เปลี่ยนหัวบล็อกซะอล่างฉ่างปานนี้ น่าจะพอรู้แล้วว่าดิฉันจะเกรียนเรื่องอะไร ขอเกริ่นย้อนไปเมื่อสมัยอาณาจักรทวาราวดี เมื่อดิฉันยังรุ่นราวเอ๊าะๆสัก 18 ได้ ใช่ค่ะ ดิฉันไม่ได้เกิดมาหน้าแก่แบบนี้เลย ก็พอจะมีวัยเด็กกับเขาบ้างเหมือนกันค่ะ คือดิฉันจะบอกว่าตัวเองก็เคยเป็นวัยรุ่นที่โลกทั้งโลกเป็นสีชมพู สีกุหลาบห่าเหวอะไรก็ว่ากันไปเหมือนกัน ชีวิตทั้งหมดหมุนรอบความรัก เฝ้าฝันถึงเจ้าชายหนุ่มหล่อที่หน้าตาเหมือนนายแบบน้ำหอม Lacoste คนนั้นทุกวัน พอมีแฟนก็ลุ่มหลงทุ่มเท ชีวิตนี้กูไม่มีใครสำคัญเท่านี้อีกแล้ว ทะเลาะกับแฟนทีก็น้ำตาหยดน้ำตาย้อย หมดสิ้นแล้วความหวังอันสูงสุด เปิดเพลงเศร้าซ้ำไปซ้ำมา รีดผ้าไปร้องไห้ไป ดราม่ามั้ย
ตอนนี้เป็นอีป้าวัยชรา มาคิดย้อนไปก็ทั้งฮาทั้งอาย โอ๊ยทำไปได้หนอกู ช่วงนั้นพ่อแม่คงหนักใจมากที่มีลูกสาวเป็นนางเอกมิวสิกวิดีโอ แฟนมาหาทีก็รีบแล่นออกไปเจอกระดี๊กระด๊า ทะเลาะกันก็นั่งเหม่อลอยไม่กินข้าวปลา ประกอบกับช่วงเรียนจบโท ได้มีประสบการณ์ความรักที่จบไม่สวยเท่าไหร่ ทำให้ดิฉันกลายเป็นเกรียนแก่กร้านโลกยังเช่นทุกวันนี้ ขอออกตัวก่อนว่าดิฉันไม่ได้เป็นคนต่อต้านความรัก ความหวาน ความโรแมนติกนะคะ ก็เป็นคนชอบดอกไม้ ชอบของขวัญ ชอบเงินและทรัพย์สินมีค่าทุกประเภทเหมือนกัน แต่ตั้งแต่เล่นเฟซบุ๊กมา ก็ได้เห็นข้อความเกี่ยวกับความรักที่โพสท์กันเต็มหน้าจอมากมาย บางอันก็น่ารักดี แต่เห็นบางอันแล้วมันตะหงิดๆ ยกตัวอย่างเช่น "จะทำยังไงถ้าคนที่ทำให้เราหยุดร้องไห้ได้ คือคนที่ทำให้เราเสียน้ำตา" เป็นไงซึ้งมั้ย แม่งอ่านแล้วโดนนนน แต่ดิฉันอ่านแล้วคิดได้เป็นข้อๆดังนี้
1) ที่ต้องร้องไห้ ร้องเพราะอะไร ถ้าร้องเพราะงอนที่แฟนไปคอมเมนท์บนเฟซบุ๊กของเพื่อนผู้หญิงที่หล่อนไม่รู้จัก ก็ขอเชิญไปนอนกลางทางม้าลายให้รถเทศบาลเหยียบเสียนะคะ หรือถ้าร้องเพราะแฟนนอกใจไปคบชู้ หล่อนยังจะร้องไห้ให้เสียเกลือแร่เปล่าๆกับผู้ชายสันดานกล้วยกะทกรกพรรค์นี้อีกเหรอคะ ร้องน่ะร้องได้ ดิฉันเองก็ร้องบ่อยค่ะ แต่ร้องแล้วควรรู้จักหยุดด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปพึ่งพาให้ใครมาหยุดน้ำตาให้นะคะ หญิงไทยแข็งแรงค่ะ
2) โปรดพึงระลึกว่า เวลาหล่อนร้องไห้ ผู้ชายมันไม่มานั่งถามหรือโทรหาเสมอไปหรอกว่า เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม เผลอๆแม่งนั่งเล่นดอทเอหรือวินนิ่งอยู่ร้านหน้ามหาลัยสบายใจเชิ้บๆ ไม่ได้รู้เหนือรู้ใต้อะไรกับความโศกาของหล่อน เพราะฉะนั้นเงียบๆไว้แล้วรอเวลาเอาคืนหนักๆเลยดีกว่า
จุดประสงค์สำคัญของบล็อกเก่าแฝงเงาใหม่นี้ ไม่ได้เพื่อเอาไว้สนองความปากกรรไกรของดิฉันเพียงอย่างเดียว แต่อยากให้เป็นเบรคอันเล็กๆของหนุ่มสาวให้โรแมนซ์กันอย่างมีสติ เพราะส่วนตัวคิดว่าสเตตัส/คำคมหลายๆอันมันฟังดูดีมากๆ อ่านแล้วเคลิ้ม แต่มันแย้งได้ด้วยหลักความเป็นจริงบางอย่างจากชีวิตจริง ที่ไม่สามารถจะโรแมนติกกันได้อย่างเดียวตลอดไป อนึ่ง สเตตัส/คำคมที่ดิฉันยกมาจิกกัดในบล็อกนี้ หากเพื่อนคนใดเคยโพสท์มาก่อนโปรดอย่าเข้าใจผิดว่าดิฉันเอามาหลอกด่านะคะ ดิฉันโจมตีที่เนื้อหาสเตตัส/คำคม มิใช่ตัวบุคคล และต้องขอบคุณที่แบ่งปันสเตตัส/คำคม ให้ดิฉันเกิดไอเดียเอามาเกรียนในนี้ต่อไป
