วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Cookin' Like A Biyatch: Veggie Stir-fry Egg Noodles

บล็อกติดเรท 18+ เนื้อหาไม่ค่อยมี มีแต่ภาษารุนแรงและมุกถ่อยๆเยอะมาก
Rated PG-13 for strong language and crude humour

ว่าจะอัพบล็อกให้มากกว่าหนึ่งครั้งต่อเดือน แล้วก็เหลวจนได้ เซ็งมากมายมหาศาล เวลามันก็มีอยู่หรอก แต่ไม่รู้จะอัพเรื่องอะไร เป็นสัญญาณเตือนว่าเรากำลังคุ้นเคยกับชีวิตที่นี่มากเกินไปจนเริ่มมองไม่เห็นความสวยงามแปลกใหม่ ไม่ได้การละๆ เดือนนี้นราจะพยายามอัพให้ได้มากกว่าหนึ่งนะคะ เพื่อ little Narasters ทั้งหลาย (ไมอ่ะ ทีเลดี้กาก้ายังมี little monsters ได้เลย)

ไหนๆก็อัพแล้ว ขออิชั้นนอกเรื่องเล่าประสบการณ์เจอมนุษย์เหยียดผิวเป็นครั้งแรกในอังกฤษหน่อยละกันนะ ถ้าเป็นเมื่อปีก่อนตอนอิชั้นย้ายมาเรียนที่อังกฤษใหม่ๆ อิชั้นคงตกใจตาเหลือกนมเนิมงี้สั่นขวัญแขวนกับความทรามของไอ้มนุษย์สายพันธุ์คอเคเซียนตัวนี้เป็นอย่างมาก แต่พอดีว่าอิชั้นได้จบหลักสูตรช่างแม่ง 101 มาด้วยนอกเหนือจากป.โท อิชั้นจึงจิตแข็งขึ้นพอสมควรค่ะ ไม่สนใจเท่าไหร่ ออกจะทุเรศสมเพชนิดหน่อยด้วยซ้ำไป

เรื่องก็คือ อิชั้นกำลังจ้ำเดินดุ่มๆจะไปซื้อของที่ร้านแถวบ้านที่ห่างออกไปประมาณสิบนาที พอดีก็สังเกตเห็นผู้ชายฝรั่งคนหนึ่ง อายุอานามก็ไม่น้อย น่าจะประมาณสี่สิบห้าสิบเห็นจะได้ ยืนทำไม้ทำมืออยู่ห่างออกไปประมาณหกช่วงตีนเหมือนกำลังไล่ใครอยู่ พอเดินเข้าไปใกล้ ไอ้นี่ก็สืบเท้าเข้ามาแล้วพูดว่า "Go home! We don't want you here!" ต๊าย ดอกมากกก ดิชั้นเลยทำไม่สนใจ เดินต่อไปเรื่อยๆไม่อยากเสียเวลาสนทนากับคนหยาบช้ายิ่งกว่าส้นตีนช้างสุรินทร์ที่โดนบังคับให้เข้ามาขออ้อยกินในกรุงเทพฯ แต่มันก็เดินตามมาตะโกนต่อ "Go home! x&#$@*%"

อยากจะบอกแม่งมาก ว่าเงินที่รัฐเอาไปทำสวัสดิการจ่ายให้มนุษย์ไร้น้ำยาจากพวกเมิง ส่วนหนึ่งก็มาจากเงินค่าเล่าเรียนที่นักเรียนต่างชาติหน้าเหลืองๆอย่างพวกกรูที่จ่ายปีละเป็นหมื่นเป็นแสนปอนด์นั่นแหละ น่าสมเพชเวทนาราวหมาติดขี้เรื้อนเป็นอย่างยิ่งกับไอ้พวกบัวใต้ขี้ตมพวกนี้ คิดว่าอังกฤษแสนจะเลอเลิศประเสริฐบริสุทธิ์และต่างชาติกำลังเข้ามาปนเปื้อนประเทศมัน ฟาย กรูไม่ใช่เชื้อราในถั่วเหลืองเฟ้ย

นอกเรื่องไปไกลมาก ที่จะบอกวันนี้คือ ตลอดสองเดือนที่ผ่านมากินแต่เส้นพาสต้า ขนมปัง นมเนย โอ่ยไม่ไหว ท้องจะผูก อาทิตย์ที่แล้วเพิ่งไปหม้อหุงข้าวมาจากอาร์กอส สนนราคา 12 ปอนด์กว่าๆ ทำให้สถานการณ์ชีวิตสมตุ้ยดีขึ้นเป็นอย่างมากค่ะ ตั้งแต่ได้หม้อหุงข้าวมา สมตุ้ยก็ทำกับข้าวเหมือนผีเข้า อร่อยด้วยไม่อยากจะบอก เมื่อก่อนตื่นมาได้กินแต่ซีเรียล นม ไข่เจียวแบบฝรั่งที่แบนๆ ใส่เนย ถั่วในซอสมะเขือเทศ เดี๋ยวนี้ซัดแหลกแต่อาหารหนัก แปลกดีนะอยู่ไทยแทบไม่ค่อยอยากจะกระดิกตัวทำ มานี่ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่คิดว่าจะทำได้ ทำแล้วแฟลตเมทมาขอกินด้วยอีกต่างหาก สดๆร้อนๆเพิ่งทำข้าวผัดอเมริกัน บะหมี่ผัดผักรวม ข้าวผัดผัก ข้าวต้มหมูสับถั่วแระญี่ปุ่น หมี่กรอบราดหน้า

