วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Birthday Cake Party @ Sweet Secret


วันนี้วันเกิดพี่อู๊ด พี่ที่ทำงาน
ตอนเย็นหลังเลิกงานก็เลยพากันมาฉลองวันเกิดเล็กๆ น้อยๆ ให้พี่เขา
มากันที่ร้าน Sweet Secret ในปิยะรมณ์สปอร์ตคลับ
เป็นร้านเค้กเล็กๆ แต่อร่อยเทพ
ตามคำแนะนำและยืนยันการันตีของนักชิ้มตัวยงแถวๆนั้น

พอเปิดประตูเข้าไปก็ได้กลิ่นหอมลอยมาทันที
หอมกลิ่นแป้งพายกรอบๆ กลิ่นชาร้อนๆ
บรรยากาศร้านเล็กๆ แต่น่านั่ง


บอกตามตรง เห็นแวบแรกก็นึกขึ้นมาว่า ไม่เห็นจะต่างจากเค้กร้านอื่นซักเท่าไหร่นิ
ชิ้นค่อนข้างใหญ่ ราคาก็เลยใหญ่ตามชิ้นไปด้วย
ประมาณชิ้นละ 75 - 100 บาท คุ้กกี้ชิ้นละ 25 บาท
แต่มันดูน่าหม่ำจริงๆ ล่ะ อันนี้เค้กบราวนี่ ช็อก ชีสเค้ก


เค้กลูกพรุน


พายเห็ด น่ากินเหลือเกิน เล็งอันนี้ไว้อันแรก
ถาดข้างๆ (ไม่ได้ถ่ายมา เพราะมองอย่างนี้หน้าตามันก็เหมือนกัน) เป็นพายไก่ แต่เราเลือกกินพายเห็ดดีกว่า พายไก่กินมาเยอะเบื่อแย้ว


แล้วทุกคนก็ทยอยสั่งกันคนละอย่าง พร้อมชาเย็นคนละแก้ว
แต่เราไม่สั่ง ดื่มน้ำเปล่า ไม่ได้รักสุขภาพ
แต่เป็นเพราะเราไม่มีตังค์

อิงลิช บานอฟฟี
AKA อภิมหาโคตรครีมกระหน่ำโลก
ครีมก้อนใหญ่มากกกก ข้างล่างเป็นกล้วยหอมและโอรีโอบด
โอ๊ย อร่อยได้อีก
เนื้อครีมเบา หอมกลิ่นกล้วยจางๆ หอมเย็นๆ
ไม่เลี่ยน ไม่มัน และไม่สามารถหยุดกินได้


ว่าแต่เขารู้ได้ยังไงว่ามันเป็นอิงลิช?
มันอาจจะเป็นอเมริกัน สแปนิช หรือเตอร์กิชก็ได้นา

เค้กมะพร้าว ของดีขึ้นชื่อของร้าน
ที่ทำให้พี่อีกคนถึงกับยอมขับรถออกนอกเส้นทางกลับบ้านมาซื้อ
อันนี้นราชิมไปหน่อยเดียว เพราะไม่ชอบมะพร้าว
แต่ก็อร่อยอีกแล้ว ครีมเบาเหมือนปุยเมฆ
หอมกลิ่นมะพร้าวพอดีๆ ไม่มะพร้าวจ๋าจนเหม็นฉึ่งแบบที่เราไม่ชอบ


อันนี้เบสิคเค้กที่ทุกร้านต้องมี บลูเบอร์รีชีสเค้ก
อันนี้นราไม่ค่อยได้ชิม เพราะเป็นของพี่เจ้าของวันเกิด
ได้ชิมเศษๆ รู้สึกว่าเนื้อเค้กออกเปรี้ยวไปนิด และเนื้อหยาบร่วนไปหน่อย


ฮ่า ฮ่า อันนี้ของเรา พายเห็ดซอสขาว
ชิ้นประมาณหนึ่งคืบ
ตอนที่เขาร้องเพลงแฮปปีเบิร์ธเดย์กัน นราก็ร้องนะ
แต่มือถือส้อม ตาก็จ้องมองพาย
ไม่ไหวแล้ว น้ำลายไหลย้อย อยากกินใจจะขาด


