใช่คิงส์ครอส มันเป็นเซนต์แพนคราส อยู่ติดๆกันเหมือนเป็นสถานีเดียวกันเลย ข้างบนเป็นรถไฟภายในประเทศ ส่วนข้างล่างเป็นยูโรสตาร์ไปพวกประเทศใกล้ๆ
และแล้วนรากับเป้ใบมหึมาและกระเป๋าสะพายข้างใบเน่าอีกหนึ่งใบก็เริ่มร่อนทันที นราเดินไปถามตรงประชาสัมพันธ์ว่า จากสถานีนี่เดินไปบริติชมิวเซียมได้ไหม เจ๊ก็บอกว่าได้ เดินออกไปตามถนนนี้ๆๆๆนะ แล้วเลี้ยวนี้ๆๆๆ จะบ้าหรอกรูเพิ่งมา อธิบายเหมือนบ้านกรูอยู่ข้างสถานีไปได้
แล้วฝรั่งนี่นะไม่รู้เป็นยังไง ชอบบอกทางเหมือนเดินไปสามก้าวถึง นรานี่วนแล้ววนอีก เกือบหลงทางไปที ดีนะมองเห็นโบสถ์เลยเลี้ยวถูกซอย ไม่งั้นก็เดินเลยไปแล้ว เดินเยอะมาก ถามทางคนเขาไปเรื่อยๆ กระเป๋าโคตรหนักเลยอ่า เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องพึ่งพาแผนที่ขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนหลงทิศอย่างเราจะเดินถูกทางด้วย
.
ในที่สุดก็มาถึงบริติชมิวเซียมค่ะ
ตอนมาถึงก็คิดว่า เอ ทำไมมันเงียบจัง ประตูก็เล็กนิดเดียวเองไม่เห็นจะสมเป็นที่ท่องเที่ยวเลย มาอ๋อตอนเดินเสร็จว่า กรูเข้าผิดด้านนั่นเอง ตรงนั้นมันประตูหลัง
ข้างหน้าเป็นแบบนี้ ใหญ่อลังการมาก คนเยอะเลย
นราชอบนะ พิพิธภัณฑ์ อยากมีเวลาให้มากกว่านี้จะได้อ่านป้ายทุกอัน ค่อยๆเดินละเลียดดูของแต่ละชิ้นให้สบายอารมณ์หน่อย พอดีว่านัดเพื่อนคนที่จะไปค้างด้วยไว้ตอนบ่ายสาม เลยต้องทำเวลา ข้างในพิพิธภัณฑ์ใหญ่โตโอ่โถงดีค่ะ น่าตื่นเต้นชะมัด มีเก็บไว้ทุกอย่างตั้งแต่หนังสือโบราณ รูปสลัก ของสะสม บลาๆๆ สวยไปหมดเลย

ห้องแรกที่เข้าไปจำได้ว่าเป็นเหมือนนิทรรศการพิเศษ แต่ลืมไปแล้วอ่ะว่ามันเกี่ยวกับอะไร ในนั้นจัดแสดงพวกเสื้อผ้าของใช้ชาวอินูอิต เอสกิโม มีเสื้อกันฝนทำจากไส้แมวน้ำ เสื้อหนาวสองชั้นหนังวอลรัส อุปกรณ์การล่าต่างๆ มีของจากอเมริกาเหนือตอนตั้งรกราก อินเดียนแดง แล้วก็แอฟริกาด้วย

แต่ละโถงจะจัดแสดงต่างกันไป ส่วนใหญ่เน้นพวกวัฒนธรรมโบราณมั้ง ตั้งแต่มายา อัสซีเรียน บาบิโลเนียน โรมัน กรีก แอซเทค แต่นราชอบอียิปต์ที่ซู้ดดด เพิ่งได้ความรู้ใหม่ว่าก่อนที่จะมีการทำมัมมี่น่ะ เขาก็ฝังศพกันแบบธรรมดาๆ ฝังในทรายนั่นแหละ

