วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

Afternoon Walk

เข้าปีใหม่มาตั้งชาติเศษ เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าตัวเองยังไม่เปลี่ยนโลโก้ตามปี
ยังเป็น Naratology 09 อยู่ เชยจริงๆ
วันนี้ก็ทำการเปลี่ยนเรียบร้อยแล้วค่ะ
.
เมื่อวันก่อนเดินตัดทุ่งไปซื้ออาหารสดที่ซูเปอร์มาเก็ต ไหล่จะขาดเอา
ช่วงนี้อากาศค่อนข้างดีนะ แดดจ้า สดใส แต่ยังหนาวอยู่ประมาณ 5 องศา
ซื้อของมาเยอะเลย (ส่วนหนึ่งเอามากันที่ในตู้เย็น) ได้ดอกไม้สีพีชหวานๆมาด้วยช่อหนึ่ง มาใส่แจกันแทนดอกทิวลิปสีส้มที่เหี่ยวไปแล้ว จัดเสร็จชอบใจมาก เพราะราคาถูกแถมได้เยอะ ออกมาดูฟูฟ่องสวยดี เห็นแล้วอารมณ์ดี
เมื่อวานนี้จองตั๋วรถไฟไปสนามบินแมนเชสเตอร์ทางเน็ท เบ็ดเสร็จโดนชาร์จไป 31 เกือบ 32 ปอนด์ รวมค่าส่งแบบด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋าให้มาถึงวันรุ่งขึ้นตอนบ่ายโมงด้วย สิบปอนด์กว่าแนะ จริงๆจะเอาแบบธรรมดามาช้าๆก็ได้ แต่เห็นว่ามันเป็นของสำคัญเลยอยากได้มาเก็บไว้กับตัวไวๆ ก็เสียค่าส่งด่วนไปซะ บ่ายวันนี้เลยเดินออกไปรับจดหมายที่ห้องเจ้าหน้าที่ประจำหอ
.
ท้องฟ้าแปลกๆ ครึ่งนึงสดใส ครึ่งนึงทะมึนมาเลย
แถมไอ้เมฆดำๆนี่ มันปล่อยเกล็ดหิมะลงมานิดหน่อยด้วย อะไรของมัน
อากาศอังกฤษนี่ไว้ใจไม่ได้จริงๆ แต่ตกมานิดหน่อยก็หายไป ฟ้าใสเหมือนเดิม
รับจดหมายเสร็จของเปิดออกดู โอ้โห ตั๋วเจ็ดแปดใบแน่ะ แล้วกรูจะใช้ใบไหนวะเนี่ย อ่านดูดีๆมันเป็นใบเสร็จ ใบยืนยันการจ่ายด้วยบัตร กับใบจองที่นั่งรวมมาด้วย ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่พิมพ์ลงกระดาษใบเสร็จ เสือกพิมพ์ลงกระดาษตั๋วเลยทำเอาเรางงแทบแย่
.
ไหนๆก็ออกมาแล้ว เลยออกไปเดินเล่นต่อซะหน่อย
เห็นเขาบอกคนอังกฤษชอบเดินเล่นกัน เอาบ้างเผื่อจะไฮโซขึ้นมามั่ง ไม่ได้ติดถุงมือออกมา เห็นแดดมันจ้าๆนึกว่าจะอุ่น ที่ไหนได้โคตรหนาวเลยโว้ย ลมแรงพัดวิ้วๆตลอด หนาววว
.
เดือนนี้ยังถือว่าเป็นหน้าหนาวอยู่ ถึงจะไม่มีหิมะแล้วก็เถอะ
ต้นไม้ส่วนใหญ่ยังมีแต่กิ่งก้านโกร๋นๆ
แต่เริ่มมีดอกไม้และตุ่มตาอ่อนๆเตรียมงอกให้เห็นบ้างแล้ว
ถึงฤดูใบไม้ผลิต้องสวยแน่ๆเลย
.
ดอกอะไรน้อ อยากรู้จัง
ต้นนี้เป็นต้นดอกไม้เตี้ยๆประมาณคืบ ช่วงที่มายอร์กใหม่ๆไม่เคยเห็นเลย คิดว่าคงซุกอยู่ในดินแหละ ตอนนี้เริ่มแทงช่อทะลุดินขึ้นมาบ้างแล้ว ดอกตูมเป็นสีม่วงเข้ม
อยากจะบอกว่าหงุดหงิดกับมาโครของกล้องพานาฯมาก โฟกัสโคตรมั่ว ถ่ายใกล้แล้วชัดบ้างไม่ชัดบ้าง บางทีต้องถอยออกห่างๆ ฟาย ไกลขนาดนี้เขาไม่เรียกมาโครแล้วโว้ย
ซูมดูใกล้ๆ
สวยเนอะ
เดี๋ยวรออีกสักวันสองวันแล้วเดี๋ยวจะเดินไปดูอีกทีว่ามันบานหรือยัง แล้วจะเก็บภาพเอามาฝากนะ
บึงเป็ด
อยู่หลังอาคารเรียนคณะของนราเอง
เป็นมันหนีหนาวจากทะเลสาบกลางมหาลัยมาเล่นน้ำกันแถวนี้แทน
ก็น่าสงสารแหละ น้ำในทะเลสาบเพิ่งจะเลิกเป็นแผ่นน้ำแข็งเมื่อวานนี้เอง เป็ดมันคงหนาวกันแย่ ตอนนี้ทะเลสาบไม่มีเป็ดละ เหลือไม่กี่ตัว ห่านใหญ่ๆ แล้วก็พวกนกนางนวล
นราเดินไปทางด้านหลังมหาลัยที่ไม่เคยเดิน
มันคล้ายๆเส้นทางแสวงบุญอ่ะ ให้คนไปเดินเล่น แล้วก็มีบ้านของเจ้าหน้าที่ประปราย เป็นบ้านหลังเล็กๆทำจากตู้คอนเทนเนอร์เตี้ยๆ หลังม.นี่ไม่ค่อยมีคนค่ะ
เป็ดอีกแล้ว
สงสารเป็ด เป็ดหนาวแล้วมันสั่น มันนั่งตัวพองไม่ยอมลุกไปไหน
จริงๆแล้วไม่น่าหนาวเลยนะ ไม่งั้นเขาจะเอาขนข้างในมันมายัดใส้เสื้อกันหนาวเราเหรอ คิดขึ้นมาได้ก็รู้สึกผิดต่อเป็ดที่เสื้อหนาวเราเป็นสุสานวีรเป็ดไม่รู้กี่ตัว
เป็ดสีน้ำตาลนี่ก็เป็นแมนดารินเหมือนกันนะ แต่เป็นตัวเมีย ตัวผู้หัวเขียวเป็นเงาวับสวยเชียวค่ะ ปกติมันจะเดินกันเป็นคู่ และหล่อนจะร้องดังมาก เสียงเหมือนคนหัวเราะอ่ะ "ก้าก ก้าก ก้าก กั้กๆๆๆ"
.
หลังมหาลัยมีสวนย่อมๆ เรียกว่า The Quiet Place
จุดประสงค์มันเอาไว้ทำอะไรก็ไม่ทราบนอกจากให้คู่รักมาจู๋จี๋กัน จะบอกว่าไว้นั่งเล่นก็ไม่เห็นมีม้านั่งอะไรตรงไหนเลย มีแต่พุ่มไม้ยักษ์ตัดแต่งเป็นทรงเครื่องคั้นน้ำส้ม ทรงหมวกกะลาสีเต็มไปหมด แต่มันก็เงียบสงบสมชื่อจริงๆแหละ
นี่ก็ดอกอะไรไม่รู้ เลื้อยขึ้นอยู่ข้างกำแพงตึก
ดอกตูมใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มเต็มต้นไปหมดเลย สันนิษฐานว่าบานแล้วต้องเป็นสีขาวแน่ เดี๋ยวต้องรอบานแล้วจะกลับไปพิสูจน์อีกที

แล้วก็เดินทะลุออกไปทางหมู่บ้านหลังมหาลัยที่ชื่อ Heslington Village แถวนี้จะมีธนาคารสาขาย่อยเกือบทุกสาขา ตั้งแต่ลอยด์สที่เราฝากเงินด้วย บาร์คเลย์ เอชเอสบีซี และอะไรอีกอันไม่รู้จำชื่อไม่ได้ ใครมาเรียนที่นี่ก็สบายค่ะ ทำธุรกรรมการเงินได้ง่ายไม่ต้องเข้าเมือง เว้นแต่เป็นเรื่องสำคัญ เช่น บัตรหาย หรือบัตรโดนล็อกเพราะเสือกจำรหัสผิด (โดนมาแล้ว)
.
ทำไมต้องไปทางหมู่บ้านอะเหรอ
ก็เพราะตรงโคนสัญญาณไฟจราจรตรงนั้น มันมีไอ้ต้นนี้อยู่ไง

ต้นเล็กกระจิ๋วหลิว เหมือนดอกหญ้าบอบบาง
เลอะเทอะนิดหน่อยเพราะขึ้นริมถนน ดอกอะไรใครรู้จักบ้างเนี่ย
หัวมันเป็นกลมๆ เหมือนหอมใหญ่ไซส์มินิ ตอนแรกคิดว่าเป็นนาร์ซิสซัสหรือแดฟโฟดิล แต่มันเล็กจังอ่าไม่น่าใช่นะ เห็นแล้วนึกถึงหิ่งห้อยจัง
ที่เห็นเป็นตูมๆ ขาวๆ ยังไม่งอกอยู่ตามซอกใบน่ะดอกทั้งนั้นเลย นราอ่ะลงทุนสุดตัวเพื่อเก็บภาพดอกไม้น่ารักๆช่วงปลายฤดูหนาวมาฝาก ถึงกับลงไปนั่งกะดินแฉะๆเลยนะจะบอกให้ ตรงนั้นคนเดินไปมาก็เยอะ รถก็ผ่านตลอด อายยยยยนะจะบอกให้ ฝรั่งคงสงสัยว่าอีนี่มันไม่มีอะไรกินหรอมาขุดหาเผือกหามันแถวนี้
.
อีกรูป เอาบรรยากาศร้านผลไม้อังกฤษมาฝากค่ะ