ไส้ใน
ไม่ใช่เห็ดแชมปิญอง แต่เหมือนเป็นเห็ดไทยสักอย่าง
น่าจะเป็นเห็ดพวก เห็ดนางฟ้า
จริงๆ พายเห็ดที่ไม่ใช้เห็ดแชมปิญอง หรืออย่างเลวก็เห็ดฟางดีๆ
ควรจะถูกประณามอย่างยิ่งยวด
แต่สำหรับกรณีนี้ยกเว้นให้เป็นพิเศษ
อา หย่อย มาก มาย
ซอสในพาย อร่อยเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ (ปานนั้นแน่ะ!)
ตัวแป้งพายเองก็อร่อยมากเหมือนกัน
ปกติแล้วตรงขอบๆ มันก็แห้งแข็งไม่น่ากิน
แต่พายร้านนี้มันกรุบกรอบ แล้วก็อร่อยหมดทุกส่วนเลย


สรุป อร่อยหมดทุกอย่าง
ยกเว้นชีสเค้ก ที่ Cheesecake House เหนือกว่าหลายขุม
วันหลังจะแวะไปอีก
แต่คงอีกสักพักล่ะนะ
ราคาขนาดนี้กินทุกวันขนหน้าแข้งงอกไม่ทันแย่เลย
...................................

อัพเดทเรื่องเรียนต่อสักเล็กน้อย
เมื่อวาน มีอีเมล์ส่งว่า หัวข้อ Accommodation at York
ไอ้เรารึก็ดีใจใหญ่ คิดว่าเอาละเหวย ได้ที่อยู่ซะทีเรา
ปรากฏเป็นอีเมล์ที่ส่งมาผิด เป็นอีเมล์ของพวกเด็กอังกฤษและอียูมัน
อารมณ์เสียมาก แม่ม ทำให้ดีใจแล้วถีบหงายหลัง
สรุปแล้วก็คือ ยังไม่มีที่จะอยู่เหมือนเดิม

ตอนนี้อยากได้ทอล์กกิ้งดิก เตรียมไว้ตอนไปเรียนโน่น
อยากจะซื้อ แต่เดี๋ยวนี้ผลิตออกมามีแต่พวกฟังก์ชั่นครอบจักรวาล
อยากได้แบบธรรมดาๆ ง่ะ แค่ อังกฤษ-ไทย ไทย-อังกฤษ อังกฤษ-อังกฤษ
ของออกซ์ฟอร์ดหรือดิกอื่นที่น่าเชื่อถือพอกันก็ได้แล้ว
ไอ้พวกจอสี จอสัมผัส ดูหนังฟังเพลงน่ะ ไม่อยากได้หรอก
ใครมีก็บอกได้นะ

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

VISA Day


วันนี้เปลี่ยนอารมณ์ อยากชิดซ้ายมั่ง ฮิ ฮิ

หลังจากรอคอยเอกสารต่างๆ มานาน
เมื่อวานก็ได้ฤกษ์อันดี ไปขอวีซ่าให้ตัวเองสักที เอกสารที่นำไปยื่นเยอะแยะมากมายไปหมด
ก่อนจะออกจากบ้านนี่ต้องตรวจแล้วตรวจอีก รู้ว่าตัวเองความจำดีกว่าปลาทองนิดหน่อยก็เลยต้องระมัดระวัง
เผื่อใครแวะเข้ามาหาข้อมูลเกี่ยวกับการขอวีซ่าประเทศอังกฤษในฐานะนักเรียน ก็เลยจะแปะลิสต์เอกสารที่ใช้ไว้ตรงนี้นะคะ จะได้มีประโยชน์กับคนอื่นบ้าง ไม่ใช่วันๆ เอาแต่พล่ามเรื่องไม่อยากไปเรียน กับเรื่องของกิน