มีมัมมี่ให้ดูเยอะมาก แต่พี่มัมมี่ท่านนี้ชนะเลิศ
โคตรน่ากลัว เพราะโครงร่างเป็นคนมากที่สุดมั้ง มัมมี่อื่นๆเขาจะพันรวบหมดทั้งตัว มีพี่คนนี้แหละพันซะเห็นเป็นรูปร่าง นิ้ว เท้า คอ หยึ่ย น่ากลัว แถมตรงคอยังเป็นริ้วๆเหมือนจะขาดมิขาดแหล่อีก

ดูมือจิ
มองลอดๆเข้าไประหว่างซอกผ้า เห็นเนื้อแห้งๆด้วยอ่า

จบจากพิพิธภัณฑ์ เป้าหมายถัดไปคือโคเวนท์การ์เดนท์
อันนี้ได้อิทธิพลมาจากคุณโน้ส อุดม เขาเคยเขียนไว้ในหนังสือว่า เป็นที่ที่คนจะมาชุมนุมกัน มีการแสดงเปิดหมวกเยอะ น่าสนใจดี นราก็เลยอยากจะไปเห็น ลุงยามใจดีชี้ทางให้ด้วย เดินตรงๆมาเรื่อยๆจากหน้าพิพิธภัณฑ์ประมาณสิบนาทีก็ถึงละ

คนพลุกพล่านมากมาย มองเข้าไปเห็นเหมือนเป็นตลาดวางแผงขายอะไรสักอย่างอยู่ข้างใน นราไปยืนรอสักพักก็เจอเพื่อน ดีใจจังเลย ไม่ได้เจอกันตั้งแต่เรียนจบแน่ะ เพื่อนนราเขามาโปรแกรมเวิร์คแอนด์สตัดดี้ ทำงานควบคู่ไปกับเรียนภาษาด้วย ชีวิตดูสบายๆน่าอิจฉามาก ทำงานร้านไทยก็ได้เงินสัปดาห์ละเกือบสองร้อย บ้านเขาอยู่ Ealing Broadway โซนสามของลอนดอน ค่อนข้างห่างจากกลางเมืองพอสมควร
เพื่อนบอกว่า เดี๋ยวพาไปไชน่าทาวน์ แล้วต้องกลับไปทำงานที่ร้านตอนห้าโมง นราก็เลยไม่ได้เดินให้ทั่วโคเวนท์การ์เดนท์เท่าไหร่ แต่วันนี้อาจจะเป็นเพราะอากาศหนาวก็ได้ ไม่เห็นค่อยมีคนออกมาเปิดหมวกให้ดูเลย มีแต่ตาคนนี้แหละมาเล่นอะไรให้ดูไม่รู้ คนมุงดูเยอะมาก