วันนี้เลยอยากจะนำสูตรบะหมี่ผัดผักรวมมาฝาก เพราะ 1) มันง่ายมาก เสร็จภายในไม่เกินครึ่งชั่วโมง นับตอนเตรียมหั่นผักแล้วด้วยนะ และ 2) เผื่อเป็นประโยชน์กับใครที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองบ้างค่ะเผื่อนึกไม่ออกว่าอยากกินอะไร ถ้าขี้เกียจอ่านภาคภาษาอังกฤษ ให้ไถๆเมาส์ลงไปดูวิธีทำได้เลยจ้า

***************

I aimed to update my blog more than once a month and apparently, I failed. It's not that I was so busy I ain't got no time to do it, I just didn't know what to write! This is not good, as it is a sign of me losing interest in life here in England and no longer finding anything new or interesting anymore. Oh well, hopefully I'll be able to update it more often this month for my little Narasters (Lady GaGa has her little monsters, why can't I?)

Before I start blabbering about today's topic, let me talk about my first racist experience in England. Had this happened to me last year when I was still an innocent Asian girl moving to England for her study, I must have had been so shocked I could die because of this Caucasian from hell. Luckily, I also gained the skill of ignoring other than my MA, therefore this man didn't really bother me. To be honest, I think he was so pathetic I couldn't be bothered being upset.

So, I was minding my own business, walking to a groceries store when this guy who is about 40-50ish, standing not too far away, started to wave his arms in the air. When I walked closer, he approached me, shouting "Go home! We don't want you here!" What a fucker! Because I didn't want to mess with this kind of person, I just kept walking, but still he followed and shouted "Go home! x&#$@*%"

What this fucker probably didn't know was that it is us "yellow-monkey" Asian students who brought loads of money, say 10 000 GBP++, individually, here into England so that dickheads like this dude will get fed because he is a loser who truly believes that England is so prestigious and pure it shouldn't be contaminated with foreign people. What a pathetic douchebag. It's already 21st century and there he is, obsessed with in white supremacy from Hiter's era.

Ok. That was too much off topic already lol. What I wanted to say today is that I have been eating just pasta, bread, and milk for the whole first two months I live here. But finally, I managed to get one rice cooker from Argos for 12ish quid, not bad at all, and since then my life has been improving! After getting this rice cooker, I've been cooking like mad. Forget those breakfast cereals, milk, English omelettes, and beans in tomato sauce! Now I can cook loads of heavyweight food I always love eating: American fried-rice, stir-fry egg noodles, vegetable fried rice, boiled rice with pork and Japanese soy beans, and deep-fried egg noodles with vegetable sticky sauce etc.

What I wanna leave here on my blog today is the recipe of veggie stir-fry egg noodles because 1) it's so fucking easy to prepare and cook. All process takes less than 30 min and 2) it should be useful for those living overseas knowing not what to eat today!

ใส่อะไรบ้างยะเนี่ย:
What the hell should I have for this dish?

บะหมี่ไข่
Egg noodles - can be found at Morrisons

ผักอะไรก็ได้ อยากกินอะไรก็ใส่ไปเหอะ วันนี้สมตุ้ยคุ้ยตู้เจอเห็ด แตงซุกินี หน่อไม้กระป๋อง ผักฉ่อย กะถั่วงอก
whatever vegetables you can find in your fridge - mine has mushrooms, courgette, bamboo shit, I mean, shoots, pak choi, and beansprouts.

หนึ่ง หั่นผัก พวกหล่อนคงไม่กระเดือกกันเป็นต้นๆ เป็นดุ้นๆ ใช่ไหมยะ
Step one: chop all vegetables into bite-size pieces. You're not gonna swallow the whole veggie like that, are you?

สอง ใส่น้ำมันพืชในกระทะพอประมาณ ไม่ต้องมากเดี๋ยวเลี่ยน รอให้ร้อน
Step two: pour small amount of vegetable oil into the wok. Don't put in too much oil as the food will get too oily! Be patient and wait for the wok to heat up properly.


สาม โยนซุกินีที่หั่นแล้วลงไปผัดเป็นอันดับแรกค่ะ เพราะเป็นผักที่สุกยากที่สุดในบรรดาผักที่มี สมตุ้ยไม่ชอบเวลามันไม่สุก เหม็นเขียวลื่นๆยังไงบอกไม่ถูก
Step three: add courgettes, as they are the thickest and the most difficult veggie to be cooked of all that we have.