- แบบฟอร์ม VAF9 (General Student) ที่กรอกเรียบร้อยแล้วด้วยหมึกดำหรือน้ำเงิน ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่เท่านั้น สำคัญนะคะเช็กความถูกต้องให้ดีๆ (ไอ้ฟอร์มนี่แม่มกรอกแล้วโคตรงง ถ้าพี่ที่เอเจนท์ไม่ช่วยนี่ก็คงต้องมีผิดมั่งละ)
- แบบฟอร์มออนไลน์ที่เราไปกรอกในเว็บ UK4visa อะไรสักอย่างแล้วพรินท์ออกมา เป็นข้อมูลส่วนตัวทั่วไป
- Checklist Form อันนี้ไปโชว์โง่ที่ศูนย์รับคำร้อง คือไม่มี และไม่รู้จัก เขาต้องให้มานั่งกรอกใหม่แล้วค่อยยื่น ถ้าใครไม่มีฟอร์มนี้ไม่เป็นไรค่ะ ไปหยิบเอาที่ศูนย์ได้ เขามีให้
- พาสปอร์ตตัวจริงและสำเนา ถ้ามีเล่มเก่าก็เอาไปด้วยละ
- สำเนาบัตรประชาชน ในกรณีนรากลัวเค้าไม่เชื่อว่าเป็นคนมีอนาคตเลยแนบสำเนาบัตรอาจารย์ม.กรุงเทพไปด้วย
- VISA Letter จากทางมหาวิทยาลัยที่เรากำลังจะไปเรียน
- เอกสารรับรองที่พัก กรณีนรายังเป็นผีไม่มีศาล เคว้งคว้างรอคอนเฟิร์ม ก็เอาอีเมล์ที่ทางโน้นเขาเขียนมาบอกว่ากำลังจัดหาที่พักให้อยู่แนบไปแทน
- เอกสารยืนยันการจองตั๋วเครื่องบินที่แสดงวันเดินทาง
- ใบรับรองการจบการศึกษาหรือประกาศนียบัตร พร้อมด้วยทรานสคริปท์
- เอกสารรับรองทางการเงินว่าเรามีปัญญาจ่ายจนเรียนจบแน่นอน กรณีนราเป็นจดหมายรับรองทุนการศึกษาจากม.กรุงเทพ และแบงค์สเตตเมนท์ของมหาลัยค่ะ
- ใบรับรองการปลอดวันโรคของ IOM
- ค่าธรรมเนียม 8410 บาท ซื้อดราฟได้ที่ธนาคารชั้นล่าง
เอกสารทุกอย่างถ่ายสำเนาไว้สองชุดนะคะ คือเราต้องให้เขาสองชุด คือชุดเอกสารตัวจริง และชุดสำเนา พวกบัตรประชาชนกับพาสปอร์ตก็เขียนรับรองสำเนาถูกต้องด้วยล่ะ

นราเอาไปเท่านี้แหละค่ะ ไปถึงสิบเอ็ดโมงครึ่ง ชั้นสอง อาคารรีเจนท์เฮ้าส์ คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ถึงจะได้รับการเตือนมาแล้วว่าคนจะเยอะ แต่ก็อดเหนื่อยใจไม่ได้อยู่ดี เพราะดูก็รู้ว่ารอนานแหงๆ ไอ้เราไปแบบฉุกละหุกก็ไม่ได้นัดล่วงหน้าซะด้วย

ไปถึงอย่าลืมไปขอบัตรคิว แล้วพี่ยามจะสแกนตัวเราก่อนจะปล่อยให้เข้าไปข้างใน อันนี้เดี๊ยนขอนินทานิดหนึ่ง คือเดี๊ยนเนี่ยก็เหมือนบ้านนอกเข้ากรุง ทำอะไรยังไงตรงไหนก็ไม่รู้ ทีแรกเดี๊ยนก็ไม่ได้เอาบัตรคิว เด๋อเข้าไปเลย แล้วก็ไปยืนหันรีหันขวางอยู่ในนั้น แม่สาวพนักงานสองคนที่ยืนอยู่ตรงประตูก็ยืนเม้าธ์กันอยู่นั่น ประหนึ่งว่าพลัดพรากจากกันในสงครามเวียดนามมาหลายปี ทำหน้าที่ภาษาห่าไรไม่รู้ ไม่ได้ดูแลคนที่มาเลย กลับบ้านไปแปรงฟันนอนไป๊อีนี่!

