วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

One Step Closer to England, Another Step Away from Home

Today and tomorrow are my last two days at work. I'm at Rangsit campus today to clean up my personal working pad, and tomorrow I will be at city campus to properly say goodbye to my colleagues and senior teachers. I am very excited about going back to England in 16 days, but in the same time I feel really sad that I have to leave all that I know since I was born behind for another three years. My gosh, I never realised time flies that fast. I'm torn between two feelings right now, and I am extremely sensitive these days. I can't listen to Michael Buble's Home without tears in my eyes (and that's the song they keep playing over and over in Charles). Watching the Little Mermaid will make me cry like a mad woman, especially when Aerial's dad lets her go to live on the land with her hubby. Basically, I can cry and be depressed just about everything that I can link to my family. My dad, my brother, and my sister went away to the north east of Thailand, so there were just me and my mum at home the last weekend. My gosh, I didn't know I love this woman this much. We barely ever said "I love you" to each other. I think I can partly blame it on Thai culture. We don't really express love and affection to each other, though I know some families like hugging and kissing. I feel awkward to hug or kiss them really, but I know I can now say "I miss you" more easily than before I left for my MA in English last year. I know she's gonna be very sad, and so am I. So am I. So the last Sunday, while my dad and siblings were away, I spent the whole day with my mum doing the chore. It seemed like forever since I handwashed my own clothes. And you know what, just listening to her advice about how long I should soak the clothes or how I should hang it outside in the sun was really comforting. I don't remember when was the last time we had a talk about house chores like this as I am a lazy person and will do everything to avoid it. And when I was out there, hanging clothes in the sun and feeling the sweat running down my forehead, I know how hard mum has worked to keep the table full of food, the house clean, and us children happy. The topic of me going abroad is still left unsaid between us, but occasionally she will ask me whether I have prepare everything for my trip already. I actually avoid it myself, because I know if we discuss about it any further, I will just end up being dramatic and cry my heart out. Some people said "you'll be sad only before you leave Bangkok. Once you're in England you will enjoy yourself so much you forget how much you have cried for your family". Well, I admit it, but not because I forget them so quickly, but because I don't see any points crying for something that is impossible. I can cry, but I won't be able to go home until next year no matter how hard I boohoo. So yeah I'm just gonna live my life, make my family proud, and get fucking wasted yeeeeeha! I have just started doing the laundry, and believe it or not, most of the stuff I brought back from England last year is still in the luggage HA HA. Yeah that should prove how sloppy I am. And thanks to my kitties, my luggage is now sprayed all over with their stinky liquid - so seems like I have a great job awaits. My working booth is now clean, just like before I trashed it. Man I feel empty. Better do something fun before I start feeling down again!
------------------------


วันนี้กับวันพรุ่งนี้เป็นวันทำงานสองวันสุดท้าย หลังจากวันพรุ่งนี้ไป นราก็จะไม่มาทำงานแล้วค่ะ เพราะจะต้องเตรียมตัวเดินทางแล้ว วันนี้มาที่วิทยาเขตรังสิต มาเก็บบู๊ธให้เรียบร้อยเพราะเราจะไม่ได้มาแล้ว ส่วนพรุ่งนี้ก็เข้ากล้วยน้ำไป ไปร่ำลาอาจารย์และเพื่อนๆก่อนหายหน้าหายตาไป เรากลับมาเขาจะจำเราได้เปล่าก็ไม่รู้


จริงๆแล้วนราตื่นเต้นนะ อีก 16 วันก็เดินทางแล้ว แต่ในขณะเดียวกันมันก็เศร้าจริงๆ ต้องจากบ้านจากครอบครัว จากทุกอย่างที่เรารู้จักมาตั้งแต่เกิดไปผจญภัยต่างแดนอีกแล้ว คราวนี้ตั้งสามปีด้วย ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลาผ่านไปได้เร็วจริงๆ ยังรู้สึกหมาดๆเหมือนเพิ่งกลับมาทำงานได้ไม่นานอยู่เลย (ก็ไม่นานจริงๆนะ 6 เดือนเอง) ช่วงนี้อารมณ์แปรปรวนค่ะ เหมือนข้างนอกฉาบหน้าไว้ด้วยความเฮฮาบ้าบอ ยิ้มตลอดตลกแดรกก็ยังได้ แต่ข้างในมันโบ๋ๆ มันโหวงเหวงยังไงบอกไม่ถูก แล้วจะอ่อนไหวเหลือเกิ๊นนน เพลง หนัง ภาพอะไรที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว การลาจาก พ่อแม่ ฟังไม่ได้ เห็นไม่ได้เลย เห็นทีไร ฟังทีไรก็น้ำตาไหลทุกที ขนาดดูลิตเติลเมอร์เมด ตอนที่พ่อของแอเรียลยอมให้ลูกสาวตามผู้ชายขึ้นไปอยู่บนบก ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเราเลยนะก็ยังดราม่าได้น่ะคิดดู