ผลไม้ช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไรมาก ที่มีวางขายก็มักจะวางตั้งแต่มันสดจนมันหมดอายุขัย ที่เห็นว่ามีตลอดก็แอปเปิล ส้ม แล้วก็กล้วย ซึ่งไม่น่าจะเป็นของอังกฤษเอง ที่นี่เห็นว่าเขาเน้น Fairtrade คือเอาผลผลิตของประเทศจนๆมาขายมั้ง พวกกล้วย อโวคาโดพวกนี้ก็จะติดสติกเกอร์แฟร์เทรดเอาไว้ให้รู้ว่าท่านกำลังสนับสนุนสินค้าแฟร์เทรดอยู่นะ (กล้วยรสชาติเฮงซวยมาก)
.
เดินครบรอบ ก็วนกลับมาที่หอ
มาถึงชั้นสามวิ่งเข้าครัวก่อนเลย เปิดน้ำร้อนราดมือ
อู๊ยยยย มือหนาวจนแข็ง แดงไปหมด เอามาถูกันก็ไม่รู้สึก พลาดมากๆที่ไม่เอาถุงมือไป วันหลังลืมไม่ได้แล้ว พอค่อยยังชั่วก็อุ่นพาสต้าแช่แข็งกิน ไม่ไหวรสชาติบัดซบสุดๆ ตัวแป้งพาสต้าเป็นแบบที่มันเป็นก้อนรีๆคล้ายๆหอยเบี้ยอ่ะ เลี่ยน หนึบ และแหยะๆ กลืนไม่ลง สุดท้ายต้องฉีกขนมปังมาเช็ดกินแต่ซอสผักโขม ซิกๆ
.
ขอบคุณมุกและมะแอ้มากที่มาร่วมสนุกนะ นราเฉลยของนราละ
1) มีแต่คนบอกว่านางเอกฟูลเฮาส์น่าสงสารโดนพระเอกกดขี่ แต่นราว่าตัวนางเอกนี่แหละเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ขี้เกียจ หน้าด้าน และเอาแต่ใจที่สุด ตัวเองรื้อครัวพระเอกซะเละ พอเขาสั่งให้ไปเก็บก็ไม่พอใจ แถมยืมเงินเขามาตั้งเยอะ พอเขาจะให้ทำงานใช้หนี้ก็บ่นไม่ไหวๆ งานหนักๆ มีการมาต่อรอง ไม่เรียกหน้าด้านแล้วเรียกอะไรเนี่ย (ปล.คอสตูมเรนในเรื่องนี้อุบาทว์มากถึงมากที่สุดด้วย)
2) พวกชอบส่งเสียงแทรกมามีส่วนร่วมในโทรศัพท์ ไร้มารยาทและน่ารำคาญมาก ถ้าเขาไม่ได้เชิญให้คุยกะคนในสายก็ไม่ต้องสะแหลนส่งเสียงยืนยันตัวตนหรอกนะคะ ไม่มีใครเขาอยากรู้ ใครทำอยู่เลิกซะนะคะ เดี๋ยวเขาจะหาว่ามีคนสั่งสอนแล้วแต่ปัญญาอ่อนเกินจะจำ
3)ก็ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่บังเอิญได้อ่านบทความหนึ่งเกี่ยวกับคนที่ฆ่าตัวตายเพราะรัก เพราะกลัวสามีจะทิ้งจะนอกใจ ปัญหาหลักของเรื่องนี้คือ คิดไปเอง หลอนตัวเองทั้งนั้น วิตกจริต บางทีเพื่อนผู้หญิงมาร้องไห้ให้เพื่อนในกลุ่มฟังว่าแฟนไม่ดีโง้นงี้แล้วก็พากันเกลียดแฟนเพื่อนไปซะหมด หาว่ามันเป็นผู้ชายเลว จริงๆแล้วเพื่อนพวกหล่อนเองรึเปล่าที่มีปัญหาน่ะฮึ
.
วันนี้เริ่มหวาน แต่จบแรง
ไปดีก่า บิ้วค่ะ

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

Let Me Hear You Speak!

สวัสดียามเช้า ยามบ่าย และยามค่ำค่ะ
ไม่ว่าจะเข้ามาอ่านกันยามใดก็ตาม
สบายกันดีมั้ยคะ? นราสบายดี ในที่สุดก็ได้ซักผ้าซะที
.
เอนทรีนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งเอนทรีที่ไม่มีรูปประกอบนะคะ
ก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนหรือทำอะไรเป็นพิเศษ คราวที่แล้วอวดครัวแก้ขัดไปได้ก่อน คราวนี้ไม่รู้จะอวดอะไรแล้ว จะอวดห้องน้ำหรือก็ไม่ได้น่าดูเอาซะเลย ทั้งผมทั้งขน(?)ร่วงเต็มไปหมด ดอกไม้ก็เหี่ยวแล้วยังไม่ได้หามาเปลี่ยนเลย
วันนี้มาคุยกันดีกว่านะ
.
ปกตินราอัพบล็อก ก็จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังพร้อมภาพประกอบ แต่สำหรับเอนทรีนี้นราอยากฟังเสียงจากเพื่อนๆและผู้แวะเวียนมาชมทุกคนว่าคิดเห็นอย่างไรบ้างในประเด็นต่อไปนี้ เมนท์ยาวเมนท์แรงได้ไม่ต้องกลัวผู้มีอิทธิพล แต่ขอเตือนว่าควรเซฟหรือก็อปปี้ไว้เป็นระยะๆนะคะ บล็อกสป็อตมันไม่เข้าใครออกใครค่ะ เกิดคุ้มดีคุ้มร้ายขึ้นมาหล่อนขึ้น page error เอาดื้อๆจะมาร้องไห้แงๆไม่ได้นะเอ้อ
เอาละ ร่ายเดิ้ม...เริ่มได้
.
1) ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับนางเอกในหนังเกาหลีเรื่อง Full House ใช่ หนังเกาหลีเรื่องนั้นที่เขาฉายจนเลิกฮิตไปตั้งแต่ปีมะโว้ แต่นราเพิ่งได้ดูนั่นแหละ ท่านคิดว่าเธอน่าสงสาร น่าหมั่นไส้ น่าสมน้ำหน้า หรือน่าอิจฉา บลาๆๆ? (คำถามเชยหน่อย ตอบๆหน่อยละกัน)
.
2) ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับคนประเภทที่ชอบมีส่วนร่วมในการสนทนาทางโทรศัพท์ของท่าน หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียก เสือกไม่เข้าเรื่อง กิริยาดังกล่าวคือการพยายามส่งเสียงแทรกเข้าไปในสายที่ท่านกำลังสนทนาอยู่ ประมาณว่า "คุยกะใครอ่ะ" "รีบวางได้แล้วบอกเขาดิ๊ว่ามีธุระ" หรือกระทั่งหาเรื่องให้ชาวบ้านเขาบ้านแตก "คุยกะใครค้าทำไมไม่สนใจ (ชื่อผู้หญิง) เลย" ถ้าอ่านคำถามแล้วงง อนุญาตให้วนกลับไปอ่านใหม่จนกว่าจะเข้าใจ
.
3) ท่านเห็นใจใครมากกว่ากัน (ดูตัวอย่างด้านล่างประกอบ) วิเคราะห์และอธิบาย
ผู้หญิง: "โทรไปก็ไม่ค่อยรับ รับแล้วก็พูดสั้นๆรีบวาง ไม่รู้อยู่กับใคร เวลาออกไปเที่ยวข้างนอกก็มองผู้หญิงอื่นซะตาจะถลน พองอนก็หาว่าไร้สาระ ไม่เคยเข้าใจเราเลยว่าเราหึง เราหวง บางทีก็เป็นพวกถือเพศพ่อเป็นใหญ่ แหมจับหัวหน่อยทำเป็นโกรธ ผู้หญิงจับไม่ด้ายยย ไม่เหมาะ เชอะ"
ผู้ชาย: "โทรมาทุกวัน วันละสิบๆสาย ไม่เคยดูเวลาว่าผมทำงานอยู่หรือเปล่า คือโทรมาเมื่อไรก็จะคุยเดี๋ยวนั้น พอรีบวางเพราะติดธุระก็เอาไปคิดเองเป็นตุเป็นตะว่าอยู่กับคนอื่น เวลาผมมองสาวๆสวยๆหน่อยก็วีนลูกเดียว อ้าวผมก็คนนะ เห็นของสวยงามผมก็อยากมอง หรือคุณจะปฏิเสธว่าถ้าเคน ธีรเดชเดินมาคุณจะไม่มอง? วีนอย่างเดียวไม่ว่าชอบขึ้นเสียงกลางห้าง พอบอกให้เบาๆก็บอกว่า อายทำไม แค่นี้อายเหรอ แถมไม่ถูกใจอะไรก็ตบหัว จิกหัว ไสหัว ผมก็คนนะไม่ใช่ขี้ข้า ทำแบบนี้เหมือนไม่ให้เกียรติผมเลย พอบอกก็งอนไปอีกสามวันเจ็ดวัน"
.
4) ทักษิณอยู่ที่ไหน?
.
เอาไปคิดเล่นๆ แล้วเดี๋ยวจะกลับมาอ่านคำตอบนะ ว่างๆมาลองตอบดูละกัน เอาเฉพาะข้อที่สนใจก็ได้
แล้วนราก็จะเฉลยมุมมองของนราเหมือนกัน
ไว้คุยกันจ้า