สี่ ไม่ต้องผัดนานมากนะยะเดี๋ยวเหี่ยวเกินกินไม่อร่อย กะเอาพอให้เริ่มสุกดูใสๆก็เทผักฉ่อยและเห็ดโครมตามลงไปเลย เติมซอสถั่วเหลือหรือเครื่องปรุงรสได้ตามใจ
Step four: Don't leave courgettes for too long as they will get too soggy and you will feel like eating wet sponge later. Add mushrooms and pak choi when courgettes look slightly cooked. Add some seasoning sauce (I used just thin soy sauce) as you wish.


ห้า พอเห็ดกับผักฉ่อยเริ่มสุกก็ตามด้วยถั่วงอก อย่ามาติชั้นนะยะที่ไม่เด็ดหาง ไม่มีอารมณ์ย่ะ
Step five: When pak choi and mushrooms look quite cooked, add beansprouts. Good Thai housewives will get rid of those long beansprouts' roots, but I don't do it because I am one lazy biyatch. Any questions?


หก ใส่หน่อไม้กระป๋องเป็นผักอย่างสุดท้ายเพราะมันสุกอยู่แล้ว ใครใช้ของสดคงต้องใส่เป็นอันดับแรกนะคะ คอยชิมและปรุงให้ถูกใจ น้ำผักออกมาเยอะบางทีแม่งจืด
Step six: Bamboo shoots will be the last to be added in as they are already cooked. Stir. Keep tasting to see if you like its taste already and add more soy sauce if you want.


เจ็ด ใส่เส้นบะหมี่ลงไปผัดรวมกับผัก บะหมี่ต้องสุกแล้วนะยะ ขืนใส่ดิบๆผงแป้งได้เต็มปาก พอเข้ากันดีแล้วเติมซอสหอยนางรม แต่พอดีว่าอีแฟลตเมทมังสวิรัติของอิชั้นมันอยากจะกินด้วย เลยใช้ซอสผัดแบบมังฯจ้ะ
Step seven: add noodles and stir fry a bit more till the noodles soak up all the flavour. After that add some oyster sauce. I used vegetarian stir-fry cause because I was cooking this for my vegetarian flatmate as well. Stir well!

แปด ย้ายไปใส่จาน แล้วเขมือบได้ตามอัธยาศัยโลด
Step eight: EAT IT.


See you when the sky is blue!
เจอกันใหม่บล็อกหน้าค่ะคุณๆ

ปล. อาจจะงงว่าทำไมในรูปมีไข่แต่ไม่เห็นใช้ คำตอบคือ ฉันลืมย่ะ เลยเอาไปทำไข่ดาวแทน
PS. if you're wondering why I didn't mention eggs that you see in the first pic, I forgot to put it in. Full stop.

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Grow 'Em Up!

เพิ่งสังเกตว่าตัวเองอัพบล็อกเดือนละครั้ง
อนาถจริงๆ
บล็อกอันเดียวยังไม่มีปัญญาจะดูแลเลย

สวัสดีมิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน ทั้งที่อยู่ในที่ลับและที่แจ้ง
หวังว่าจะสบายดีกันทุกท่านนะคะ
วันนี้นราเหนื่อยโคตร ไปมหาลัยนิวคาสเซิลมา
คือไอ้เมืองนี้นะ ความลาดชันของมันคือประมาณ 45 องศาลิบดาเหนือ
วันไหนที่ต้องเข้ามหาลัย จะต้องกินข้าวเช้าหนักๆ
ไม่งั้นตายห่า หิวกลางทาง ใช้พลังงานสูงมาก
มันไม่ได้ชันถึงขนาดโหยล้มกลิ้ง เดินทีต้องเอนตัวไปข้างหน้าพร้อมไม้เท้ากันลื่นอะไรปานนั้น ไม่ใช่พี่ติ๊กในเนวิเกเตอร์
แต่แค่เดินจากสถานีรถไฟไปมหาลัยก็เหนื่อยเหนียงสั่นแล้วค่ะ
.
นราเนี่ย เป็นคนรักธรรมชาติ รักต้นไม้
ชอบนะ แต่ปลูกอะไรไม่เคยขึ้น
ผลผลิตที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา คือถั่วเขียว
เคยหว่านเมล็ดไว้หลังบ้าน แป๊บเดียวขึ้นท่วม ฝักโตๆ เม็ดอวบๆ สันนิษฐานว่ารากมันคงชอนไชไปเจอศพหมาที่ฝังไว้ข้างใต้
.
บ้านที่นราอยู่ตอนนี้ ไม่มีดินค่ะ
คือมีสวนหลังบ้าน แต่มันเทปูนทับหมด
หมดโอกาสทำสวนดอกไม้อย่างที่เฝ้าฝัน
แต่แค่นี้หรือจะหยุดความพยายามของสมตุ้ย
ผู้ซึ่งไปติดแหง็กที่สนามบินอัมสเตอร์ดัมมาแล้วถึงหกวัน ฮ่าๆๆ
ด้วยความดันทุรัง ตอนนี้ก็มีต้นไม้ในครอบครองแล้วสามต้น
ต้นแรกเป็นแอฟริกันไวโอเล็ต ดอกซ้อนสีม่วง ซื้อมาจากร้านโฮมโปรตอนลดราคา ต้นละปอนด์เดียวเอง ตอนนี้ก็ยังออกดอกอยู่
แล้วก็มันฝรั่งค่ะ