ขอโทษค่ะนอกเรื่องได้บัตรคิวแล้วก็มานั่งรอนะ นราก็รอออออ
รอออออ....
รอออออ...
จนถึงบ่ายโมงก็ถึงคิวเรา ให้ตายเหอะ ไปยื่นเอกสารแล้วก็รู้ว่าเราขาด Checklist อีก ต้องมานั่งกรอกใหม่ แล้วรีบเอาเอกสารไปยื่น
นรานะเสียวมาก กลัวเอกสารขาด เอามาผิด หรือต้องใช้สำเนามากกว่าที่มี...กำมือแน่นเหมือนรอฟังประกาศผลนางงาม
สรุป เอกสารไม่ขาด ไม่เกิน ถูกต้องครบถ้วน
...แต่ VISA Letter เสือกผิด!!...

แอร๊ยยยย มันไม่ใช่ความผิดชั้นนะเนี่ยยยย York จ๋า What did you do to me เนี่ย?
ใน Student Nationality เขาเขียนว่า Thailand ไม่ใช่ Thai
นราไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร ไม่ได้ติดใจ แต่เจ้าหน้าที่อะดิมาไซโคนรา บอกว่า "จะเอากลับไปเปลี่ยนไหม เคยมีคนโดนปฏิเสธวีซ่าเพราะแบบนี้มาแล้วนะ" ทำเอานราหน้าเขียวด้วยความกลัว แต่ต้องยืนยันว่าจะยื่นเอกสารตัวนี้

โธ่คุณขา กว่าจดหมายใหม่จะมาก็เป็นเดือน กว่าเดี๊ยนจะขอเอกสาร จดหมายรับรองต่างๆนานาใหม่อีกรอบ กว่าผลวีซ่าจะออกว่าผ่านไม่ผ่าน มันคงจะทันกันภายในเดือนเดียวหรอกนะคะ แล้วถ้าเกิดเขาให้ แต่ให้มาเป็นวีซ่าแบบสามเดือนเพราะข้อมูลไม่ถูกต้อง นราก็ต้องไปต่อที่อังกฤษ นั่นหมายความว่าเดี๊ยนจะต้องเดินเรื่องขอเอกสารผีบ้าทั้งหลายนี่ใหม่อีกครั้ง ทำไมชีวิตนรามันบัดซบงี้คะ

แต่เอาน่ะ นราเขียนเมล์ไปถามมหาลัยแล้ว เขาก็ยืนยันกลับมาว่าข้อผิดพลาดจุดนี้จะไม่ทำให้เราโดนปฏิเสธหรอก แต่เขาก็ส่งเอกสารใหม่มาให้อยู่ดี ฮ่วย แล้วทำไมไม่รู้จักเขียนให้มันถูกแต่แรกน้อ แต่อย่างน้อยก็สบายใจขึ้นค่ะ ต้องรอดูผลอีกที

พอยื่นเอกสารเสร็จก็เดินมารับบัตรคิวสำหรับการสแกนลายนิ้วมือค่ะ รอนานอีกเหมือนกัน แต่อันนี้เสร็จเร็ว เข้าไปเซ็นเอกสารนิดหน่อย กดๆ จิ้มๆ ให้เขาลอกแบบลายนิ้วมือเราไป แล้วก็ถ่ายรูป จบ กลับบ้านได้ เก็บใบเสร็จกับสำเนาพาสปอร์ตไว้มารับตัวจริงคืนวันหลัง

พูดเหมือนสั้น เหมือนแป๊บเดียว แต่สรุปแล้ววันนั้นนราใช้เวลาที่ศูนย์ยื่นคำร้องขอวีซ่าตั้งแต่สิบเอ็ดโมงครึ่งถึงบ่ายสาม สามชั่วโมงครึ่งแน่ะ หนังสือที่เอามาก็อ่านแล้วอ่านอีก ใครจะไปก็เตรียมตัวให้พร้อมนะคะ เอาหนังสือไปอ่าน เอางานไปทำ (รู้สึกเขาไม่ให้ฟังเอ็มพีสามนะ) ห้องน้ำก็เข้าให้เรียบร้อย เกิดลุกไปเข้าแล้วเขาเรียกเลยคิวเราไปแล้ว ต้องไปต่อคิวใหม่เลยนะเอ้อ

สรุปว่าก็ก้าวเข้าใกล้วันแห่งการเปลี่ยนแปลงไปอีกก้าว นึกแล้วก็หดหู่ใจจัง เฮ้อ
จบมันเศร้าๆ ดื้อๆ ยังเงี้ยแหละ เพราะตอนนี้ฝนตก และเดี๊ยนอารมณ์แปรปรวนค่ะ
ปล. เมื่อไหร่ตูจะได้หอพักซะทีฟระ จะให้เอาผ้าใบไปปูนอนใต้สะพานที่ยอร์คเป็นเพื่อนเป็ดเพื่อนห่านรึไง เซ็งกะปิ!