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

The Kitchen

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกไปไหนเลย
มีเมื่อเช้าได้ออกไปตีแบดหน่อยหลังจากห่างหายไปนาน ก่อนจะออกไปสนามก็คิดว่าไหนๆก็ออกมาแล้ว วิ่งจ๊อกกิ้งไปด้วยเลยละกัน จากหอไปสนามแบดระยะเวลาประมาณสิบห้านาที วิ่งไปได้ไม่ถึงห้านาทีเหนื่อยลิ้นห้อยอย่างหมา รู้ซึ้งถึงสภาพสุขภาพและสังขารตัวเองทันที เมื่อก่อนซิทอัพนี่ที่หนึ่งในชั้น แข็งแรงมาดแมน เดี๋ยวนี้จะให้เกร็งพุงยังจะยากเลย
.
จริงๆกะว่าจะกลับมาซักผ้า อุตส่าห์ไปขอแลกเหรียญเพื่อนจะเอามาหยอดตู้ ได้มาก็เอามาเก็บใส่กระเป๋ากางเกง พอกลับถึงหอก็ล้วงกระเป๋า อ้าว กระเป๋ากรูมีรู เหรียญกรูหายไปแล้ว สรุปว่าวันนี้ไม่ซักแล้วเพราะเหรียญไม่พอ ขี้เกียจออกไปแตกแบงค์ ไว้วันหลังละกัน
.
ตั้งแต่มาอยู่นี่ ไม่เคยพาชมครัว แหล่งเลี้ยงปากท้องกันเลยใช่ไหม
งั้นเดี๋ยวพาไปดูนะ
ครัวของหอนรา มันแบ่งกันใช้ระหว่างแฟลตเจ็ดกับแปด มีครัวแบบนี้หน้าตาเหมือนกันอยู่คนละฝั่งของห้อง ตอนแรกคิดว่าครัวตัวเองเป็นอะไรที่ธรรมดา แต่ไปดูครัวหออื่นมาแล้ว โอ้โหทั้งเล็ก ทั้งแคบ ทั้งเก่ากว่านี้หลายขุมนัก ยิ่งครัวพวกเด็กป.ตรีนะอย่าให้เซด โคตรเขรอะ ไอ้โน่นไอ้นี่วางทั่วไปหมด ขนาดนราชุ่ยขนาดนี้ยังรับไม่ได้อย่างแรง
ที่นี่เขาเน้นเรื่องรีไซเคิลมากๆค่ะ พวกบรรจุภัณฑ์แทบทุกอย่างของเขาจะมีบอกหมดว่ารีไซเคิลได้ไหม เป็นขยะประเภทอะไร ในครัวก็มีถุงเน่าๆสี่ถุงนี้วางอยู่ไว้ให้แยกขยะ มีถุงสำหรับพวกกระดาษแข็ง พวกกล่องอาหารแช่แข็ง น้ำผลไม้ พิซซ่าต่างๆ (cardboard) ถุงใส่ขวดพลาสติก ถุงใส่กระป๋องโลหะ แล้วก็ถุงใส่กระดาษ (paper) ปกติถุงกระดาษแข็งจะเต็มเร็วสุด นี่เพิ่งมีคนใจดีทนไม่ไหวเอาไปทิ้งให้ ซึ่งไม่ใช่นราแน่นอน กร๊ากกก

นราเคยโชว์โง่กับความแตกต่างระหว่าง cardboard กับ paper มาแล้ว
แรกๆที่เอาขยะไปทิ้งถังใหญ่ข้างล่าง เขาจะมีป้ายติดตามถังว่าถังไหนใส่อะไร ทีนี้นราเห็นถังเขียนว่า paper มองในมือ อ้อ พวกกล่องแพ็กโยเกิร์ต กล่องพิซซ่ามันก็ทำจากกระดาษนี่หว่า เทพรวดเดียวหมดทั้งถุงลงไปในนั้น เดินออกมาสองก้าวปรากฏว่าเจอถังติดป้ายว่า cardboard เหอะๆ วันนั้นคนแยกขยะคงด่ากันระงม
.
นี่ตู้เย็นค่ะ แบ่งๆกันแช่
อาจสงสัยกันว่า เอ๊ ทำไมต้องมีวงกลมแดงๆ เขียวๆ ด้วย มีวิญญาณในตู้เย็นหรอ นราจะบอกว่า ใช่ค่ะ แต่ไม่ใช่ผีแบบในชัตเตอร์กดติดหน้านรานะ แต่มันคือผีเห็นแก่ตัว จำที่นราเล่าเรื่องอี...เอ๊ย...คุณยิวเพื่อนร่วมแฟลตนราได้ไหมคะ ที่นราเทิดทูนหล่อนเรื่อยช่วงมาแรกๆ เอาเป็นว่าวงเขียวๆน่ะ คืออาณาเขตหล่อนค่ะ ส่วนวงแดงๆก็ของลูกเมียน้อยอย่างอิฉันเอง จะแช่อะไรต้องกระมิดกระเมี้ยนคุณนายเรือนใหญ่ ประเดี๋ยวที่หล่อนเต็มขึ้นมาจะพาลมาย้ายข้าวของน้อยนิดของอิฉันเอา
ต้องเอารูปมาให้ดูเดี๋ยวคนจะหาว่าโม้ ว่าใส่ร้าย
ที่แช่ในตู้เย็นนรามีเท่านั้นจริงๆค่ะ ทุกวันนี้ต้องมีโค้กขวดโตๆ ใส่ไว้ในตู้เย็นตลอด ไม่ได้ติด แต่เอามากั๊กที่ ไม่งั้นหายทันตาเห็น แย่งที่กันดุเดือดยิ่งกว่าแย่งที่จอดรถในมาบุญครองอีก

ตรงผนังมีตู้เก็บของไว้ให้ใช้ค่ะ อันนี้ดีหน่อยไม่มีคนมาแย่ง
นราติดป้ายชื่อน่ารักโนเนะเอาไว้ด้วย กลัวคนไม่รู้ ตอนแรกว่าจะฉี่ใส่เพื่อประกาศความเป็นเจ้าของแล้วนะเนี่ย

ข้างในๆ เปิดๆ
อุปกรณ์ยังชีพ เซ็ตหนึ่งค่ะ
มีกล่องใส่ถุงชา ที่พอเดี๋ยวนี้ซื้อโค้กมาติดตู้เย็นไว้ก็ไม่ค่อยได้ชงดื่มแล้ว น้ำตาลโลนึง อาหารกระป๋อง ตอนนี้เหลือแค่ข้าวโพดกับครีมเห็ด ไม่รู้จะเอามาทำไรดี แล้วก็ซุปอบแห้งที่แม่ส่งมาให้ มีน้ำปลาขวดนึง ซีอิ้วตราเด็กสมบูรณ์ น้ำสลัดซีซาร์ น้ำมันพืช แล้วก็โลโบรสต่างๆที่ถูกใช้งานอย่างโชกโชนมาก
ต่อไป อุปกรณ์ยังชีพ เซ็ตสอง
เซ็ตนี้อยู่ในตู้ข้างล่างค่ะ ที่นราไปตบตีแย่งพื้นที่คืนมานั่นแหละ
มีหม้อป๋องแป๋งหนึ่งใบ ซื้อมาจากร้านปอนด์เดียว กระทะสองใบ จริงๆถ้าไม่โดนขโมยไปใบนึงก็คงมีสาม ยึ่ย คิดแล้วแค้น ช้อนสองอัน ส้อมสองอัน ที่เปิดกระป๋อง(ไปไถพี่คนไทยมา) มีดหนึ่งอันถ้วน ใช้ทำทุกอย่างตั้งแต่เปิดกล่องแช่แข็ง หั่น สับ คน มีเล่มเดียวจริงๆ
แล้วก็มีข้าวสารเหลือครึ่งถุง ไม่ได้เข้าเมืองเลยไม่ได้ซื้อข้าวไทย ต้องทนกินข้าวอะไรก็ไม่รู้ที่ถึงแม้ว่าจะเขียนว่าเป็น long grain rice หรือข้าวเม็ดยาวแบบข้าวไทย แต่หุงออกมาแล้วมันก้อนกรวดชัดๆ พอใส่น้ำมากหน่อยแม่งแฉะเหมือนกระดาษลังโดนหมาฉี่ใส่จนยุ่ย แล้วมันนะมีคุณสมบัติพิเศษคือถ้ากินไม่หมดเอาใส่ตู้เย็นหรือทิ้งไว้ในหม้อ วันต่อมามันจะกลายเป็นฟอสซิลได้ทันที
อุ๊ย ลืม มีจานชามสองสามอัน ไข่ กับหอมแดงด้วยล่ะ อัตคัตเนอะชีวิตนรา
นี่เลย หม้อหุงข้าวผู้ช่วยชีวิต
ได้มาจากพี่คนไทยเหมือนกัน เขาใจดีให้ยืมมา เห็นบอกว่าตกทอดกันมาหลายรุ่น หม้อข้าวทำให้นราไม่อดตายไปเสียก่อน กินแต่ขนมปังมันอยู่ไม่ได้อ่ะสำหรับกระเพาะเอเชียแบบเรา
นี่นะจะเล่าเรื่องลึกลับให้ฟัง
.....
มันเกี่ยวกับหม้อใบนี้แหละ
เหอ เหอ เหอ
ปกติแล้ว นราจะหุงข้าวทิ้งไว้ในหม้อ พอมันสุกก็จะปิดสวิทช์ ตักเท่าที่อยากกินมากิน ที่เหลือก็ไว้ในนั้นแหละ ไม่ก็เอาใส่ชามพลาสติกมีฝาเข้าตู้เย็น แต่บางครั้งก็มีบ้างที่เราหุงข้าวทิ้งไว้แล้วลืม หรือกดอุ่นไว้แล้วลืม เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่มีความเฟอะฟะเป็นยีนเด่น
.
ทีนี้ เรื่องลึกลับที่ว่าก็คือ ทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ว่า เอ๊ะ เมื่อวานเราลืมไปกดปิดหม้อหุงข้าวนี่หว่า แล้วเดินออกไปเพื่อจะกด ปรากฏว่า...
...มีใครสักคนมาปิดให้แล้ว...
ตอนแรกก็คิดว่า เอ เรากดแล้วลืมเองหรือเปล่า วันก่อนเลยทดลองเลย เพราะหุงข้าวแล้วดันลืม ไปต้มมาม่ากินก่อน อิ่มแล้วอะแต่ข้าวยังไม่สุกเลย ก็กะว่าเดี๋ยวพอเอาชามมาม่าออกมาล้างจะออกมากดปิดไปทีเดียว แต่พอดีว่าทำโน่นนี่เพลินจนง่วง ก็เข้านอนโดยไม่ได้ออกไปครัวอีก
วันรุ่งขึ้น
...หม้อหุงข้าวถูกปิดสวิทช์อีกแล้ว...
...ยิ่งกว่านั้น สวิทช์ที่เป็นตัวปิด-เปิดกระแสไฟก็ถูกปิดด้วย...
โอววว ช่างน่ากลัว
ทุกวันนี้อยากรู้มากว่าใครฟะที่เป็นห่วงเราขนาดนี้ บางทีนะเหมือนมีคนมาแอบเปิดดูข้างในด้วยเพราะฝามันเบี้ยวไปจากเดิม บางทีหุงข้าวหลายๆครั้งแล้วคราบไอน้ำมันจับฝาเป็นเกล็ดๆ คราบๆ ก็มีการเอาไปวางไว้ให้ที่อ่างล้างจานด้วยเว้ย หรือบางทีนราเอาหม้อข้าวไปแช่น้ำข้ามคืนให้ข้าวมันไม่เกาะหม้อ เช้ามามีฝาปิดให้เรียบร้อยเชียว
อยากรู้จริงๆว่าใคร เจอแล้วจะมอบโล่อนามัยดีเด่นพร้อมประกาศนียบัตรให้แม่งจริงๆพับผ่า
.
หม้อข้าวเรื่องเดียวเม้าท์ไปครึ่งหน้า
มองออกไปนอกหน้าต่างเป็นวิวถนนเข้าเมืองค่ะ
ตอนนี้นราก็อิ่มหนำสำราญดี สุขภาพพุงแข็งแรง ได้กินอาหารดีๆ ครบห้าหมู่เป็นประจำ แม้รสชาติจะเฮงซวยสุนัขบ้วนทิ้งลิงเมินก็ตามที
หวังว่าทุกคนจะสบายดีนะ ตอนนี้หิวจังท้องร้องโกร๊กๆเลย
ไว้เจอกันใหม่จ้า