เรื่องของเรื่อง ไม่ได้ตั้งใจจะปลูกมันฝรั่งเลย
แต่ตอนย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ เปิดตู้เก็บของในครัว
เจอมันฝรั่งสองถุงใหญ่ ที่แบบว่างอกระยางค์ออกมายั้ยเยี้ยเหมือนในหนังไซไฟยังไงยังงั้น
ประเด็นคือ คุณแฟลตเมทแกซื้อมาถุงนึง แล้วก็ไม่กิน ลืมเก็บไว้ในตู้ยังงั้น จนลืมไปว่าตัวเองซื้อมันฝรั่งมา แล้วก็เลยไปซื้อใหม่มาอีกถุงนึง ประสาทหลอนเข้าขั้น -_-"
นราเห็นลูกนึง ซึ่งก็คือลูกที่ปลูกอยู่ ณ ขณะนี้ มันมีความพยายามสูงมาก เห็นแล้วทึ่ง น้ำตาเอ่อกับความพยายามที่จะรอดชีวิตจากตู้กับข้าวมืดๆของมัน
คือมันพยายามงอกไอ้แท่งขาวๆของมันออกมานอกถุง แตกกิ่งก้านเพิ่มพื้นที่รับแสงสุดฤทธิ์
นราเห็นแล้วทนไม่ไหว สงสาร เลยเอามาใส่กระป๋องแช่น้ำ
สองวันเท่านั้น รากงอกออกมาบาน ฟูเต็มกระป๋อง
นราก็แช่เอาไว้อย่างนั้นแหละ จนมันเริ่มมีใบงอก เลยแวะชุดผักสวนครัวปลูกเองก็ได้ง่ายจังมาหนึ่งชุด จุดประสงค์คือจะเอาดินกับกระแป๋งมาปลูกมันฝรั่ง
ย้ายลงดินปุ๊บมันก็งอกได้งอกดี
ที่น่ากลัวคือ มันโตเร็วมาก เร็วจนสยอง
ก่อนนราไปบ้านเพื่อนที่ลีดส์ช่วงสุดสัปดาห์ มันมีใบหรอมแหรม กิ่งสูงประมาณสองนิ้ว
สี่วันต่อมา นรากลับบ้าน แม่ง ยาวประมาณเจ็ดนิ้ว สี่วันเมิงงอกห้านิ้วเหรอ นี่ถ้ากรูปลูกเมิงต่อ สักวันเมิงจะงอกยาวออกมาแดกกรูมั้ย
ปลูกมันฝรั่งนี่ อยากดูดอกค่ะ
.
เมล็ดที่มากับชุดผักสวนครัว คือถั่วลันเตาค่ะ
กะจะโยนทิ้งไปแล้ว ใจอ่อนอีกจนได้ เอามาแช่น้ำ
ประมาณสองวัน จากเมล็ดอบแห้งฟีบๆก็พองตัวเป็นเม็ดถั่วกลมๆ
เช่นกัน ปลูกถั่ว ก็อยากดูดอก ชอบดอกถั่วมากมาย จริงๆก็ชอบทั้งต้นมันอ่ะแหละ ชอบใบมัน กลมๆ น่ารักดี แล้วต้นมันจะมีหนวดๆด้วยอ่ะ น่าร้าก
หมายถึงถ้ามันรอดอ่ะนะ

แช่ไว้สามวัน พอรากเริ่มงอกเราก็ทำการคัดเลือกผู้เข้ารอบที่มีความอวบใหญ่ ยาว และแข็ง
คิดไรกันอยู่ ฉันหมายถึงรากและความแข็งแรงของเมล็ดย่ะ
เนื่องจากนราเอากระแป๋งไปปลูกมันฝรั่งแล้ว เลยต้องประยุกต์เอากระป๋องซุปแบบพลาสติกมาเจาะตูดทำเป็นบ่อเพาะอนุบาลไปก่อน
ถั่วนี่ก็โตไวใช่เล่น
ก่อนไปลีดส์ยังไม่มีอะไรโผล่พ้นดินเลย
สี่วันกลับมา มีต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว สูงประมาณสองนิ้ว
ดีใจจังเอ๊ยดีใจจัง