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

This Kind of Pain Shouldn't Exist in the World!


ต้องขอโทษด้วยหากเอนทรีก่อนหน้าไม่ใคร่จะเริงรื่น
ทำให้เพื่อนๆที่เข้ามาเยี่ยมเยียนต้องอ่านสิ่งที่ไม่สำราญตาเข้า
ตอนนี้โอเคแล้วค่ะ ขอบคุณมากเลยสำหรับความเป็นห่วงของใบตองและมุกกุ
แต่ยังไง ตอนนี้ก็ยังเจ็บปวดเกินบรรยายอยู่ดี
เจ็บแบบทนไม่ไหว ทำไมเราต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย
ถึงกับน้ำตาไหล หมดเรี่ยวแรงไปเลย
เจ็บจนหมดกำลังใจ ไม่ไหวแล้ว
.
.
.
.
ทำไมเราต้องผ่าฟันคุดด้วยโว้ยยยยยยย

เรื่องของเรื่องคือ นราเคยเอกซเรย์ฟันแล้วหมอบอกว่ามีฟันคุดสี่ซี่
แต่มันไม่เจ็บหนิ ก็เลยไม่ใส่ใจ ช่างมัน
ทีนี้ เมื่อเดือนที่แล้ว ไอ้ซี่ล่างซ้าย มันก็สาระแนโผล่หัวปุ๊ดขึ้นมานิดนึง
มาพร้อมกับอาการเจ็บตุบๆ เป็นจังหวะ ปึดๆ ปึดๆ
ก็เลยเริ่มกลัวขึ้นมา
กอปรกับคนอื่นๆ ขู่แล้วขู่อีกว่า

"ไปผ่าซะ เกิดไปปวดที่อังกฤษจะทำยังไง แพงนะ"
"ไม่ผ่าตอนนี้เดี๋ยวเป็นหนองนะ"
"ทิ้งไว้จนมันผุแล้วจะยิ่งเจ็บนะ ไปเอาออกเถอะ"

นราก็เลยหลวมตัว รับนัดหมอเพื่อผ่าฟันไปได้ไงไม่รู้
.............................

วันนี้นราก็ขอลางานมาเพื่อพบหมอฟัน
กลัวมาก กลัวมากๆ มือเย็นไปหมด เพราะได้ฟังประสบการณ์สยองมาเยอะ
เข้าห้องไป หมอก็ชี้ๆ ว่า เออ มีฟันคุดสี่ซี่นะ ด้านละซี่
วันนี้ผ่าสองซี่ก็แล้วกัน

หม๊อออออออออ ไม่ถามหนูหน่อยเหร้อออ
สองซี่น่ะ สองซี่เชียวนะ ถือว่าไม่ใช่ฟันตัวเองใช่ไหมเนี่ย ห๊า
แต่สายไปแล้ว ก็ขึ้นเตียง (เขียง) ไปแล้วนี่ ผู้ช่วยพยาบาลก็เร็วจนน่าใจหาย
ขนเครื่องมือผ่าตัด ทั้งมีด คีม เข็ม ที่กรอ มาวางเตรียมอย่างรวดเร็ว