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

Food, Glorious Food

ช่วงนี้เขียนรายงานสองเรื่องใกล้เสร็จแล้วล่ะ
เหลือเขียนสรุป ตรวจเช็กไวยากรณ์ การสะกด ก็คงพอแล้ว พอกันที
คงพอมีเวลาให้อยู่นิ่งๆสักสัปดาห์ หลังจากนั้นก็ต้องเริ่มหาข้อมูลสำหรับรายงานอีกสองเรื่องของเทอมใหม่นี้ รวมถึงเตรียมเสนอหัวข้อวิทยานิพนธ์ด้วย
จะเรียกว่าหยุดพักหายใจเฮือกสั้นๆ ก่อนต้องฟันผ่าด่านสิบแปดอรหันต์อีกยาวไกลก็ไม่ผิดนักค่ะ
..........
เอนทรี่ที่แล้ว แนนบ่นว่าไม่เห็นมีของกินเลย
ม่ะ เจ๊จัดให้
ทั้งหมดนี้เป็นรีวิวอาหารที่เขมือบเข้าไปในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาค่ะ
.
ช็อกโกแลตแคดบิวรี แผ่นใหญ่ๆ สัปดาห์นี้กินไปสี่แผ่นแล้ว
เหลือในตู้เย็นอีกแผ่นเนี่ย นราชอบแบบใส่เฮเซลนัทค่ะ กรุบๆ มันๆ เอาไว้เคี้ยวเวลาดูหนังในยูทูปอร่อยอย่าบอกใคร ช็อกโกแลตนี่กินเป็นแผ่นใหญ่ๆ แล้วมันอร่อยขึ้นจริงๆนะขอบอก
ที่นี่ขายแผ่นละ 1.75 ปอนด์ ตกประมาณเก้าสิบบาท พอๆกับบ้านเรามั้ง ไม่รู้เหมือนกันไม่เห็นมีขายที่ไทยนะแบบแผ่นโตๆเนี่ย
อ่ะนั่นแน่ะ ทายว่าเป็นพิซซ่าละสิท่า เหอะๆ
ผิดค่ะ มันคือขนมปังกระเทียมชีสใส่เห็ด ตอนแรกนราก็งงเหมือนกันว่าเป็นขนมปังกระเทียมทำไมหน้าตาเหมือนพิซซ่าเลยฟะ โอ๊ะ แต่อร่อยลืมอ้วนกันเลยทีเดียว ขนาดสิบเอ็ดนิ้ว 5 ปอนด์ถ้วนค่ะ ตอนมาส่งร้อนๆ นะอร่อยมากๆ ชีสหนาเตอะ เห็ดก็อร่อยค่ะ ถาดนึงมีประมาณแปดชิ้น สั่งมาจากร้าน Efes Pizza แถวมหาลัยนี่แหละ สั่งมาทีไรกินรวดเดียวไม่ต่ำกว่าห้าชิ้นทุกทีเลย
เมื่อวานนี้ลองทำอะไรเผ็ดๆ กินดูบ้าง
ไม่ไหว กินแต่อาหารฝรั่ง ขนมปัง เนย เบื่ออ่ะ เลี่ยนด้วย
ตับไก่ผัดฉ่าค่ะ ทำออกมาหน้าตาดูดีน่ากินเกินคาด แถมอร่อยด้วย
อิอิ ทำเองชมเอง แต่มันก็อร่อยจริงๆนะ เครื่องผัดฉ่าแน่นอนว่าสนับสนุนโดยโลโบ้ ตับไก่ซื้อมาตั้งแต่เดือนที่แล้ว ทิ้งแน่นิ่งอยู่ในช่องแข็ง เมื่อวานนึกขึ้นได้เลยเอามาทำก่อนมันจะกินไม่ได้จริงๆ
จะบอกว่ากุญแจสำคัญของรสชาติไทย มันคือข้าวโพดอ่อนค่ะ จริงๆนะ พอเอามาผัดด้วยแล้วอร่อยแบบไทยขึ้นมาทันที หรือเพราะว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์จากไทยหว่า โอ รสแผ่นดินแม่
วันนี้เข้าเมืองไปตอนเช้า ไปติดต่อธุระกับธนาคารแล้วก็ซื้อของนิดหน่อย เลยซื้อโน่นนี่ติดมือมามากมาย ในเมืองจะมีร้านเบเกอรีอยู่ร้าน ชื่อ Cooplands ทำขนมอร่อยมากมาย ไปทีไรคนก็เข้าคิวรอยาวเหยียดออกมานอกร้านทุกที ไม่เป็นไรเค่อะเพื่อของอร่อยเจ๊รอได้
.
Apple Pastries ค่ะ สองชิ้น 69 เพนซ์ ถูกดี
แต่ไม่ค่อยอร่อยอ่ะ แป้งกรอบร่วนดี กินเสร็จพรมเปรอะไปหมด เวร เครื่องดูดฝุ่นกรูก็ไม่มี ไส้แอปเปิลมันออกเปรี้ยวๆหน่อยไม่ค่อยถูกปากนรา แต่น้ำตาลเคลือบหน้าอาหย่อยนะ
นราไปคูปแลนด์สก็เพื่อสิ่งนี้แหละค่ะ
Strawberry Crown กับ Strawberry Tart
สตรอฯคราวน์ คืออันข้างหน้านะคะ ข้างในเป็นคล้ายๆครีมคัสตาร์ดหวานๆ แต่ไม่หวานเทียมแบบโหมใส่น้ำตาลนะ หวานแบบนุ่มๆ ละมุนละไมอ่ะค่ะ สตรอฯเละไปหน่อย แต่ไม่เป็นไรทนได้ ตอนไปถึงมันเหลืออยู่ชิ้นเดียว แล้วนรายืนอยู่เป็นคนที่สี่ในแถวแน่ะ ระหว่างรอนี่คือเพ่งกระแสจิตไปจับจองขนมไว้แล้ว ของกรูๆๆๆๆ คนอื่นห้ามซื้อๆๆๆๆๆ ฮ่า
ทาร์ทก็อร่อยนะ สตรอฯลูกโตดี หวานๆเปรี้ยวๆ
.
ซูมดูความฉ่ำ อุอิ๊งงง
กลับเข้ามาจากเมือง เข้าคอสต์คัตเตอร์ไปซื้อเชอร์รีมานิดนึง เอามาลองกินดู จริงๆกะว่าจะไปซื้อที่ตลาดในเมืองแหละแต่มันไม่มี เชอร์รีประมาณสี่อุ้งมือขยุมราคา 1.19 ปอนด์ ไม่รู้คนขายคิดราคาผิดหรือเปล่า เห็นในใบเสร็จมันเขียนว่าองุ่นดำสเปน แต่ดีแล้วแหละเพราะราคาต่อโลมันถูกกว่า อิอิ
แอร๊ยยยยย อร่อยยยยย
ถ้าเป็นการ์ตูนช่องเก้า ป่านนี้ต้องกระเด็นลอยขึ้นไปบนอากาศ มีแสงวิ้งออกมาจากปาก เห็นดอกเชอร์รีพริ้วๆเป็นฉากหลังแน่ๆ อาหร่อยยยยง่ะ
เชอร์รีไม่ค่อยสด มีบุบๆบ้าง (ก็เป็นที่รู้กันว่าผลไม้จากคอสต์คัตเตอร์จะเป็นยังงี้ทั้งนั้นแหละ ของสดไม่ขาย ขายแต่ของเหี่ยว) แต่กัดไปแล้วเนื้อหวานเด้งดึ๋งกรอบอร่อยสุดๆ พรุ่งนี้ไปเหมาทั้งลังเลยได้ไหม
.
ซื้อดอกไม้มาเปลี่ยนด้วยค่ะ
กุหลาบคราวที่แล้ว ใส่แจกันสองวันเหี่ยว เซ็ง วันนี้พาน้องทิวลิปสีแดงอมส้มสดใสมาแทน
มีดอกไม้สวยๆอยู่ในห้องค่อยรู้สึกว่าห้องเป็นห้องหน่อย ไม่รู้มันจะบานไหม อยากให้บานจังเพราะไม่เคยเห็น ทิวลิปซื้อที่ตลาด 1.75 ปอนด์ค่ะ
จริงๆอะไรหลายๆอย่างที่นี่มันก็ถูก แล้วก็แพงกว่าเมืองไทยนะ ต้องเลือกเอา แต่นราเลิกเปรียบเทียบเงินปอนด์เป็นเงินไทยตั้งนานแล้วแหละ เพราะไม่งั้นจะหาอะไรแดรกไม่ได้เลย มัวแต่คิดว่าเอ๊ะ แซนด์วิชสองปอนด์เป็นเงินไทยตั้งร้อยกว่าแน่ะ หรือว่าทำเองดีนะ หรือว่าๆๆ มัวแต่คิดงี้ตะวันตกดินพอดี ต้องเปรียบราคาเงินปอนด์ด้วยกันดีกว่าค่ะ
ช่วงนี้อากาศดีขึ้นแล้ว มีฝนตกหนักเมื่อสองวันก่อน หิมะละลายหมด ข้างนอกไม่หนาวฉิบหายวายวอดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ถอดถุงมือไปเดินได้ บางทีก็มีฝนลงเม็ดกระปริบกระปรอยค่ะ อากาศอังกฤษนี่ไว้ใจไม่ได้จริงๆนะ
.
ร่ำลาด้วยเชอร์รีแสนอร่อยในอ้อมกอดของดอกทิวลิป
ใบตอง
ได้ยลโฉมเจ้าแล้ว ใจหาย
ชีวาจะวางวาย ตาตั้ง
ฮ่าาา ล้อเล่นค่ะ ขอบคุณที่อัพบล็อกเพื่อนรานะ ได้เห็นสมใจนอนหลับสบายละทีนี้
.
ตาหมู
อยากกลับบ้านจะตายอยู่แล้ว ห้ามมีกิ๊กนะฮึ่ม
.
แนนคะ
บล็อกนี้จัดของกินกระหน่ำ อิ่มไหมคะ ไม่อิ่มเดี๋ยวมีอีก
.
มุกกุ
ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตคนสวยด้วยนะคะ ขอให้ได้ทำงานที่อยากทำจริงๆเน้อ เป็นกำลังใจให้จ้า
.
เอมมือกระจุก
โอโหพัฒนาแล้วนิ เม้นท์บล็อกเป็นแล้ว เก่งมากๆ มาอีกบ่อยๆนะ
.
แม่-ป๋า
ช่วงนี้อุ้ยยุ่งอย่างอนละจ๊ะ