เวลาเห็นเมล็ดพืชที่เราปลูกมันงอกต้นอ่อนออกมา มันชื่นใจนะคะ
เห็นแล้วสบายใจ ภูมิใจ เหมือนทำอะไรสำเร็จสักอย่าง
ใบเล็กๆ ก้านเล็กๆ มันน่ารักไปหมดเลย
ไปซื้อต้นอ่อนมาปลูกเอง มันก็ไม่ได้อารมณ์เหมือนต้นไม้ที่เราเพาะเองจากเมล็ด
วันก่อนเข้าเมือง เห็นเขาเลหลังขายกล้าผัก มีมะเขือเทศต้นเล็กต้นละปอนด์
เกือบจะซื้อแล้วเชียว แต่พอคิดว่าแหม ถ้าเราได้เห็นเวลาเขางอก เวลาเขาแตกใบแท้เป็นครั้งแรก มันน่าจะมีความสุขกว่านี้นะ
รอให้ไปซื้อดินเกษตรราคาถุงละสามปอนด์กับกระถางดีๆมาซะก่อนเหอะ แม่จะปลูกให้เกลี้ยง
เอ่อ
อันที่จริงตอนนี้ก็แช่เม็ดฟักทองเอาไว้แล้วหละ ฮ่าๆ
ที่จะปลูกยังไม่มีเลย หาเรื่องจริงๆ
แต่คงดูไปก่อนว่ามันจะงอกมั้ย กะว่าถ้างอกแล้วเลี้ยงรอด จะเอาไปปลูกริมกำแพง มันมีซอกให้ฟักทองเลื้อยได้พอดีเลยยย
.
นราว่าปลูกต้นไม้แบบเพาะเอง มันทำให้เราใจเย็น อดทนมากขึ้นนะ
เพราะจะไปเร่งให้เขางอกเร็วๆก็ไม่ได้ เขาอยากงอกเขาก็งอกเอง เหมือนอีมันฝรั่งผีของนรานั่นไง
ตอนนี้ที่เล็งรอปลูกไว้ก็มีทานตะวัน ฟักทอง พริก มะเขือเทศ
อยากปลูกแตงกวากับซุกินี่ด้วยยยยย

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

England, England

กลับมาอีกแล้วกับบล็อกเชิงสร้างสรรค์แต่ไม่ประเทืองปัญญา อุดมไปด้วยคำสบถสาบานและความรู้สึกส่วนตัวแบบลำเอียงล้วนๆ หลังจากห่างหายไปเป็นเดือนๆ
ก็รู้ว่าไม่มีใครตามอ่านเท่าไหร่ แต่การบันทึกบล็อกส่วนตัวนี่มีประโยชน์กว่าที่คิดนะคะ
ก่อนจะมาอังกฤษ ก็อาศัยบล็อกเก่าๆของตัวเองนี่แหละ เป็นแนวการทำเรื่องขอวีซ่าและงานเอกสารต่างๆ เพราะมันนานจนลืมไปหมดแล้วว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง
.
ขณะที่กำลังบ่นบ้ากระพือบินอยู่นี้
สมตุ้ยก็นั่งหงิกงอด้วยความหนาวอยู่ที่ประเทศอังกฤษแล้วค่ะ
มาถึงอังกฤษได้ประมาณเกือบเดือนแล้ว อีกห้าวันก็จะครบรอบเดือนแรกของการใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษ
รอบนี้มีแต่ปัญหาล้วนๆ ถาโถมเข้ามาให้เราได้วิ่งวุ่นราวกับนังเรยาไล่ตามจับผัวชาวบ้านก็ไม่ปาน
เริ่มจากเครื่องแบล็กเบอร์รีที่เอามาจากไทย พอเอาซิมอังกฤษใส่ก็มีปัญหาว่าเครื่องมันลิงค์ผ่านเน็ทเวิร์กไทย ทำให้แทนที่จะได้ส่งข้อความฟรีตามโปรโมชั่น สมตุ้ยก็โดนชาร์จไปดอกละ 20 เพนซ์ซะงั้น
ตามมาด้วยเรื่องเงินๆทองๆกับมหาลัยนิวคาสเซิล คือ มันเรียกเก็บตังค์เพิ่มจากที่เขียนไว้ เป็นจำนวนไม่มากไม่น้อย คือแค่สามพันกว่าปอนด์
เงินที่ผู้สนับสนุนการศึกษาอย่างเป็นทางการของสมตุุ้ยมอบให้มา คือหมื่นปอนด์ สำหรับการศึกษาในปีแรกของเรา แต่พอจะเอาไปจ่าย มหาลัยสาลิกาดงก็บอกว่า ตอนนี้ยังไม่เริ่มปีการศึกษาใหม่ เพราะยังเป็นเทอมซัมเมอร์อยู่ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสามพันปอนด์
ส่วนไอ้หมื่นปอนน่ะ เอาไว้จ่ายปีการศึกษาหน้า เป็นไงละงานเข้าเลยกู
นี่ยังไม่รวมอีเมล์แบบไม่จบไม่สิ้น
ค่าใช้จ่ายที่งอกออกมาเรื่อยๆเหมือนถั่วงอก
จะเปิดบัญชีกับธนาคารก็ไม่ได้อีก เพราะต้องรอบิลค่าน้ำที่มีชื่อเราอยู่ด้วย เพื่อยืนยันว่ากรูไม่ใช่กะเหรี่ยงอาศัยนอนตามใต้สะพานนะจ๊ะ ซึ่ง ณ บัดนี้มันยังไม่มา
สมตุ้ยก็ทำตัวเป็นเศรษฐีใหม่ กระเตงเงินเป็นฟ่อน
วันก่อนได้ทำการสำแดงความร่ำรวยของเศรษฐีเมืองไทยให้ฝรั่งได้รับรู้ คือเข้าธนาคาร จะไปจ่ายเงินค่าเช่าบ้าน ซึ่งเป็นก้อนใหญ่ สองพันกว่าปอนด์
ปรากฏโอนเงินจากบัตรไทยไม่ได้ นังสมตุ้ยเลยเดินไปกดเอทีเอ็มออกมาทีละ 400 ปอนด์เต็มพิกัดวงเงินของมัน กดอยู่หกรอบจนครบ
กดเสร็จตัวงี้เบาาา สบายยย หนังงี้ลอกร่วงเป็นแผ่นๆ กรอบเค็มเหมือนแคบหมูเชียว
แต่ประเด็นคือ แม่งเสือกออกมาแต่แบงค์สิบ
เดินมาดมั่นกลับเข้าไปในแบงค์ ฟาดตั้งเงินจำนวน 240 ใบดัง ตึ้มมมม ลงบนเคาน์เตอร์ต่อหน้าพนักงานรูปหล่อ
แหม่ อยากถ่ายรูปสีหน้าพ่อประคุณตอนเห็นเงินมาให้ดูกันจริงๆ
เป็นไง เจอเศรษฐีไทย ซึมไปเลย
.