ไปๆ มาๆ กลับกลายว่าการฉีดยาชา เป็นอะไรที่เบบี๋ที่สุด
โดนไปสองเข็มมั้ง ตรงเพดานปากนี่เจ็บสุดยอด เจ็บฉิบหาย
แต่พอปากมันชา เราก็ไปดิ๊งๆมันเล่น เพลินดี เหมือนไม่ใช่ปากตัวเอง
จิ้มเหงือกก็ไม่เจ็บ โอ้ว อารมณ์ตอนนี้คือมาเล้ย ไม่เจ็บ ไม่กลัวแล้ว
แต่
แต่
แต่
ยาชาไม่ได้แปลว่า ไม่รู้สึกอะไรเลย
ตอนที่หมอเขาเอามีดแหวกเหงือก รู้สึก แต่ไม่เจ็บ
ตอนที่เขาเอาที่กรอ กรอเนื้อเหงือกออกไป แล้วก็ขูด แคว่กๆๆๆ ก็รู้สึก แต่ไม่เจ็บ
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นปลาบนเขียง โดนขอดเกล็ด แคว่กๆๆ
แต่ตอนที่หมอเอาอุปกรณ์อะไรสักอย่าง แซะลงไปในนั้น
เพื่องัด ดัน และกระชากไอ้ฟันเจ้าปัญหาออกมานั่น
สุดโคตรของความปวดเลย
คือไม่เจ็บไง แต่ปวดอ่ะ ปวดตรงรากฟัน แปล๊บขึ้นขมับ
ทั้งมือทั้งเท้า หงิกงอเหมือนคนเป็นง่อยไม่มีผิด
นักศึกษามาเห็นเราตอนนี้นี่ มีหวังได้ฮากันขี้แตก
............................

ขอตัดภาพหลังผ่านพ้นวิบากกรรม
หมอกำลังร้อยเหงือกเราด้วยไหมสีดำสวยงาม ชื้ดๆ ชื้ดๆ
รู้สึกอีกแหละ ไม่เจ็บ แต่สยอง รู้สึกถึงด้ายที่มันกำลังร้อยผ่านเนื้อเรา
เสร็จเรียบร้อย นราเดินหน้าบวมไปจ่ายตังค์
พบว่าต้องมาผ่าอีกสองซี่ที่เหลือเดือนหน้า โอ๊ยยย
มาแล้วหลอกหมอให้อุดฟันแทนได้ไหมเนี่ย

แล้วทีนี้ เรื่องสนุกๆ ก็เกิดขึ้น
เมื่อยาชาเริ่มหมดฤทธิ์ตอนอยู่บนรถไฟฟ้า สถานีอโศก
จากปวดมึนๆ ก็เริ่มปวดตุบๆ แล้วก็ปวดร้าวไปทั่วกระโหลกด้านซ้ายอย่างรวดเร็ว
นรากัดผ้าก็อซในปากแน่น ยิ่งกัดยิ่งปวด โอ้วสะจายจริงๆ
พอถึงโลตัสที่สถานีอ่อนนุช ก็ปวดจนทนไม่ไหว
ปวดจนจะเป็นลม ตัวเกร็งจนสั่นไปหมด ไม่ไหวแล้วน้ำตาไหลเลย
นราน่ะบอบบางนะจะบอกให้
เดินกุมหน้าบวมๆ หน้าหงิกเหมือนโบผูกกล่องของขวัญ
ให้ชาวบ้านร้านตลาดเขาสงสัยกันว่าอีนี่เป็นอะไร
คุณแม่ก็แสนดี ให้กำลังใจตลอดเวลา
ส่วนน้องสาวก็ยิ้มย่อง "พุ่ย (พี่+อุ้ย = พุ่ย) พูดไม่ได้ ก็ด่าเอมไม่ได้อะดิ"
รอยยิ้มของมันนั้นแฝงความนัยที่น่ากลัวไว้เหลือเกิน
............................

ถึงบ้าน นราพุ่งไปกินยาก่อนเลย มือสั่นเหมือนเป็นโรคพาร์กินสัน
เหมือนคนติดยา จะลงแดงตาย ไม่ไหวแล้วๆ
คายผ้าก็อซออกมา ไม่มีสีแดงนะ มีแต่สีม่วงมังคุด
คือเลือดมันซึมแล้วซึมอีกจนโชกไปหมด น่ากลัวมาก
พอจะกินยาก็มือสั่น ทำยาหล่นอีก ฟายจริงๆ

ตอนนี้ก็เหมือนคนพิการ
ปวดหน้าครึ่งซ้ายไปหมด กลืนน้ำลายทีแสนลำบาก
เพราะมันเจ็บ และเป็นน้ำลายรสเลือด
เมื่อไหร่จะพ้นจากสภาพนี้หนอกรู ดีนะที่เมื่อเช้ายัดซิสเลอร์และไอติมจนเต็มที่
ไม่งั้นคงไม่ได้กินอะไรดีๆ ไปอีกนาน เพราะตอนนี้โจ๊กคนอร์จะเป็นเพื่อนสนิทของเรา
...........................