ฉ่างงงง
ไชน่าทาวน์ คนจีนบาน
ตกลงกรูอยู่เซี่ยงไฮ้ใช่ไหมเนี่ย
ไชน่าทาวน์เป็นเหมือนเมืองเล็กๆ ที่มีร้านอาหารประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ น่ากินทุกร้านเลย นราเห็นร้านโฟร์ซีซั่นอันแสนโด่งดังแล้วด้วย ไม่รู้ทำไมบอกจะมาลอนดอนมีแต่คนบอกให้ไปกินเป็ดย่างร้านนี้ อร่อยเทพมากมาย ในหนังสือคุณโน้สก็มีบอก มันอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ
เดินวนไปวนมากะเพื่อน หาอะไรกินกัน
สุดท้ายมาจบที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ชื่ออิคคิวซัง
เป็นร้านญี่ปุ่น ที่เด็กเสิร์ฟเป็นจีน เหอะๆ
นราสั่งชุดเบนโตะแซลมอนซาชิมิ เกือบสิบปอนด์ เพราะหิวมาก
พอสั่งไปแล้วรู้สึกเสียใจ เพราะเหลือบไปเห็นชามบะหมี่โต๊ะข้างๆ ชามใหญ่มาก สามารถซักเสื้อในกางเกงในในนั้นได้เลย รู้งี้สั่งบะหมี่ดีกว่า ชามใหญ่กินแล้วคงอิ่มเหมือนกัน ถูกกว่าด้วย
แต่พอของนรามาเสิร์ฟ มันก็ดูโอเคเหมือนกันนา
หมูทอดอาหย่อยมากเลย ปลาก็สดดี
เพื่อนใจดี ออกค่าข้าวให้ตั้งครึ่งนึงแน่ะ
จริงๆเขาจะออกให้หมดเลย แต่นราเกรงใจเพราะราคามันไม่ใช่ถูกๆ เลยบังคับหักคอขอช่วยจ่ายครึ่งนึงก็ยังดี สรุปมื้อนี้นราจ่ายไปห้าปอนด์ค่ะ
ระหว่างกินข้าว เพื่อนก็อบรมเรื่องการเดินทางในลอนดอน ประมาณว่าให้ระวังตัวด้วย เจอพวกกุ๊ยเข้าจะลำบาก อย่าออกไปเดินมืดๆคนเดียว จะไปต้องใส่หมวกปิดๆหน้า เดินท่าทางให้มั่นใจ อย่าลอกแลก มันจะรู้ว่าเป็นบ้านนอกเข้ากรุง เดี๋ยวมันเอามีดมาจี้ ตรงป้ายรถเมล์ก็ยังมีคนโดนเลย ทำเอานราผวาไปเหมือนกัน ไปลอนดอนสามวันนี่ เดินกุมกระเป๋าสะพายตลอด จริงๆนะเนี่ย
.
กินเสร็จ อิ่ม ไม่อยากออกมาข้างนอกเลย หนาว
นราอยากดูละครที่นี่จัง Queen's Theatre
ตอนนี้ทั้ง Phantom of the Opera กับ Les Miserables กำลังเล่น อยากดูมากมาย ติดใจเพลงประกอบละครเวทีของสองเรื่องนี้ค่ะ เพลงเพราะ แถมนักแสดงถ้าเป็น London Cast มันต้องสุดยอดความอลังการแน่ๆ ขนาดดูในยูทูปยังขนลุก ถ้าได้ดูของจริงจะขนาดไหนน้อ
แต่เห็นเพื่อนบอกว่าตั๋วแพง คนที่ไปมาแล้วบอกว่าจ่ายไปตั้งสี่สิบปอนด์ เอิ่ม เอาไว้คราวหน้าละกันนะจ๊ะ รอบนี้เที่ยวแบบยาจกก่อน
.
เพื่อนนราก็แสนดี บอกจะพาไปเดินแถว Oxford ประมาณว่ามีของขายเยอะ (แถมเพื่อนอีกคนบอกว่าแถวนั้นหนุ่มหล่อท่วมเลยด้วย) อ่ะก็เดินตามกันไป ครึ่งชั่วโมงผ่านไปทำไมยังวนอยู่ที่เดิมฟะ หันไปถามเพื่อนว่าตกลงแกอยู่ลอนดอนจริงเปล่าเนี่ย เดินๆอยู่มีหันมาถามทางนราด้วย จะบ้าเหรอ สุดท้ายก็เลยไม่ได้ไป ไปร้านไทยที่เพื่อนทำงานอยู่เลยแทน
อย่างที่บอกว่า นรากลัวรถไฟใต้ดินของลอนดอนมาก กลัวจะหลงน่ะไม่ใช่อะไร ก็มีสายสีโน้นสีนี้พาดกันไปพาดกันมาตั้งหลายเส้น ดูแล้วงง แต่พอเพื่อนค่อยๆอธิบายให้มนุษย์สมองเต่าอย่างเราเข้าใจก็พอสบายใจขึ้นบ้าง พอรถมาถึงนราก็ผิดคาดเล็กน้อย เพราะคิดว่ามันต้องใหม่เอี่ยม สะอาดโอ่โถงแน่เลย เพราะฝรั่งตัวใหญ่รถก็ต้องใหญ่ไปด้วย ปรากฏรถแม่งโคตรเล็ก เหมือนรถรับส่งคนแคระของสโนวไวท์ เบาะก็เล็ก เขรอะๆ แถมสายที่นั่งวันนั้นเป็นสายแดง Central Line วิ่งดุมาก โคตรโหด กึงกังๆๆ ถ้าหลับตาสามารถจินตนาการไปได้เลยว่าอยู่ระหว่างการแข่งขัน 4X4 กรังปรีซ์
.
เพื่อนพาไปทานข้าวที่ร้านไทยก่อนด้วย พี่ๆที่ร้านก็ใจดีกันนะ ดูแลนราเป็นอย่างดี แต่เพื่อนนราทำงานกะดึก เขาเลยไปส่งนราที่บ้านพักก่อน กลางคืนพอทุกคนกลับมาจากทำงานแล้วก็มาตั้งวงกินข้าวคุยกัน ทุกคนเป็นมิตรดีค่ะ แรกๆก็เกร็งๆ หลังๆก็สบายใจขึ้น นรานอนห้องเดียวกับป้าแรม เป็นคนอีสานที่ตลกมาก น่ารัก แถมใจดีด้วยละ โชคดีจริงๆเลยเรา อิอิ
แต่นราก็ไม่ได้มามือเปล่านะคะ มาอาศัยเขาทั้งที นราก็เอาขนมของฝากจากยอร์คเชียร์มาฝากเขาด้วย เป็นบิสกิตรวมรสกล่องใหญ่ กับขนมฟัดจ์เหนียวๆก้อนๆมาให้เพื่อนโดยเฉพาะอีกกล่อง
.
หวังว่าทุกคนคงจะสบายดีนะคะ
โปรดติดตามตอนสองของชีวิตในลอนดอนของนราต่อไป
ตอนสอง เดี๋ยวพาไปเที่ยวสวนพฤกษศาสตร์คิว กับสวนสัตว์ลอนดอนค่ะ
ป.ล. หนึ่ง ไม่ค่อยมีสาระอะไรหรอกนะ ถ้าจะมาอ่านว่าสถานที่นี้มีประวัติยังไง ไปยังไง อยู่ถนนอะไรละก็ไม่มีให้หรอกฮ่ะ ตัวเองยังจำไม่ได้เลย
ป.ล.สอง เป็นเพื่อนกัน ช่วยทักกันดีๆหน่อยนะคะ ไอ้ประเภท "เป็นไง หมดตัวยัง/ตายคาหอยัง/มีแฟนใหม่ยัง" เนี่ย ขอเถอะ เดี๋ยวแม่เลาะปากแหกเลย