ตอนนี้อากาศยังหนาวอยู่สำหรับกะเหรี่ยงกรุงเทพอย่างนรา แต่ฝรั่งบ่นกันว่าร้อน
อยู่มาสักสองสัปดาห์นราก็เริ่มทนได้นะ แต่มาวันแรกๆนี่ห่อตัวเองหนากว่าแหนมป้าย่นอีก ใส่ถุงเท้าสองชั้น เสื้อสี่ชั้น อยากจะใส่ถุงมือด้วย แต่กลัวเขาหาว่าบ้าเลยต้องทนหนาว
ดอกไม้กำลังบานสวย
นรานี่มีเวรมีกรรม ไม่เคยได้ทันเห็นตอนดอกแดฟโฟดิลมันบานทั่วเมืองเลย
ถ้ายังจำกันได้ ปีที่แล้วก็ไปติดแหง็กอยู่ที่สนามบินอัมสเตอร์ดัมหกวัน กลับมาถึงดอกไม้แม่งเหี่ยวหมด รอบนี้มาถึงก็ไม่เหลือแล้ว แดฟโฟดิล แต่ยังดีว่าดอกแอปเปิลกำลังบาน ดอกหน้าแมว ทิวลิป วิสทีเรีย กำลังสวยค่ะ
เห็นแล้วคิดถึงครอบครัว อยากให้มาเห็นด้วยกัน


สัปดาห์แรกที่มาถึง ไปเริงร่าอยู่ที่เชลท์นั่มกับกลอสเตอร์ก่อน
ได้ไปสวนดอกไม้ Hidcote ที่มันสำคัญยังไงก็จำไม่ได้ แต่ดอกไม้สวย
ฝรั่งก็แบกตะกร้าปิกนิกไปนั่งกินกันใต้ร่มไม้ โรแมนติกมากๆ
แต่ต้องระวังแม่ไก่ที่เขาปล่อยเดินแถวนั้น
ไก่อังกฤษเป็นไก่มีความมั่นใจในตัวเองสูง
ไม่กลัวคน ขนมในมือเมิงคือของกรู
หลักการเดียวกันนี้ใช้ได้กับนกพิราบเช่นกัน
ได้ไปเดินบนเขา ดูทุ่งดอกบลูเบลล์บานเป็นสีม่วงเต็มไปหมด
อากาศอังกฤษยังเป็นกลิ่นเดิมแบบที่เราจำได้
คือหอม หวาน สะอาด อวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้จางๆ
แล้วก็ไป Cotswold มา มันเป็นหมู่บ้านที่ก่อด้วยหินสีน้ำผึ้ง เอกลักษณ์ของคอทสว็อลด์เค้า แพงหูแหกกันเลยทีเดียว


นราไปทันเทศกาลอีสเตอร์ของเขาพอดี เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก
ได้ไข่ช็อกโกแลตมาสองใบโตๆ ชื่นใจจริงๆ
.
ข้อคิดวันนี้
ไปอยู่อังกฤษ ต้องกินให้เร็วๆ เร็วๆ
คนอังกฤษนั้น สันนิษฐานว่ามีฟัน 64 ซี่ และทั้งหมดทำงานในระบบเดียวกับเลื่อยไฟฟ้า
แม่งแดรกกันเร็วฉิบหาย
นราเป็นคนกินช้า เคี้ยวช้ามาแต่ชาติปางก่อน
เวลาไปทานข้าวกับครอบครัวเพื่อน อายยยยยที่สุดเวลาที่เขาทานกันเสร็จหมดแล้วต้องนั่งรอเราตามมารยาท
นึกสภาพเวลากินข้าวแล้วมีคนหกเจ็ดคนนั่งมอง รอกินของหวาน แต่กินไม่ได้เพราะเรายังไม่เสร็จของคาว
อึดอัดสุดๆ ให้ตาย