ใบตองคะ
ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจ
ก็ผิดใจกันนิดหน่อยนั่นแหละค่ะ
เคยผ่าฟันคุดแมะคะ

มุกกุ
ดีใจจังที่มุกแวะมา
การบ้านเยอะเหรอ สู้ๆน้า
ช่วงนี้นราก็ยุ่งกับเรื่องเรียนต่อเหมือนกัน
ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย ขอบคุณสำหรับกำลังใจด้วยค่ะ

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

A Word that Becomes Meaningless


I really don't know what happened today, feeling so lost, so empty inside.
One Word that used to be meaningful, one Word that used to end every conflict,
has become totally meaningless,
and the One using it does not afraid to show the world about that.

I know I was wrong. I should have let bygone be bygone since yesterday.
Now I feel like my heart is made of dirt: so dry, so fragile it could turn into dust in any second.

Now I know what I said has no meaning.
Now I know the message I sent was worthless to keep, even in the inbox.
What am I supposed to do now, when it is obvious that everything I do to fix the problems was nothing but an annoyance.
I do not know what I should do any longer.
Should I have my throat slit?
Should I have my wrist cut?
No, being in this situation is already death for me.

I'm confused and puzzled how it came this far,
when it was only a tiny thing we could manage in the first place.
But yes, with that Word became meaningless,
what else should I expect?

I have said everything I wanted to say already,
yet I cannot see anything back to where it used to be.
I gave my reasons about why I spoke with such a tone, and that was because I 'was' spoken to with such a tone first.
That was it all about.
That was it really all about.

Anybody, tell me, why would someone want to make a mocking noise with no intention?,
and why that mocking noise when I tried to say that Word: Sorry?
Should I feel good about that? Should I abandon the terrible feeling that was about to explode?

Maybe it is best for me to step back and consider myself..


วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

BUIAO's Trip to Rangsit Campus

เอนทรี่นี้โหลดโหดหน่อยนะคะ แบบว่าอยากโฆษณามหาลัย อิอิ
วันนี้ ฝ่ายกิจการต่างประเทศ ยกพลไปเยี่ยมชมม.กรุงเทพ วิทยาเขตรังสิตกัน
เพราะมีอาจารย์ในฝ่ายบางคนที่ไม่เคยไป บางคนก็ไปมาเมื่อชาติเศษมาแล้ว
อย่างนรานี่ พอจบปีสองก็แทบไม่ได้ไปอีกเลย
นัยว่าวันนี้มาเพื่อสังเกตการณ์ความเปลี่ยนแปลงของมหาลัยค่ะ

ตอนแรกไปเดินดูโรงพิมพ์ม.กรุงเทพกันก่อน
นราเคยเห็นหมดแล้วตอนเรียนวิชาโทภาษาไทย เลยไม่ตื่นเต้น
จำได้ว่า มีคนเล่าให้ฟังถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายเย็บคนนึง ที่เม้าธ์เพลินไปหน่อย
ตอกมือตัวเอง เย็บเข้าไปกับหนังสือด้วยเลย หยองงงมาก

นี่โถงหอสมุดค่ะ อาจคุ้นตากันแล้วเพราะออกโฆษณาบ่อยเหลือเกิน
จุดศูนย์กลางข้างบนสุดนั่น มันแหลมๆนะคะ
เพิ่งรู้วันนี้เองว่ามันคือปลายแหลมของเพชร โอ้ เรียนจบแล้วเพิ่งสังเกต


ข้างในจะมีหอประวัติของมหาลัย
เดินมาเจอรูปนี้แล้วขำดี
นี่เครื่องแบบม.กรุงเทพเมื่อราวสามสิบปีที่แล้วค่ะ
ดูปลายกระโปรงตัดตรงจิ ฮิปจริงๆ ฮ่าาา
เหมือนกระโปรงบาร์บี้ที่เราตัดเองเลย