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

Going Solo in London #3

สวัสดีจ้า ขอเสียงหน่อย วู้ฮู้
ทำเป็นร่าเริงกลบเกลื่อน แง งานยังไม่เสร็จเลย
เดี๋ยวนี้นอนตีหนึ่งตีสอง ตื่นสิบโมงกว่าทุกวันเลย ทรุดโทรมอย่างมาก
อยู่ในห้องอุดอู้เหมือนหนูในรูตุ่น
กินอาหารแช่แข็งยัดใส่ไมโครเวฟแล้วอุ่น
มีใครได้ยินเสียงโหยหวนจากแดนไกลบ้างงง โฮๆๆๆ
......
วันที่สาม วันพุธที่หกมกรา ตื่นตั้งแต่เก้าโมงครึ่ง
ร่ำลาเพื่อนและพี่ๆป้าๆที่บ้านเรียบร้อยก็ขึ้นรถไฟใต้ดินสายเขียว ตรงจาก Ealing Broadway มาลง Tower Hill เช้านี้กะว่าจะไปลอนดอนทาวเวอร์ เสร็จแล้วก็ไปขึ้นรถไฟกลับยอร์กตอนบ่ายสองสิบห้า เดินทำเวลาสุดๆ
ลอนดอนทาวเวอร์ อะฮ้า มันก็คือสถานที่สุดดังที่มีคนเห็นผีของแอนน์ โบลีน เมียของเฮนรี่ที่แปดเดินอยู่บนหอคอยไง้ ใช้เป็นทั้งที่พักกษัตริย์ คุก แล้วก็โกดังเก็บชุดเกราะ เครื่องเพชร บลาๆๆ
ถึงแย้ว Tower of London มีหิมะขาวๆก็สวยไปอีกแบบนะ

ใหญ่โตเหมือนกัน เห็นแล้วนึกถึงวัดพระแก้ว แต่ของเขาเป็นอิฐทึมๆเยอะกว่า ก็เข้าใจว่าบ้านเมืองเขาอากาศหนาว คงจะสร้างให้โปร่งๆแบบของเราไม่ได้มั้ง นราจองตั๋วไว้ล่วงหน้าทางเน็ทแล้วค่ะ ค่าเข้า 13.50 ปอนด์ โคตรแพง เดินไปรับตั๋วเสร็จก็ลุยกันเล้ย
ตรงทางเข้ามีตาลุงยืนตรวจกระเป๋าผู้เข้าชมอยู่ นราแบกเป้ใส่เสื้อผ้าเข้าไปด้วยเขาก็เลยขอตรวจ ก็เข้าใจว่าต้องเข้มงวดเพราะเป็นพื้นที่ราชฐาน แต่แม่ง ควักเสื้อผ้ากรูออกมาหมดเลย ถ้ากางเกงในใช้แล้วหล่นออกมามรึงจะทำยังไง พอเจอสายชาร์จกล้องก็ถามใหญ่ว่านี่อะไรๆ ตื่นเต้นไปได้เด่อ ที่น่าเจ็บใจคือพอควักเสื้อผ้าออกมาเสร็จแล้วมันไม่เสือกเก็บให้ดิ ฟายยย จับยัดๆเป็นก้อนๆ แล้วผลักกระเป๋าเราไปอีกทาง กว่านราจะม้วนจะยัดกลับเข้าไปให้กระเป๋ามันรูดซิปปิดได้ก็ตั้งนาน
.
ข้างในจ้า
คนเยอะเหมือนกันนะ
เข้าไปแล้วก็นึกถึงว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนมันจะเป็นยังไงน้อ หินที่สร้างกำแพงนี่มันอยู่ตรงนี้มากี่ปีแล้วน้อ เกิดอะไรในนี้บ้าง ฮ่า ฟุ้งซ่านใช้ได้

เขาจะมีบันไดให้ขึ้นไปเดินดูบนกำแพงป้อมตามทาง ทะลุผ่านทาวเวอร์ต่างๆไปเรื่อยๆ จากตรงนี้มองเห็นสะพานนี่ด้วย โอ๊ยลืมชื่อไปแล้วอ่า แต่ที่ดีใจที่ได้เห็นก็เพราะว่ามันเป็นสะพานที่เขาถ่ายหนังเรื่อง เดอะมัมมี่ 2 ไง้ ฮ่าฮ่า โคตรไร้สาระเลย ตรงนี้เมื่อก่อนถือว่าเป็นวิวที่ดีที่สุด ห้องนอนของกษัตริย์ก็จะมองออกมาเห็นวิวริมแม่น้ำนี่แหละ

เห็นตึกแตงกวาด้วย วู้ว มันคืออะไรไม่รู้ จำได้ว่าเคยอ่านในรีดเดอร์ไดเจสต์
สวยดีค่ะ เห็นจากที่ไกลๆ
ที่ดังอีกอย่างของทาวเวอร์ออฟลอนดอนก็คือ กา ใช่แล้ว อีกา ดำๆ ก๊าๆ
เขาเรียก Ravens ไม่ใช่ Crows คิดว่าเพราะมันตัวใหญ่กว่าเยอะ จิกทีลูกตาหลุดแน่ กาที่นี่ปีกแหว่งค่ะ เขาตัดมันไม่ให้มันบินหนีไปที่อื่น
กาพวกนี้ไม่ได้มาอยู่ตามใจชอบนะคะ แต่เป็นกาที่รัฐบาลเลี้ยงไว้เลยแหละ เพราะมีตำนานว่าที่ลอนดอนทาวเวอร์ต้องมีอีกาอยู่เสมอ ไม่งั้นทั้งราชบัลลังก์และบ้านเมืองจะล่มสลาย อีกาต้องมีอยู่สิบตัวเสมอค่ะ และมีตำแหน่ง Ravenmaster สำหรับคนดูแลกาให้เป็นพิเศษเลยอีกด้วย
ประติมากรรมดุกดุ๋ยเหล็กหล่อ จำลองตำแหน่งนักรบเวลาออกศึกป้องกันปราสาท
ทำไมนรารู้สึกว่ามันน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้อ่า
ข้างในแต่ละหอ บางทีก็มีพวกหมวกเหล็ก หน้าไม้ให้ลองถือด้วยละ