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

One Step Closer to England, Another Step Away from Home

Today and tomorrow are my last two days at work. I'm at Rangsit campus today to clean up my personal working pad, and tomorrow I will be at city campus to properly say goodbye to my colleagues and senior teachers. I am very excited about going back to England in 16 days, but in the same time I feel really sad that I have to leave all that I know since I was born behind for another three years. My gosh, I never realised time flies that fast. I'm torn between two feelings right now, and I am extremely sensitive these days. I can't listen to Michael Buble's Home without tears in my eyes (and that's the song they keep playing over and over in Charles). Watching the Little Mermaid will make me cry like a mad woman, especially when Aerial's dad lets her go to live on the land with her hubby. Basically, I can cry and be depressed just about everything that I can link to my family. My dad, my brother, and my sister went away to the north east of Thailand, so there were just me and my mum at home the last weekend. My gosh, I didn't know I love this woman this much. We barely ever said "I love you" to each other. I think I can partly blame it on Thai culture. We don't really express love and affection to each other, though I know some families like hugging and kissing. I feel awkward to hug or kiss them really, but I know I can now say "I miss you" more easily than before I left for my MA in English last year. I know she's gonna be very sad, and so am I. So am I. So the last Sunday, while my dad and siblings were away, I spent the whole day with my mum doing the chore. It seemed like forever since I handwashed my own clothes. And you know what, just listening to her advice about how long I should soak the clothes or how I should hang it outside in the sun was really comforting. I don't remember when was the last time we had a talk about house chores like this as I am a lazy person and will do everything to avoid it. And when I was out there, hanging clothes in the sun and feeling the sweat running down my forehead, I know how hard mum has worked to keep the table full of food, the house clean, and us children happy. The topic of me going abroad is still left unsaid between us, but occasionally she will ask me whether I have prepare everything for my trip already. I actually avoid it myself, because I know if we discuss about it any further, I will just end up being dramatic and cry my heart out. Some people said "you'll be sad only before you leave Bangkok. Once you're in England you will enjoy yourself so much you forget how much you have cried for your family". Well, I admit it, but not because I forget them so quickly, but because I don't see any points crying for something that is impossible. I can cry, but I won't be able to go home until next year no matter how hard I boohoo. So yeah I'm just gonna live my life, make my family proud, and get fucking wasted yeeeeeha! I have just started doing the laundry, and believe it or not, most of the stuff I brought back from England last year is still in the luggage HA HA. Yeah that should prove how sloppy I am. And thanks to my kitties, my luggage is now sprayed all over with their stinky liquid - so seems like I have a great job awaits. My working booth is now clean, just like before I trashed it. Man I feel empty. Better do something fun before I start feeling down again!
------------------------


วันนี้กับวันพรุ่งนี้เป็นวันทำงานสองวันสุดท้าย หลังจากวันพรุ่งนี้ไป นราก็จะไม่มาทำงานแล้วค่ะ เพราะจะต้องเตรียมตัวเดินทางแล้ว วันนี้มาที่วิทยาเขตรังสิต มาเก็บบู๊ธให้เรียบร้อยเพราะเราจะไม่ได้มาแล้ว ส่วนพรุ่งนี้ก็เข้ากล้วยน้ำไป ไปร่ำลาอาจารย์และเพื่อนๆก่อนหายหน้าหายตาไป เรากลับมาเขาจะจำเราได้เปล่าก็ไม่รู้


จริงๆแล้วนราตื่นเต้นนะ อีก 16 วันก็เดินทางแล้ว แต่ในขณะเดียวกันมันก็เศร้าจริงๆ ต้องจากบ้านจากครอบครัว จากทุกอย่างที่เรารู้จักมาตั้งแต่เกิดไปผจญภัยต่างแดนอีกแล้ว คราวนี้ตั้งสามปีด้วย ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลาผ่านไปได้เร็วจริงๆ ยังรู้สึกหมาดๆเหมือนเพิ่งกลับมาทำงานได้ไม่นานอยู่เลย (ก็ไม่นานจริงๆนะ 6 เดือนเอง) ช่วงนี้อารมณ์แปรปรวนค่ะ เหมือนข้างนอกฉาบหน้าไว้ด้วยความเฮฮาบ้าบอ ยิ้มตลอดตลกแดรกก็ยังได้ แต่ข้างในมันโบ๋ๆ มันโหวงเหวงยังไงบอกไม่ถูก แล้วจะอ่อนไหวเหลือเกิ๊นนน เพลง หนัง ภาพอะไรที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว การลาจาก พ่อแม่ ฟังไม่ได้ เห็นไม่ได้เลย เห็นทีไร ฟังทีไรก็น้ำตาไหลทุกที ขนาดดูลิตเติลเมอร์เมด ตอนที่พ่อของแอเรียลยอมให้ลูกสาวตามผู้ชายขึ้นไปอยู่บนบก ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเราเลยนะก็ยังดราม่าได้น่ะคิดดู