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

A Day in Sheffield

วันนี้ตื่นแต่เช้า มีนัดไปเที่ยวเมืองเชฟฟิลด์กับเพื่อนๆ
ขึ้นรถไฟเที่ยวเก้าโมงกว่า ค่าตั๋ว 10.75 ปอนด์ นราทำบัตร 16-25Rail Card เพื่อใช้เป็นส่วนลดเวลาเดินทางโดยรถไฟด้วยเลยเสียไปอีก 26 ปอนด์ จนแต่เช้าเลยเรา
.
รถไฟวิ่งเงียบดี 50 นาทีก็ถึงแล้ว แต่เบาะตั้งตรงมากเมื่อยสุดๆ
ไปถึงสถานีรถไฟเมืองเชฟฟิลด์ตอนเกือบสิบโมงครึ่ง เชฟฟิลด์ต้อนรับด้วยสายฝนโปรยปราย เจริญ คนเพิ่งจะหายไข้หายหวัด ดันมาหัวเปียกอีกแล้ว ความประทับใจแรกกับเชฟฟิลด์ให้ความรู้สึกเหมือนเมืองนี้เป็นผู้หญิงเรียบๆที่พยายามจะทำตัวเองให้สวย มีตึกกำลังสร้างใหม่ให้เห็นเยอะแยะไปหมด
ออกจากสถานีมาก็เจอมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ฮัลลัมเลย