จำชื่อหอคอยไม่ได้อ่ะ โฮๆ ขอโทษ มันผ่านมาหลายวันแล้ว แถมต้องรีบเดินแบบทำเวลาด้วย เพราะนัดเจอเพื่อนสมัยมัธยมไว้ตอนเที่ยงครึ่งค่ะ แต่จำได้ลางๆว่ามันใช้เป็นคุกเก่านะ ข้างในก็เป็นอิฐเก่าๆทึมๆเหมือนที่อื่นๆทั่วไป แต่ตามผนังยังมีลายมือนักโทษที่สลักอะไรไว้เยอะแยะ เขาก็รักษาเอาไว้ให้ดูนะ ส่วนใหญ่เป็นข้อความสลักชื่อตัวเองแล้วก็ข้อความเชิงศาสนา

สงสัยจังเอาเอาอะไรสลักหว่า ช้อนหรอ ลายเส้นคมกริบเชียว

นี่ White Tower ค่ะ
สัญลักษณ์อีกอย่างของลอนดอนทาวเวอร์
William the Conqueror สั่งสร้าง หินที่ใช้สร้างสั่งมาจากฝรั่งเศส ส่วนที่ได้ชื่อว่าเป็นไวท์ทาวเวอร์เพราะพระเจ้าเฮนรี่ที่สามสั่งให้กัดสีผนังหินด้านนอกทั้งหมดให้ขาวสวย ปัจจุบันเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงพวก Armoury ชุดเกราะคน เกราะม้า ชุดออกศึกของพระเจ้าเฮนรี่ที่แปด อุปกรณ์ต่อสู้ในสงคราม
จากพิพิธภัณฑ์นี้ทำให้เราได้รู้ว่า ตัวจริงของพระองค์ ทรงบึ้บบั้บมาก
จริงๆนราเข้าไป Jewellery House ด้วย แน่นอนห้ามถ่ายรูป
ออกมาตาพร่าพรายเดินไม่ตรงทางกันเลยทีเดียว
โอ้ยโหยย เพชร ทอง ล้วนๆ ปิ๊งปั๊งเปล่งปลั่งเต็มไปหมด
ข้างในจัดแสดงพวกมงกุฎ คฑา ดาบ เสื้อคลุมทองคำ
เพชรยอดมงกุฎเม็ดเท่าไข่ไก่ จริงๆไม่ได้อุปมา อุปลักษณ์ใดๆทั้งสิ้น
สมแล้วที่เขาบอกว่าประตูเซฟหนักข้างละสองตัน
.
ก่อนจะออก หิมะก็เริ่มลงบางๆ
แต่นราไม่ยอมกลับโดยไม่ได้เห็น Bloody Tower ร้อก
มันเป็นหอคอยที่ใช้ขังบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์เยอะแยะ ตายไปก็เยอะแยะ อย่าง Sir Walter Raleigh คนที่เป็นกวีก็โดนขังตั้ง 13 ปี ที่เขาบอกว่าถ้าคนนี้ไม่ตายก่อนนะเชคสเปียร์ไม่ได้เกิดหรอก
ริชาร์ดที่สามก็มีข่าวลือว่าคุมขังหลานที่มีสิทธิ์ในการขึ้นครองราชย์ไว้ที่นี่จนหลานตายไปตัวเองถึงได้ขึ้นครองราชย์แทน
Traitor's gate ประตูสำหรับนำตัวนักโทษเข้ามา
แต่ก่อนใช้สำหรับเป็นทางน้ำไหลสมัยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่หนึ่ง แต่ต่อมาก็กลายเป็นประตูรับนักโทษที่มาทางเรือผ่านแม่น้ำเทมส์ เห็นเขาว่าบางทีก็มีการเอาหัวนักโทษที่ตัดคอแล้วมาเสียบประจานบนเหล็กแหลมๆด้วย แอนน์ โบลีนผู้โด่งดังก็ผ่านประตูนี้มาเหมือนกัน ก่อนจะถูกประหารที่ Tower Green

ยังดูไม่ค่อยทั่วเลย แต่ต้องไปแล้วเพราะนัดกับเพื่อนไว้ นัดเจอกันที่ Tottenham Court Road เพื่อนบอกจะพาไปกินร้านเกาหลี แต่อุแม่เจ้าเอ๊ย โผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน ก็เจอแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ปกติลอนดอนหิมะไม่ตกไม่ใช่เรอะ

หิมะตกหนักมาก แถมเพื่อนมาช้าด้วย นราก็ยืนรอด้วยความกระวนกระวายใจ กว่าเพื่อนจะมาก็เกือบบ่าย สรุปมีเวลากินข้าวกันแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แทนที่จะได้ไปกินร้านเกาหลีก็กลายเป็นแมคโดนัลด์แทน แต่ก็ยังดีได้เจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอมานานนะ กินเสร็จนราก็รีบขึ้นรถไฟไปคิงส์ครอสทันที แต่แหมโว้ย หิมะตก รถไฟช้า รถไฟไม่วิ่งโว้ย กว่าจะไหวตัวทันเปลี่ยนสาย เวลาก็ลดน้อยลงทุกที
(จากตรงนี้ไปให้ตัดภาพเข้าโหมดสโลโมชั่น)
นราโผล่ขึ้นมาจากรถไฟใต้ดิน-นรามองหาชานชาลา-โอ้โน่ว รถไฟกรูไม่ได้อยู่คิงส์ครอส แต่มันอยู่เซนต์แพนคราส-นราวิ่งหาชานชาลา-เจอแล้วมีโลโก้รถบัสที่เราขึ้นขามาด้วย-นราเหลือบมองนาฬิกา ฉิบหายบ่ายสิบหกแล้ว รถออกบ่ายสิบห้า-นรากระโจนเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ ถามว่า "Excuse me, where is the train for Megabus passengers?"-เจ้าหน้าที่หันมาตอบ "อิ๊ทส์ ก๋อน"-It's gone มันไปแล้วโว้ยยย
แอร๊ยยย ตกรถไฟ นาทีเดียวมรึงก็ไม่รอหรอเนี่ย เครียด
สรุป ต้องร่อนเร่กลับไปหาเพื่อน ขอนอนอีกคืนเด่ะ แถมเสียตังค์ค่ารถไฟใหม่ 23 ปอนด์ ฮือๆๆ
นี่แหละเรื่องตื่นเต้นที่บอกค่ะ
.
ไหนๆก็ตกรถ ต้องอยู่อีกคืนแล้ว นราเลยไปที่ที่ยังไม่ได้ไปซะเลย
National History Museum ค่ะ ลงสถานี South Kensington บัตรรถไฟแบบใช้วันเดียวนี่เจอนราใช้แบบโคตรคุ้มอ่ะ 6.30 ปอนด์นี่ใช้จนบัตรเจ๊งไปรอบต้องไปขอให้เขาออกบัตรใหม่
วันนั้นเข้ามีลานไอซ์สเกตเปิดให้บริการด้วย แต่เราเล่นไม่เป็นขอดูเฉยๆแล้วกัน เห็นหนุ่มสาวจูงมือกันเล่นสเกต กระดี๊กระด๊า ทำเป็นหกล้ม อ๊าย ทับกันหวานชื่น ยึ่ย เห็นแล้วอยากเอาน้ำร้อนราดแม่ง (อิจฉาตาร้อน เป็นนิสัยที่ไม่ดีนะคะเด็กๆ Don't try this at home)
พิพิธภัณฑ์นี่เข้าฟรีไม่เสียเงินจ้า ยกเว้นส่วนที่เป็นนิทรรศการภาพถ่ายสัตว์ป่า