มาเริ่มกันเลยดีกว่า ข้อความต่อไปนี้ดิฉันหาที่มาอันเก่าไม่เจอ แต่น่าจะมาจากเฟซบุ๊ก จะสรุปโดยสั้นไว้ดังนี้:
คู่รักคู่หนึ่งขับมอเตอร์ไซค์ไปตามถนน โดยฝ่ายชายเป็นคนขับ และฝ่ายหญิงเป็นคนซ้อน สักพักหนึ่งฝ่ายหญิงรู้สึกว่ามอเตอร์ไซค์วิ่งเร็วมากจนน่ากลัว จึงบอกแฟนให้ขับช้าลงหน่อย แต่แฟนหนุ่มก็บอกว่า ขับเร็วๆแหละดีแล้ว สนุกดี อะไรทำนองนี้ สักพักฝ่ายชายก็ส่งหมวกกันน็อกให้แฟนสาวแล้วบอกว่าฝากใส่หน่อย เกะกะมองทางไม่เห็น ไม่นานหลังจากนั้นทั้งคู่ก็เบรกแตกแหกโค้งไปชนต้นไม้ โดยผู้ชายเสียชีวิต สรุปคือ มอไซค์เบรกแตก ผู้ชายไม่อยากให้แฟนตกใจจึงแกล้งบอกว่ากำลังซิ่งรถเล่น แล้วเสียสละหมวกกันน็อกให้แฟนด้วยความรัก ทำให้หญิงสาวรอดมาได้นั่นเองหากจำมาไม่หมดหรือไม่ถูกต้องนักต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่เอาล่ะ มาวิเคราะห์กันซิว่าทำไมเรื่องราวความรักความเสียสละสุดโรแมนติกเรื่องนี้ถึงได้เข้าข่ายโรแมนซ์ที่สวยแต่แดรกไม่ได้
1) ริจะขี่มอเตอร์ไซค์ แต่ไม่รู้ว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินอย่างเบรคแตกต้องทำยังไง มอเตอร์ไซค์นะคะไม่ใช่จักรยานตราจระเข้ จะได้เอาเท้าลงไปแถ่ดๆๆแทนเบรกได้เวลามันวิ่งเร็วเกิน จะขับรถขี่ราก็ควรจะขับ "เป็น" ไม่ใช่ขับ "ได้" อย่างเดียว แถมการที่รับคนอื่นขึ้นมาซ้อนยิ่งจะเพิ่มความรับผิดชอบมากขึ้นไปอีกด้วย ไปหาอ่านเองนะเรื่องทำยังไงเวลามอไซค์เสียการควบคุม
2) "...แล้วส่งหมวกกันน็อกให้หญิงสาว..." นั่นหมายความได้สองอย่าง หนึ่งคือ มีหมวกกันน็อก แต่ไม่ใส่ทั้งคู่ ซึ่งเป็นนิสัยที่เฮงซวยมาก หรือที่เฮงซวยกว่านั้นคือ ไอ้ผู้ชายเป็นคนใส่หมวก แล้วให้ผู้หญิงนั่งหัวเปลือยลุ่นๆท้าแดดลมและขอบกั้นถนน ถ้าผู้ชายมันเป็นห่วงผู้หญิงจริง มันต้องเอาหมวกให้ผู้หญิงใส่ตั้งแต่ก่อนออกรถแล้วโว้ย คนขี่มอไซค์ออกไปซื้อโจ๊กหน้าซอย ไม่ใส่หมวกเพราะคิดว่าแป๊บเดียว ใกล้ๆ แว่บเดียวแบนเป็นหมึกบดก็เห็นกันอยู่บ่อยไป
แต่ในข้อนี้ดิฉันไม่อยากว่าผู้ชายฝ่ายเดียว เพราะผู้หญิงก็ควรจะรู้จักดูแลตัวเอง ดูแลกันและกันด้วย หาหมวกมาใช้ซะทั้งคู่แหละ ไม่ใช่มันไม่มีหมวกให้กู กูก็นั่งโต้ลมไปอย่างนี้เบรคแตกเมื่อไหร่ค่อยคิดกันอีกที
อย่างหนึ่งที่ดิฉันยกให้ผู้ชายในเรื่องคือ อย่างน้อยก็ยังคุมสติได้ยามเกิดเหตุฉุกเฉิน แต่ยังไงก็เหอะ ดิฉันก็ยังเห็นว่าเรื่องซึ้งเรื่องนี้มันไร้สาระสิ้นดี วันหลังถ้าใครต้องนั่งมอไซค์ซ้อนท้ายโดยไม่มีหมวก ก็บอกไปเลยว่า ขอหมวกด้วย ไม่ต้องรอให้รถแหกโค้งก่อนหรอกถึงค่อยมาแสดงว่าเมิงคิดถึงสวัสดิภาพของกูเหนือสิ่งอื่นใด