อุณหภูมิวันนี้ 2 องศาเซลเซียส
ใครอย่ามาบอกเชียวนะว่า โอ๊ย ไม่ติดลบหนิ ไม่หนาวหรอก
หนาวฉิบหายวายวอด บวกฝนตกด้วยก็ยิ่งหนาวเข้ากระเดื่องดำ
เมืองนี้มีปริมาณตึกสูงมากกว่ายอร์ก คนผิวสีก็เยอะกว่าด้วย
อาคารนี้สวยมาก เสียดายไม่ได้เข้าไป มันคือ National Gallery ค่ะ สถาปัตยกรรมแบบอะไรนราไม่รู้หรอก ลืมไปหมดแล้วที่เรียนมา แต่สวยมากเลย ดูแล้วคิดไปถึงบัคกิงแฮมพาเลซโน่นแน่ะ แต่อันนี้มันดูเขรอะๆหน่อย
ตอนถ่ายรูปสังเกตเห็นว่ามันมีชิงช้าสวรรค์อยู่ข้างหลัง เลยพากันเดินอ้อมไปดู
เขาเรียก The Sheffield Wheel ค่าขึ้นไปชมวิวราคานักเรียน คนละ 5 ปอนด์
ฝันไปเถอะย่ะ ไม่ได้กินเงินฉันหรอก นราเลยรอข้างล่าง แต่เพื่อนคนเยอรมันกับปากีฯขึ้นไปกันสองคน เขามีบริการถ่ายรูปให้ฟรีด้วย
ไอ้ชิงช้าสวรรค์นี่ มันฉลาด ทำเป็นแพคเกจสำหรับคู่สวีทด้วย มีแบบที่ขายพร้อมแชมเปญให้ขึ้นไปจิบกันสองคนด้วยนะ ห้าสิบปอนด์มั้ง
อากาศอึมครึม ถ่ายรูปออกมาไม่ค่อยสวยเลย เมฆหนาบังแสงแดดหมด ปกติก็ไม่ค่อยจะมีแย้มหน้าออกมาอยู่แล้ว
ต่อไปก็เดินมั่วไปจนเจอมหาวิหารของเขาค่ะ Sheffield Cathedral เทียบกับของยอร์กแล้วกระจิ๋วหลิวจังเลย ฮิฮิฮิ

หลังเล็ก แต่ข้างในสวยนะ สะอาดด้วย
มีกระจกสีสองสามบานโตๆ ต้นคริสต์มาสใหญ่ๆห้อยกุ๊งกิ๊งเต็มไปหมด
ในวิหารจะแบ่งเป็นโซนๆ นราก็ไม่รู้หรอกว่าส่วนไหนเขาใช้ทำอะไรกันบ้าง แต่รู้ว่าบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์มาก จนนราหลับไปงีบหนึ่ง นั่งหลับตรงม้านั่งยาวๆแบบในหนังอ่ะแหละ ใครไม่รู้คงคิดว่ากำลังภาวนา

ไปอ่านป้ายจารึกหลุมฝังศพมา ก็รู้สึกว่าคนสมัยก่อนนี่ ตายเร็วแฮะ
บางทีก็จารึกถึงลูกที่ตายไป อายุประมาณสิบเดือนถึงสิบเอ็ดขวบ ที่ตายตอนแก่ๆก็มีแค่อายุประมาณหกเจ็ดสิบ แต่เดินแล้วก็เสียวขาวาบๆเหมือนกันนะถ้าคิดว่าข้างล่างมีกระดูกเขานอนอยู่
.
จะว่าไป ขอบ่นหน่อยก็ดี ว่าไอ้กลุ่มที่ไปด้วยกันนี่ มันดูแผนที่กันประหลาดที่สุดในโลก
ได้แผนที่มา แทนที่จะเลาะไปตามถนนตรง City Centre เพื่อไปชมสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ พวกพิพิธภัณฑ์ ร้านค้า แกลเลอรี่อะไรแบบนี้ก่อน นี่เล่นฉีกขึ้นเหนือ ไม่มีห่านอะไรเลย เดินกันมั่วมาก ขึ้นเหนือไปดูแม่น้ำตื้นๆเห่ยๆสายนึง เดินกลับมา อ้อมโลกโดยไม่จำเป็น แล้วพอจะกลับเข้าเมืองมาดูพิพิธภัณฑ์ เขาก็ปิดกันหมดแล้ว กูจะบ้าตาย หนาวก็หนาว แล้วขากลับนะยังจะมีการเสนอแนะให้นั่งรถเมล์ไปเที่ยวทางใต้ด้วย แบบว่านั่งชมวิวไปเฉยๆอ่ะไม่ทำอะไร โดยที่ก็ไม่รู้หรอกว่าทางใต้มันมีอะไรมั่ง แต่ถึงมีมันก็มืดหมดแล้วนั่งไปจะเห็นอะไรวะ เสียเวลา
.
กลับเข้าเรื่อง
หลังจากไปอ้อมโลกมารอบนึง เพื่อนคนปากีฯเขาจะไปซื้ออาหารอิสลามกิน ไปๆมาๆก็เลยกินที่ร้านแขกกันหมด ชื่อร้าน Kebabish เจ้าของเป็นแขกขาวเตี้ยๆ หน้าไม่รับแขกอย่างแรง สีหน้าเหมือนไม่เคยรู้จักความสุขมาก่อนเลยในชีวิต