บอกตามตรง British Museum น่าสนใจกว่าเยอะ ที่นี่เขาเน้นพวกเกี่ยวกับโลก แผ่นดิน ระบบนิเวศน์อะไรทำนองนี้มากกว่า แต่ป๋าน่าจะชอบ มีพวกแร่อัญมณีเยอะแยะเลย นราก็ดูผ่านๆแหละเพราะไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ แต่คราวนี้เดินสบายหน่อยเพราะเอากระเป๋าไปฝากไว้แล้ว เสียไปอีกปอนด์ยี่สิบ เด่อ
.
นราชอบห้องเกี่ยวกับสัตว์มากฝ่า
ห้องแรกเป็นห้องนก นกสตัฟฟ์เยอะมาก บางตัวก็น่ากลัวดี แต่งานเขาทำดีมากนะคะ บางตัวเหมือนยังมีชีวิตอยู่เลย
ต่อไปเป็นห้องฟอสซิล ถึงบัดนี้นราก็ยังไม่รู้ว่าที่เขาโชว์ๆไว้อ่ามันของจริงหรือเปล่า เห็นติดป้ายไว้ว่าซื้อมาจากไหนเมื่อไหร่ด้วย ก็น่าจะเป็นของจริงละเนอะ โครงกระดูกใหญ่ๆนั่นเขาว่าเป็นโครงสล็อธโบราณค่ะ ใหญ่ค่อดๆ
ทำไม้ทำไมเวลาเข้าพิพิธภัณฑ์ นราเข้าผิดด้านทุกทีเลยให้ตายเถอะ เดินมาเรื่อยๆถึงรู้ว่า อ่อ ข้างหน้ามันอยู่ตรงนี้นี่เอง โถงสวยมากกกก มีโครงกระดูกไดโนเสาร์คอยาวตามแบบฉบับพิพิธภัณฑ์ทั่วไป
แต่นราประทับใจกับโถงจริงๆ ศิลปกรรมการก่อสร้างนราไม่รู้หรอกเขาเรียกว่าอะไร แต่สวยจังเลย ใหญ่โตอลังการมาก ยิ่งตรงบันไดทอดขึ้นไปชั้นสองนะแจ่มสุดๆ เสียดายถ่ายรูปมาไม่ได้ ติดอีญี่ปุ่น แม่งถ่ายกันอยู่นั่นน่ะไม่เลิกไม่รา นราเลยช่างมันไว้มาใหม่ก็ได้
บนเพดานมีภาพวาดดอกไม้ต่างๆด้วยนะ แต่ละช่องไม่ซ้ำกันเลย ให้นราเอาเต๊นท์มากางนอนดูดอกไม้บนเพดานทั้งคืนยังได้เลยนะเนี่ย
ก่อนกลับเสียตังค์ซื้อโปสการ์ดมาอีกสี่ใบ สวยดี
และก่อนกลับก็แรดไปไชน่าทาวน์อีกแล้ว ฮ่า กินโฟร์ซีซั่นอีกแล้ว
แต่ไม่ได้กินเป็ดเพราะงบหมด เอาไปซื้อตั๋วหมดแล้ว กินแต่บะหมี่เกี๊ยวกุ้งอย่างเดียวแล้วกลับบ้านไปหาบี ซิกๆ ซิกๆ บีขาเพื่อนกลับมาแล้ว
เช้าวันต่อมาก็เหมือนรีเพลย์เทปใหม่ บีไปส่งที่สถานี กอดร่ำลากัน แล้วนราก็กลับสู่โลกใบเดิมที่ยอร์กค่ะ
...และตั้งแต่นั้นมา นราก็ไม่ได้ออกจากห้องอีกเลย โฮๆๆๆ...
.
ใบตอง
วันหลังพานราไปกินจิคะ
เมื่อไหร่จะได้ดูรูป
.
มุกกุ
โหยฟิตใหญ่เลยนะคะ ขอให้เพรียวสวยสมใจไวๆ อย่าลืมเอารูปให้ดูด้วย นราเองก็ผอมลงนิดหน่อย แต่เป็นผอมโทรมค่ะ ซิกๆ
.
แนนโกะ
รายงานยังอยู่ค่ะแต่ไม่รู้อยู่มุมไหนของบ้าน
เรื่องทิป นราก็ไม่รู้เหมือนกัน ทุกวันนี้ก็หน้าด้านไม่ให้ทิปไปเรื่อยๆค่ะ
.
มะแอ้
ไม่ต้องเสียใจไป เดี๋ยวอุ้ยเรียนจบกลับไปแล้วเราไปแรดที่ฮ่องกงด้วยกัน เดี๋ยวพาไปจับตูดมิกกี้เม้าส์นะ ช่วงนี้อุ้ยยุ่งมากๆเลย ขอโทษทีน้าไม่ได้โทรหา เดี๋ยวเคลียร์งานต้นเดือนนี้หมดแล้วจะโทรหาแน่ไม่ต้องห่วงจ้า
.
ตาหมู
ไม่อยากเม้นท์มั่งหรอไง

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

Going Solo in London #2

อัพบล็อกบ่อยเหมือนชีวิตไม่มีอะไรจะทำ
ซึ่งจริงๆก็มี แต่มันทำไม่ได้ เขียนไม่ออก สมองตาย
ตอนนี้สายตามีอาการแปลกๆ มันพร่าๆเบลอๆเวลามองคอม
กลัวม่านตาจะฉีกเหมือนอาจารย์รุ่นพี่ที่เขาเล่าให้ฟังจังอ่า
.
ม่ะ ต่อๆ วันนี้วันอังคารที่ห้ามกราค่ะ ตั้งใจว่าจะตื่นแต่เช้า โปรแกรมที่วางไว้คือไปสวนคิว แล้วก็สวนสัตว์ลอนดอน ต่อด้วยห้างแฮร์รอดตามคำบัญชามะแอ้ แต่ปรากฏเมื่อคืนเม้าท์แตก นอนดึก ตื่นมาก็เก้าโมงกว่าเกือบสิบโมง ลังเลอยู่นานว่าจะไปสวนคิวดีไหมน้อ ช่วงฤดูหนาวนี่สวนสัตว์มันปิดเร็วด้วยสิ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแล้ว แต่เอาเข้าจริงก็เสียดาย แวะไปจนได้
Kew Gardens เป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่เบ้งที่อยู่มานานกว่า 250 ปีแล้ว นราได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือเรื่องเถาวัลย์มหัศจรรย์ของเฮเลน เครสเวลล์ คิดไว้ว่าถ้ามาอังกฤษต้องมาให้ได้ แล้วก็สมใจเจ๊ นั่งรถไฟใต้ดินสายสีเขียวจากบ้านเพื่อนมาลงสถานีคิวการ์เดนท์ส เดินตรงไปอีกหน่อยก็ถึง ค่าเข้า 11 ปอนด์สำหรับนักเรียนค่ะ

เวิ้งว้างว่างเปล่า หิมะขาว ปกคลุมไปทั่วสวน ก็มันหน้าหนาวหนิต้นไม้ที่ไหนจะงอกให้ดู ต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบก็มีแต่พวกสนใหญ่ๆ ใหญ่โคตรๆเหมือนต้นไม้ยุคไดโนเสาร์ แต่นราทำใจแล้วละว่าหน้าหนาวมันคงไม่มีอะไรมาก เลยกะว่าจะเข้าเรือนกระจกให้หมดทุกหลังแทน หลังแรกที่เข้าไปเป็น Palm House เป็นเรือนกระจกสถาปัตยกรรมสมัยวิคตอเรียที่สร้างด้วยกระจกและเหล็กที่อยู่มาถึงทุกวันนี้ค่ะ ข้างในอุ่นๆดี รวบรวมพืชตระกูลปาล์ม มะพร้าว และพวกพืชเขตร้อนทั้งหลาย

ไม่ได้ถ่ายรูปมาเท่าไหร่นะพวกปาล์ม ไม่รู้จะถ่ายมาทำไม อยู่ไทยเห็นทุกวัน มีต้นกล้วยสองต้นกำลังออกเครือ อิเด็กฝรั่งวิ่งมาโกลาหลกันใหญ่ ร้องบอกพ่อมัน ลุ้กๆๆ บาน้าน่าๆๆ เกิดมาไม่เคยเห็นกล้วยเว้ย ตลกดี เป็นเพราะเราเห็นจนชินแล้วมั้ง ในเรือนปาล์มก็มีไม้ดอกประปราย ลูกสีแดงๆนี่เป็นต้นไม้ของทิเขต ส่วนเขียวๆมาจากแอฟริกามั้ง ไม่ก็ออสเตรเลีย รีบเดินทำเวลาน่ะเลยจำชื่อต้นไม้ไม่ค่อยได้ เสียดายอยู่เหมือนกัน ส่วนต้นไม้หงิกๆงอๆนั่นคือต้นโอ๊คที่เก่าแก่ที่สุดในสวนค่ะ อายุอานามประมาณสองร้อยกว่าปี
ถัดจากเรือนปาล์ม ก็เป็นเรือนกระจกเล็กๆชื่อ Evolution House มั้งนะ จำลองการเปลี่ยนแปลงของพืชตั้งแต่ยุคสร้างโลกถึงยุคไดโนเสาร์ เรียบๆไม่มีอะไรมาก เหมือนสวนจำลองแถวบ้านเศรษฐีอ่ะ ขาดแต่ตุ๊กตาอาแปะตกปลา มาเรือนกระจกหลังนี้ดีฝ่า Temperate House ใหญ่โตอลังการงานสร้างสุดโคตร เป็นเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ เขาโฆษณาไว้ว่างั้นนะ
ในนี้ดอกไม้ตระกูล Rhododendron หรือกุหลาบพันปีโคตรสวย บานเต็มต้นเป็นพุ่มใหญ่ๆ ขนาดมีไม่กี่สีนะ นี่ถ้ามาหน้าร้อนจะสวยขนาดไหนน้อ
เรือนนี้เขาแบ่งออกจากตรงกลางเป็นเรือนซ้ายขวา เดินง่ายดีไม่หลงทาง ดอกไม้สวยๆเยอะเลย ดอกสีชมพูนี่ก็อยากเห็นของจริงมานานแล้ว ดอกฟุกเชีย ไอ้ส้มๆจำไม่ได้ แต่ชอบลูกแดงๆนี่จัง เขาเรียก Tomato Tree หน้าตาเหมือนมะเขือเทศเปี๊ยบ ใบเหมือนมะอึก แต่ต้นเบอเริ่มเลย เขาว่ารสชาติคล้ายมะเขือเทศกับส้ม อาหย่อย กินได้

เหมือนโลกนี้เป็นของเราค่ะ นานๆทีจะเจอมนุษย์สักคน เจอพนักงานเล็มกิ่งต้นไม้ที่หน้าตาเหมือนแซ็ก แอฟรอนด้วย แต่ไม่ใช่สเป็กเลยไม่สนใจ ดูดอกไม้ดีฝ่า ตรงนี้จำได้ว่าเป็นต้นไม้จากโซนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ลืมหายใจกับพุ่มคามีเลียสีแดงกับชมพู ออยยยย สวยจังเลย มีความสุขมากมาย อยากอยู่ดูนานๆ แต่เวลาไม่อำนวยเล้ย รีบดูรีบเดินเพราะกลัวไปสวนสัตว์ไม่ทัน

