วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Live in Bangkok

หายไปสามชาติกว่า ในที่สุดวันนี้ก็ได้ฤกษ์อัพบล็อกซะที หลังจากทิ้งร้างมานาน ตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษก็ไม่ได้อัพเดทอะไรเลย
ไม่อยากจะบอกว่ากระเป๋าเดินทางและเสื้อผ้าก็ยังกองอยู่ที่เดิม จบโท แต่สันดานเก่าไม่เคยเปลี่ยนแปลง กลับมาถึงก็แผละของไว้ เสื้อผ้าไม่มีจะใส่ทีก็ไปคุ้ยๆเอาในกระเป๋า แม่ก็บ่นจนเลิกบ่น เพราะคิดว่าบ่นไปก็ไร้ผล อีนี่มันชุ่ยจนเข้ากระแสเลือดไปแล้ว
.
ไปทำงานที่มหาลัยมาได้สัปดาห์นึงแล้วค่ะ
ตอนนี้ยังไม่ต้องสอน เพราะมหาลัยเปิดเทอมเดือนหน้า ช่วงนี้ก็อ่านหนังสือ อบรม และเตรียมการสอนไปก่อน ใจเต้นตุ่มๆต่ำๆเหมือนกันนะ ไม่รู้จะสอนยังไง กลัวเด็กไม่ฟัง กลัวตัวเองจะสติหลุดเวลาเจอเด็กกวนประสาทแล้วแจกส้นตึกให้มันไปเจี๊ยะ
มีอาจารย์รุ่นหนุ่มๆสาวๆ (เหมือนเรา อิอิ) เพิ่งมาเข้าทำงานใหม่เยอะเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะอยู่ภาควิชาการโรงแรม ภาษาอังกฤษมีอยู่ไม่กี่คน
ก็ทำงานด้วยกันสนุกสนานดีค่ะ กลางวันก็ไปกินข้าวอะไรด้วยกันบ้าง ทำเอาสมตุ้ยดีใจน้ำตาจะไหล นึกว่าตัวเองไม่มีใครเอามานานแล้ว
.
ก่อนกลับมานิดหน่อย อาจารย์หัวหน้าภาคเมล์มาถามว่า อยากจะสอนอะไร สอนกี่เซ็กชั่น เอา 7 ไปเลยมั้ย
นราปฏิเสธแทบไม่ทัน บอกว่าน้องพลับขอ 5 ก่อนนะ นะๆ
เมล์ตอบแกไปแล้ว ไฟโลภะบังเกิด คำนวนเงินเดือนบวกเงินสอนพิเศษแล้วพบว่ายังไม่พ้นวิกฤติการณ์แดกแกลบ เลยแรดไปถามอาจารย์อีกทีว่ายังมีคลาสเหลือๆให้หนูสอนอีกสักคลาสไหม
อาจารย์ที่คงเหม็นเบื่ออีเด็กโลเลนี่เต็มทนเลยบอกว่า เอองั้นเอา Critical Reading ไปแทน Advanced Reading แล้วกัน แล้วสอนเพิ่มอีก 1 เซ็กชั่น เป็น 6 แหม่เลขสวยเชียว
แต่ตอนไปถาม เสือกลืมไปว่า ตัวเองตกลงกับอาจารย์อีกท่านไว้ว่าจะช่วยสอนคลาสเสริม TOEIC วันเสาร์เทอมที่จะถึงนี้ด้วย
สรุป สิริรวมทั้งสิ้น 7 เซ็กชั่นเหมือนเดิม ทำงานจันทร์ถึงเสาร์
สมน้ำหน้า โลภนัก
สรุปว่านังสมตุ้ยเจอ Listening and Speaking II, Critical Reading, แล้วก็ TOEIC
และในฐานะที่ทำงานวิชาการ มหาลัยของเราซึ่งกำลังจะพัฒนาไปเป็น Research University ก็มุ่งเป้าว่าอาจารย์ของมหาลัยจะต้องมีผลงานทางวิชาการทุกคน
ครับ นอกจากงานสอนที่กล่าวไปเบื้องต้น
กระพ้มยังต้องเขียนบทความวิชาการ 2 เรื่อง และบทความวิจัยอีกเรื่อง และทั้งหมดต้องได้รับการตีพิมพ์
(ส่งเรื่องตลกไปขายหัวเราะเขายังไม่รับลงให้เลย แล้วนี่จะให้เอาลงวารสารวิชาการระดับชาติ...)
.
แต่จะว่าไปแล้วนราก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์อะไรที่ต้องทำงานหนัก
เพราะอยากพิสูจน์ให้มหาลัยว่าเราเองก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ได้ เรื่องของเรื่องคืออยากกลับไปต่อป.เอกที่อังกฤษค่ะ แล้วอาจารย์ผู้บริหารเคยบอกไว้ว่า ขึ้นอยู่กับผลงานและความมุ่งมั่นในการทำงาน
งานนี้นังสมตุ้ยสู้ตาย ตายไม่กลัว กลัวอย่างเดียวจะเป็นปิดทองหลังพระ
เชื่อไหม หลังเลิกงานไปนั่งอ่านหนังสือ ทำงานในหอสมุดจนสามทุ่มเพื่อเขียน Research Proposal เพื่อสมัครป.เอก นั่งจนหอสมุดปิด
ตัวเองยังงงตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไปได้ไง สารภาพตรงๆ ตั้งแต่เรียนมาจนจบป.โท ไม่เคยตั้งใจอ่านหนังสือ ค้นคว้าอะไรเยอะขนาดนี้เลย ตอนทำวิทยานิพนธ์ก็อ่านเยอะอยู่ แต่หนักสแกนเอาเป็นส่วนใหญ่ คะแนนออกมามันถึงได้งอกง่อยไง
คราวนี้กะเหมาเอ็มร้อยมาสักสามลัง แล้วนั่งอ่านหนังสือยันเช้าไปเลย
.
ตอนนี้ยังอยู่ที่วิทยาเขตกล้วยน้ำไท
แต่เปิดเทอมแล้วจะไปรังสิตเสียสี่วัน เข้ากล้วยแค่อังคารและเสาร์
แค่ให้ตื่นเช้าไปทำงานให้ทัน 8.45 ยังลำบาก ไม่อยากนึกถึงเลยจริงๆว่าถ้าต้องไปจับรถบัสให้ทันตอน 7.20 มันจะเป็นไงน้า
นราว่าไม่ต้องนอนเลยท่าจะคุ้มกว่า
เออดี เอาไว้ไปขู่นศ.ที่ชอบคุยในห้องหรือก้มหน้าก้มตาจิ้มบีบี ว่าเมิงคุย เมิงเล่นเมื่อไหร่กรูหลับแน่ เรียนกันไปเองก็แล้วกัน
win-win ไหมละ เราก็ได้นอน เด็กก็ได้เล่นบีบี ได้คุยกันสมใจ
.
กลับมายังไม่ได้เจอเพื่อนๆเลย
เขานัดเลี้ยงรุ่นสมัยม.สามกันก็เสือกเจ็ทแล็ก เหนื่อยหนักจนลุกไม่ไหว
พลาดไปแล้วๆ
แต่วันเสาร์ที่จะถึงนี้ คณะมนุษยศาสตร์มีงานเลี้ยงครบรอบ 30 ปี
กะว่าจะเอาให้กลิ้ง เหะๆ เหะๆ
ใครเป็นศิษย์เก่าม.กท.ก็อย่าลืมไปซื้อบัตรซะนะ มากันเยอะๆ