ไม่รู้จะกินอะไร ของทอดๆก็กินไม่ได้ แกงกระหรี่ก็มันย่องเชียว เลยสั่งชีสเบอร์เกอร์ไป 2.50 ปอนด์ สิ่งที่ได้มาคือ ขนมปังเบอร์เกอร์ และ เนื้อแผ่น จบ ไม่มีผัก ไม่มีซอส ไม่มีห่าเหวอะไรทั้งสิ้น ฟาย อย่างนี้กรูไปกินแมคโดนัลด์ดีกว่าไหมเนี่ย แล้วจะบอกว่ากินเสร็จสักพักท้องเสียด้วยแหละ
แต่อาหารอย่างอื่นเขาหน้าตาก็น่ากินดีนะ เพื่อนสั่งเคบับเนื้อแกะกับมันทอดมา โคตรน่ากินเลย เสียดายตอดไม่ได้เพราะยังไออยู่
.
จากนั้น วิถีแห่งความมั่วก็พาเราขึ้นรถเมล์มาลง Weston Park
มีพิพิธภัณฑ์ด้วย เข้าฟรี อยู่ในเขตมหาลัยเชฟฟีลด์

เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ เพิ่งสร้างเมื่อปี 2007 ตอนนี้เขากำลังมีนิทรรศการเรื่องแมลงอยู่ แต่หลักๆแล้วเขาจะจัดแสดงเรื่องประวัติของเมืองและชีวิตของผู้คนตั้งแต่สมัยเก่าก่อน
มีอยู่ตู้หนึ่ง เขาบอกว่าเป็นของที่กู้มาได้จากเรือหรือรถไฟนี่แหละ เป็นหีบใส่ข้าวของส่วนตัว ข้างในเป็นพวกอุปกรณ์สาวใช้ เห็นแล้วเหนื่อยแทน สาวใช้สมัยก่อนทำงานหนักมากค่ะ แค่อุปกรณ์ขัดเตาผิงอย่างเดียวก็เป็นสิบโลแล้วมั้ง แถมดำปื๋อเลย
วันนี้ได้เห็นกิ้งกือที่ใหญ่ที่สุดที่เคยเห็นมาในชีวิต
เคยเห็นกิ้งกือยักษ์ไหม ที่เวลาเอาไม้เขี่ยแล้วมันจะม้วนตัวเป็นเลขหนึ่งไทย เวลามันเดินจะเห็นขามันพริ้วเป็นระลอกสวยงามเหมือนจินตลีลาร่วมสมัย
ของบ้านเราเป็นสีแดงทับทิมสวยงาม เห็นแล้วพอทำใจได้
แต่กิ้งกืออังกฤษ สีดำสนิท กรี๊ด กิ้งกือนิโกร
ใหญ่มาก สูสีไส้กรอกบิ๊กไบท์ที่เซเว่นเลยอ่ะ ม้วนๆเอกเขนกเป็นรูปเพรทเซลของอานตี้ส์แอนน์ โอ๊ย สยอง เห็นแล้วขนหัวลุก