ออกจากสวนคิวตอนประมาณเที่ยงครึ่งค่ะ ขึ้นรถใต้ดินไปเปลี่ยนเป็นสายสีดำ แล้วลงสถานี Camden Town ตอนอ่านในเว็บไซต์นะมันก็อธิบายว่าเดินไม่นาน ประมาณ 10 - 15 นาที ไอ้เราก็นึกว่าเดินเรื่อยๆ ลืมไปว่าฝรั่งประเทศนี้ชอบพูดให้เหมือนใกล้ เดินจริงๆโคตรไกลอ่ะ ป้ายบอกทางก็ไม่ค่อยมี ยังดีว่ามีป้ายรูปกอริลลาแขวนเป็นระยะเลยพอเดินไปถูกทาง ใครคิดจะเดินบอกเลยค่ะว่าไกลฉิบหาย ควรพกกระติกน้ำและข้าวสารอาหารแห้ง รวมทั้งเต้นท์และอุปกรณ์ก่อไฟไปด้วย
บ่นไปงั้นแหละ พอถึงก็กระดี๊กระด๊า
พนักงานใจดี เข้ามาบริการถึงที่ นราจองตั๋วทางเน็ทไว้แล้วเลยได้ราคาที่ถูกกว่าปอนด์นึง คนไม่ค่อยมีเหมือนเคย ก็แหงละสิหน้าหนาวนี่ฝ่า
ไปถึงเข้าอควาเรี่ยมก่อนเลย เป็นตึกเตี้ยๆมืดๆ ก็มีปลาแบบที่เขามีกันทั่วไปในตู้ปลาทั่วโลกอ่ะนะ แต่นราก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงชอบดู เหมือนก็จะดูอยู่ดี แต่มีปลาปิรันย่าด้วยนะ เป็นปลาหน้าตาบอกบุญไม่รับ ในรูปเป็นพันธุ์ Red Belly Piranhas ค่ะ ปลาพวกนี้ไม่ว่ายนะ มันลอยนิ่งๆอยู่ในน้ำ รออาหารมาแล้วค่อยพุ่งเข้าไปงาบ
.
ออกมาเจอบ้านกอริลลา เดินไปดูเห็นแต่หิมะกับของเล่นลิง เหอะๆ ทำใจไว้แล้วแหละว่าคงเห็นสัตว์ไม่มากเพราะมันหนาว ยังดีว่าเดินเข้าไปอีกด้านแล้วเจอห้องกระจก ขำพี่กอริฯท่านนี้มาก ท่านแบบว่านั่งชิลอยู่ในตะกร้าแล้วแดรกกล้วยแบบไม่แคร์สื่อ ข้างนอกมีลิงอะไรสักอย่าง มีลูกเล็กๆด้วย น่าร้ากอ่า เห็นลิงแล้วคิดถึงน้องชายแหะ ดูลูกลิงรูปแรกจิมีการช้อนตาสู้กล้องด้วย ส่วนลูกลิงรูปล่างน่าสงสาร มุดไปมุดมาโดนพ่อมันตบเหม่งไปที
นกกระทุงกำลังเปลี่ยนสีเลย จากขาวเป็นชมพู เพราะใกล้ฤดูผสมพันธุ์ แต่ที่ฮาปนสงสารคือ นกมันหนาว แล้วมันสั่นงั่กๆๆ ส่วนยีราฟนี่เป็นดาราดังค่ะ ชื่อเอลลิชมั้งถ้าจำไม่ผิดนะ ต้องเข้าไปดูในโรงเรือนข้างใน เพราะมันทนหนาวไม่ไหวเขาต้องย้ายมันเข้ามา ม้าลายกับโอคาปิก็เหมือนกัน แม้แต่เพนกวินยังไม่ค่อยว่ายน้ำเลย อุดตัวเองอยู่ในบ้านกับโพรงใต้ดิน เห็นเพนกวินก๊อต้องคิดถึงแม่ เพราะแม่ชอบเพนกวิน
ชอบๆๆๆ ตัวนาก มีเก้าตัว ร้องเจี๊ยบๆจิ๊บๆเหมือนนก ร้องไปสั่นงั่กๆไป น่าสงสาร พอเห็นคนมามองมันก็จะยืนสองขาแล้วมองหน้า ประมาณว่ามีอะไรให้กรูกินไหมๆๆๆ
ไอ้ตัวกลมๆสีเผือกที่มีแต่หูโผล่ออกมามันคือตัวกินมดอะไรสักอย่างค่ะ หน้ามันจะยาวๆ แต่นี่เขานอนหลับอยู่ โคตรขำ นี่ท่านอนเหรอเนี่ย เห็นแต่หูปุ๊ดออกมา นอนทับหัวตัวเอง
นรามาเพื่อดูไอ้ตัวนี้แหละ เมียร์แคท มันก็คือทีโมนเพื่อนพุมบ้าในเรื่องไลอ้อนคิงนั่นเอง ตัวจริงน่ารักกว่าเยอะ หน้าตามันเหมือนหมาเล็กๆ จมูกแหลมๆ ตอนจะถ่ายรูปนราเพิ่งกินช็อกโกแลตเสร็จ ก็กำห่อฟอยล์เอาไว้ในมือ แล้วมันคงได้ยินเสียงกรอบแกรบๆมั้ง วิ่งมาหากันใหญ่ มาแล้วยกสองขาหน้า น่ารักกกก อยากเอากลับบ้าน ที่ฮากว่านั้นคืออากาศมันหนาว ทางสวนสัตว์ก็เลยเอาไฟแดงๆอุ่นๆมาติดในบ้านมันให้ แล้วเมียร์แคทมันก็ยืนเด่อยู่อย่างนั้นทั้งวันแหละ ใต้ไฟแดงๆ ประมาณว่าอาบแดด
ยืนดูตัวนี้นานๆก็เห็นเหมือนที่เนชันแนลจีโอฯบอกไว้เลยว่าเมียร์แคทมันจะมียามเฝ้าฝูง จะมีตัวนึง (ไอ้อ้วนในรูปนี่แหละ) นั่งพุงย้อยอยู่บนคบไม้ ตัวอื่นก็กินก็เล่นกันไป ตัวนี้ก็จะล่อกแล่กๆตลอดเวลา
ลิงดำๆ คือลิงมาคาก มีลูกสี่ตัว โคตรซน
สวนสัตว์ไม่กว้างมาก นราเดินจนสวนสัตว์ปิดก็พอดีดูครบเกือบหมด เอาไว้คราวหน้าอากาศดีๆค่อยไปใหม่ จะได้เห็นกอริลลาเต็มๆซะที ก่อนกลับซื้อถุงมาใบนึงราคาหนึ่งปอนด์ เป็นถุงใส่ของธรรมดา กะเอาไว้ใส่ของตอนช็อปปิ้ง
.
ออกมาจากสวนสัตว์ก็เริ่มมืดแล้ว วันนี้สงสัยเดินเยอะเลยไม่ค่อยหนาว ออกจะอุ่นจนร้อนด้วยซ้ำ ป้ายต่อไป จอดที่ห้างแฮร์รอดส์ค่ะ นั่งสายสีน้ำเงินมาลง Knightsbridge ขึ้นมาปุ๊บเจอทันทีเลย คนไทยเยอะมาก ได้ยินเสียงภาษาไทยดังเชียว มีอีตาคนนึงนะ เจอเฮียตั้งแต่ในรถไฟ หัวเราะโคตรดัง แถมหัวเราะทุเรศด้วย แบบหัวเราะเสียงหมูอ่ะ ฮ่า ฮ่า เอิ่กๆๆๆ ฮ่าๆ เอิ่กๆๆ โคตรน่ารำคาญเลยให้ตาย แถมตอนไปช็อปก็บ่นอยู่นั่นน่ะ ทำไมคนไทยต้องมาแฮร์รอดส์ด้วยวะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย แต่มือแม่งหยิบไม่หยุดเลยของอ่ะ
เอ๊ะ กลายเป็นนินทาคนอื่นได้ไง สรุปว่านราได้ประเป๋าแฮร์รอดส์มาห้าใบค่ะ แฮะๆ ของแม่สองใบ แล้วอีกสามมาจากไหนไม่รู้ ตอนนั้นมันหมดสติไป ตื่นมาก็จ่ายตังแย้ว
.
ไหนๆก็ออกมาแล้ว ด้วยความซ่านราก็ร่อนต่อไปที่ Chinatown ลงสถานี Leicester Square หิวมากๆ ไส้กิ่วเลย เพราะไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า กินช็อกโกแลตไปแท่งเดียวกับน้ำนิดหน่อย พอดีนึกขึ้นได้ถึงเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงเป็ดโฟร์ซีซั่น เลยเอาซะหน่อย จะอร่อยอะไรนักหนา
นราสั่งบะหมี่เกี๊ยวกุ้งหนึ่งชาม แล้วก็เป็ดย่างผัดกับหน่อไม้ แพงนะจานตั้งหกปอนด์ครึ่ง จริงๆจะให้ดีต้องกินแบบที่ย่างครึ่งตัว แต่กินคนเดียวมันออกจะเยอะไปหน่อยแถมเกินงบด้วย ผลปรากฏว่าเป็ดก็อร่อยแหละ ตอนร้อนๆก็อร่อยมาก แต่ที่อร่อยจนน้ำตาจะร่วงคือเกี๊ยวกุ้ง อ่อยยยย กุ้งเป็นกุ้ง กัดไปเจอแต่กุ้ง ฮืออออ อร่อย มื้อนี้โดนไปสิบหกปอนด์ บวกทิปอีกปอนด์นิดๆ
.
หมดเวลา ต้องกลับแล้ว อยู่ดึกกลัวโดนปล้น ยิ่งสวยๆอยู่ด้วย
คืนนี้ลอนดอนหิมะตก คนลอนดอนตื่นเต้นกันใหญ่ พยายามจะลากนราไปถ่ายรูป เหอะๆ ตอนนี้ที่ยอร์กหิมะหนาท่วมข้อเท้าแล้วหละ นราไม่ตื่นเต้นอย่างยิ่ง
นี่ถ่ายที่หน้าบ้านกับบี เพื่อนที่ให้ไปนอนด้วย
เหลืออีกหนึ่งวันก็ต้องกลับไปเจอกับโลกแห่งความจริงที่ยอร์กแล้ว หนาว แถมงานยังไปไม่ถึงไหนอีก คิดแล้วเหนื่อย แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ มันมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในวันสุดท้ายนี่แหละ อยากรู้ต้องติดตามนะ อย่าลืมเมนท์ให้หนูด้วย ดีใจที่เห็นว่าเพื่อนๆติดตามบล็อกอยู่ค่ะ