สุดสัปดาห์ที่แล้วคุณพ่อกับน้องสองคนไปอีสาน เหลือนรากับแม่สองคนอยู่บ้าน คืออยู่บ้านกันเฉยๆนะ ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่นรารู้สึกว่ารักแม่มากๆ ดีใจที่ได้อยู่กับแม่ เพราะปกติแม่จะงานเยอะ กลับบ้านค่ำๆแล้วก็ไม่ค่อยได้เจอกัน การบอกรักแม่เนี่ย นับครั้งได้ คือมันเขินนะ อันนี้ให้โทษประเพณีไทยเดิม คนสมัยก่อนเขาไม่กอดไม่จูบกันพร่ำเพรื่อหรอก เชื่อว่าคนไทยอีกหลายๆคนก็คงเป็นเหมือนกัน คือรู้ล่ะว่าบางครอบครัวเขาก็กอดกัน หอมกัน บอกรักกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เค้าเขิน เค้าอายนี่นา


อย่างหนึ่งที่ทำได้ง่ายขึ้นหลังจากกลับจากอังกฤษ คือบอกพ่อแม่ว่า คิดถึงป๋า คิดถึงแม่นะ เมื่อก่อนไม่พูดเลย รู้สึกสำนึกในบุญคุณพ่อแม่มากขึ้น รู้เลยว่าคนที่เราขาดไปจากชีวิตแล้วจะเป็นจะตายที่สุด ก็คือพ่อแม่นี่แหละ ไม่ใช่ผู้ชายที่ไหนทั้งสิ้น


เมื่อวันอาทิตย์แม่ลูกก็ซักผ้ากันทั้งวัน แล้วออกไปกินส้มตำตอนเย็นๆ นรานะไม่ได้ซักผ้าด้วยมือมานานกี่ปีแล้วก็ไม่รู้อ่ะ น่าจะห้าปีเห็นจะได้ เพราะพอย้ายมาบ้านที่อยู่ตอนนี้ก็มีเครื่องซักผ้าดีๆ เครื่องอบผ้าดีๆ ไม่เคยซักมืออีกเลย แต่ตอนที่ซักผ้าแล้วฟังแม่สอนว่า ซักผ้าต้องแช่นานแค่ไหน ควรจะตากยังไง นรารู้สึกสบายใจดียังไงก็ไม่รู้ คือเมื่อก่อนมักจะเป็นการด่า ฮ่า เพราะกว่าจะใช้ให้นังนี่ไปตากผ้าได้แต่ละทีเหมือนเข็นครกขึ้นคิลิมานจาโร แต่เดี๋ยวนี้มันอยากจะช่วยมากขึ้น ตากผ้าได้ไม่ต้องสั่ง แม่ก็พูดเพราะด้วย ชอบๆ ตอนที่ยืนตากผ้าอยู่กลางแดดแล้วเหงื่อไหลนี่เข้าใจเลยว่าที่ผ่านมาแม่ทำงานหนักแค่ไหนเพื่อให้เรามีข้าวกิน มีบ้านอยู่ ให้ลูกๆมีความสุขกัน


ทุกวันนี้เรื่องนรากำลังจะไปเรียนต่อเมืองนอก เราก็ไม่ค่อยพูดกันนะ ไม่ใช่อะไร เพราะกรูเองนี่แหละที่จะดราม่าใส่แม่ ตอนนี้พยายามแย็บๆให้แม่เคยชินกับเรื่องที่เราจะไม่อยู่อย่างน้อยหนึ่งปีก่อนกลับมาเยี่ยมบ้าน วันเดินทางจริงจะได้ไม่เศร้ามาก (อันนี้บอกตัวเอง)


มีคนเค้าบอกว่า "แหม จะเศร้าก็แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ เดี๋ยวไปอังกฤษแล้วก็ร่าเริงลั้นลาลืมพ่อลืมแม่หมด" อันนี้นรายอมรับในระดับหนึ่งนะ เพราะเป็นคนถือคติว่า จ๋อยไปก็ไลฟ์บอย ร้องไห้ไปก็ไม่ได้กลับบ้าน คร่ำครวญทุกวันก็ไม่ได้กลับ แล้วจะร้องให้ตาบวมเป็นลูกปิงปองไปทำไมอ้ะ เสียเวลา สู้ใช้ชีวิตอย่างสนุกแล้วมีเรื่องสนุกๆกลับไปเล่าให้ป๋าแม่ฟังดีกว่า แต่ที่แน่ๆ นราไม่ลืมพ่อแม่แน่นอน เพราะถ้าไม่มีพ่อแม่ ก็ไม่มีดาราจรัสแสงอย่างนาร่าสิจริงเปล่า ฮ่า


เมื่อวานเพิ่งเริ่มซักผ้าซักผ่อนเตรียมจัดกระเป๋า แล้วเชื่อหรือไม่ว่า เสื้อผ้าที่ดิฉันหอบใส่กระเป๋าเดินทางกลับมาจากอังกฤษปีที่แล้ว ส่วนใหญ่ยังแน่นิ่งอยู่ในนั้นเหมือนเดิม ฮ่าๆๆๆ เป็นงะเก๋มะ แถมแมวยังมาเยี่ยวใส่อีก ต้องล้างกันขนานใหญ่เลยค่ะ ส่วนบู๊ธตอนนี้ก็เกลี้ยงเกลาแล้ว รู้สึกเหงาๆยังไงไม่รู้น้อ...