สุดสัปดาห์ที่แล้วคุณพ่อกับน้องสองคนไปอีสาน เหลือนรากับแม่สองคนอยู่บ้าน คืออยู่บ้านกันเฉยๆนะ ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่นรารู้สึกว่ารักแม่มากๆ ดีใจที่ได้อยู่กับแม่ เพราะปกติแม่จะงานเยอะ กลับบ้านค่ำๆแล้วก็ไม่ค่อยได้เจอกัน การบอกรักแม่เนี่ย นับครั้งได้ คือมันเขินนะ อันนี้ให้โทษประเพณีไทยเดิม คนสมัยก่อนเขาไม่กอดไม่จูบกันพร่ำเพรื่อหรอก เชื่อว่าคนไทยอีกหลายๆคนก็คงเป็นเหมือนกัน คือรู้ล่ะว่าบางครอบครัวเขาก็กอดกัน หอมกัน บอกรักกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เค้าเขิน เค้าอายนี่นา


อย่างหนึ่งที่ทำได้ง่ายขึ้นหลังจากกลับจากอังกฤษ คือบอกพ่อแม่ว่า คิดถึงป๋า คิดถึงแม่นะ เมื่อก่อนไม่พูดเลย รู้สึกสำนึกในบุญคุณพ่อแม่มากขึ้น รู้เลยว่าคนที่เราขาดไปจากชีวิตแล้วจะเป็นจะตายที่สุด ก็คือพ่อแม่นี่แหละ ไม่ใช่ผู้ชายที่ไหนทั้งสิ้น


เมื่อวันอาทิตย์แม่ลูกก็ซักผ้ากันทั้งวัน แล้วออกไปกินส้มตำตอนเย็นๆ นรานะไม่ได้ซักผ้าด้วยมือมานานกี่ปีแล้วก็ไม่รู้อ่ะ น่าจะห้าปีเห็นจะได้ เพราะพอย้ายมาบ้านที่อยู่ตอนนี้ก็มีเครื่องซักผ้าดีๆ เครื่องอบผ้าดีๆ ไม่เคยซักมืออีกเลย แต่ตอนที่ซักผ้าแล้วฟังแม่สอนว่า ซักผ้าต้องแช่นานแค่ไหน ควรจะตากยังไง นรารู้สึกสบายใจดียังไงก็ไม่รู้ คือเมื่อก่อนมักจะเป็นการด่า ฮ่า เพราะกว่าจะใช้ให้นังนี่ไปตากผ้าได้แต่ละทีเหมือนเข็นครกขึ้นคิลิมานจาโร แต่เดี๋ยวนี้มันอยากจะช่วยมากขึ้น ตากผ้าได้ไม่ต้องสั่ง แม่ก็พูดเพราะด้วย ชอบๆ ตอนที่ยืนตากผ้าอยู่กลางแดดแล้วเหงื่อไหลนี่เข้าใจเลยว่าที่ผ่านมาแม่ทำงานหนักแค่ไหนเพื่อให้เรามีข้าวกิน มีบ้านอยู่ ให้ลูกๆมีความสุขกัน


ทุกวันนี้เรื่องนรากำลังจะไปเรียนต่อเมืองนอก เราก็ไม่ค่อยพูดกันนะ ไม่ใช่อะไร เพราะกรูเองนี่แหละที่จะดราม่าใส่แม่ ตอนนี้พยายามแย็บๆให้แม่เคยชินกับเรื่องที่เราจะไม่อยู่อย่างน้อยหนึ่งปีก่อนกลับมาเยี่ยมบ้าน วันเดินทางจริงจะได้ไม่เศร้ามาก (อันนี้บอกตัวเอง)


มีคนเค้าบอกว่า "แหม จะเศร้าก็แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ เดี๋ยวไปอังกฤษแล้วก็ร่าเริงลั้นลาลืมพ่อลืมแม่หมด" อันนี้นรายอมรับในระดับหนึ่งนะ เพราะเป็นคนถือคติว่า จ๋อยไปก็ไลฟ์บอย ร้องไห้ไปก็ไม่ได้กลับบ้าน คร่ำครวญทุกวันก็ไม่ได้กลับ แล้วจะร้องให้ตาบวมเป็นลูกปิงปองไปทำไมอ้ะ เสียเวลา สู้ใช้ชีวิตอย่างสนุกแล้วมีเรื่องสนุกๆกลับไปเล่าให้ป๋าแม่ฟังดีกว่า แต่ที่แน่ๆ นราไม่ลืมพ่อแม่แน่นอน เพราะถ้าไม่มีพ่อแม่ ก็ไม่มีดาราจรัสแสงอย่างนาร่าสิจริงเปล่า ฮ่า


เมื่อวานเพิ่งเริ่มซักผ้าซักผ่อนเตรียมจัดกระเป๋า แล้วเชื่อหรือไม่ว่า เสื้อผ้าที่ดิฉันหอบใส่กระเป๋าเดินทางกลับมาจากอังกฤษปีที่แล้ว ส่วนใหญ่ยังแน่นิ่งอยู่ในนั้นเหมือนเดิม ฮ่าๆๆๆ เป็นงะเก๋มะ แถมแมวยังมาเยี่ยวใส่อีก ต้องล้างกันขนานใหญ่เลยค่ะ ส่วนบู๊ธตอนนี้ก็เกลี้ยงเกลาแล้ว รู้สึกเหงาๆยังไงไม่รู้น้อ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น