ประมาณสี่โมง ฟ้าก็มืด อุณหภูมิเหมือนจะลดลงอีก
นราเดินตามหาบัตรเติมเงินของเครือข่าย IDT มาตั้งแต่เช้า ไม่มีร้านไหนมีเลย เครื่องเสียแม่งทุกร้าน กำลังคิดว่าสงสัยพรุ่งนี้ต้องเข้าเมืองเพื่อไปซื้อซะละมั้ง ก็พอดีเลี้ยวเข้าซูเปอร์มาเก็ตชื่อสปาร์ เสือกมีซะงั้น ลั้นลามากมายไม่ต้องออกไปหนาววันพรุ่งนี้แล้ว เขาพยากรณ์ว่าพรุ่งนี้อากาศจะติดลบซะด้วย กลางคืนจะลบห้า ฉันขอนอนอยู่ห้อง เอาผ้าไปซักเตรียมไปลุยลอนดอนดีกว่าย่ะ
เชฟฟิลด์ตอนกลางคืนก็สวยดีนะ มีทางรถรางด้วย

อันนี้คงเป็นควันหลงปีใหม่ ติดไฟสวยเชียว
ชิงช้าสวรรค์ พอเปิดไฟแล้วดูดีขึ้นนะ ค่อยน่ามองหน่อย
แต่พอคิดถึงรายงานที่ค้างอยู่ก็หมดอารมณ์สุนทรีย์ทันที
สรุปความพึงพอใจ ยึดเอาความรู้สึกนราเป็นหลัก
เชฟฟิลด์เป็นเมืองเรียบๆนะ คล้ายๆยอร์ก แต่ตึกแม่งโคตรเยอะ
มันดูปนๆกันเละๆยังไงก็ไม่รู้ เหมือนไม่มีอะไรเด่นสักอย่างเลย
ก็เลยไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่
ก็ดีที่ได้มาเที่ยว แต่ให้มาอีกก็คงไม่เอาละ
นาฬิกาตรง National Gallery มองๆเหมือนบิ๊กเบนเลยแฮะ
บิ๊กเบนก็เห็นแล้ว ชิงช้าสวรรค์คล้ายๆ London Eye ก็เห็นแล้ว
ไม่ต้องไปดูที่ลอนดอนแล้วละ ไปที่อื่นดีกว่า กั่กๆ
เมื่อวานเพิ่งจองตั๋วไป Tower of London กับสวนสัตว์มา แล้วด้วยความชุ่ยตามสไตล์ ก็จองผิดวัน เปลี่ยนตั๋วไม่ได้ด้วย ฮ่าๆ เดือดร้อนต้องมาแก้ตารางกันใหม่ เซ็งตัวเองจริงๆ
แต่คราวนี้ นราต้องศึกษาประวัติความเป็นมาของ Tower หน่อยละ จะได้รู้ว่าเหตุการณ์อะไรมันเกิดขึ้นตรงไหนบ้าง ไม่งั้นไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เหมือนไปดูกองหินเปล่าๆ ไม่มีความหมาย
ตอนนี้กลัวเรื่องเดียว คือหลงทาง หลงทู้บใต้ดิน
กลับมา หมดสภาพ หมดแรง ไออีกแล้ว
ซื้อสตรอเบอร์รีทาร์ตมาสองชิ้น ทำลายหลักฐานเรียบร้อย
อา หย่อย ม้ากมาก หวานๆ เปรี้ยวๆ
ช่วงสี่ห้าวันนี้ ก็อ่านเอนทรี่นี้ไปก่อนนะคะ
นราไปลอนดอนวันจันทร์ถึงพุธ ก็คงไม่ได้อัพบล็อกเพราะไม่ได้เอาคอมไปด้วย หนักจะตายแถมไม่มีเน็ทอีก เอาไว้กลับมาจะมาโม้ให้ฟังนะ เป็นกำลังใจให้นราด้วย ขออย่าให้เจอคนไม่ดี ขออย่าให้ของหาย ขออย่าให้เงินหมดเร็ว ขอให้ไม่หลงทาง ขอให้อิ่มจังตังอยู่ครบด้วย
ไปนอนละค่ะ บิ้วๆ