อันนี้เป็นเสาๆ หมุนได้ มีรูปบุคลากรและนักศึกษาที่จบไปแล้วติดอยู่เต็มเลย
พี่ๆ ที่ทำงานก็กรี๊ดกร๊าดเฮฮา หารูปตัวเอง หารูปคนอื่นแล้วหัวเราะกันใหญ่
อืมมม กาลเวลานี่ช่างโหดร้ายจริงๆนะ


โรงหนังไซส์มินิ


จบจากทัวร์หอสมุด ก็มาที่พิพิธภัณฑ์สถานเครื่องถ้วยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พิพิธภัณฑ์ที่เป็นความภาคภูมิใจของมหาลัยอย่างยิ่ง
เพราะรู้สึกว่าเราจะมีแบบนี้อยู่ที่เดียว ถ้าจำผิดขออภัย
ในรูปคือเตาทุเรียงค่ะ เอาไว้เผาพวกเครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัยมั้ง
อันนี้เป็นแบบผ่าครึ่งให้เห็นถ้วยชามข้างในได้ด้วย
มองเข้าไป เจอคางคกนอนอยู่ในชามตัวนึง


ถ้วยชามรามไหทุกอย่างที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ล้วนเป็นของจริงทั้งสิ้น
เลยไม่กล้าหยิบกล้าจับอะไรมาก เดี๋ยวซวย
พวกเครื่องเซรามิกโบราณเหล่านี้ เขาว่าทนทานที่สุด
ไม่เจ๊ง ไม่ร้าว ไม่อะไรทั้งสิ้นนอกจากคนถือจะโง่ทำตกแทน
เพราะดินที่ปั้นมันมาจากดินภูเขาไฟหรือไงเนี่ยแหละ
แต่พวกเครื่องเคลือบลายครามที่เอาขึ้นสำเภามาแล้วเรือจมเนี่ย
เจ๊ง ลายเละหมดเลย เพราะพวกนี้มันแพ้เกลือ



กั่กๆ ชอบรูปปั้นอันนี้อ่ะ
เหมือนคนกินอิ่มแล้วลูบพุง เป็นท่าประจำของเรานี่หว่า
นี่เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่า คนโบราณนั้นบูชาคนที่กินเก่งจนพุงกาง
จนต้องทำรูปบูชาเลยนะเนี่ย (เกี่ยวปะ?)
ล้อเล่นค่ะ มันเป็นรูปคนท้องตังหาก
อีกอันเป็นดินเผารูปควาย
สุภาษิตที่ว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น
ก็น่าจะเกิดในสมัยนี้ค่ะ เพราะมีคนปั้นรูปควายแล้ว


เอาสักหนึ่งแชะ
หานราเจอไหม?
คนซ้ายสุดเป็นพี่ผู้ประกาศข่าวจากช่องทีวีไทยเชียวนะคะ น่ารักมาก
เขามาสอนภาษาอิตาเลียนที่ม.กรุงเทพค่ะ


ต่อไป ไปทัวร์ตึกนิเทศศาสตร์
โอ้ รู้แล้วว่าทำไมม.กรุงเทพถึงดังเรื่องคณะนิเทศฯ
และทำไมมันถึงแพงหูดับตับไหม้อย่างนี้
ก็ท่านมีอุปกรณ์ทันสมัยใหม่กิ๊กพร้อมให้นศ.ได้ปฏิบัติการจริงขนาดนี้...
(นางแบบสวยป่ะ คุคุคุคุ)


...สปอตไลท์ในห้องปฏิบัติการของเอกบรอดคาสท์ก็ตัวละเป็นแสนขนาดนี้
ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ขนาดนี้...


...แถมเวทีสำหรับเอกการแสดง ก็สร้างใหม่ซะอลังการงานสร้างได้ขนาดนี้...


นี่ยังไม่รวมห้องปฏิบัติการกราฟฟิกที่ใช้เครืองแมคเรียงรายเป็นร้อย
อุปกรณ์ตัดต่อ อัดเสียง ระบบใหม่เอี่ยมนะเนี่ย อู้ว
สมราคาค่าเทอมมากค่ะ
ถือเป็นการโฆษณาให้น้องๆ ที่อยากเข้าม.กรุงเทพ โดยเฉพาะนิเทศฯไปด้วยละกันนะ
..................................

ตอนออกมาจากม. จะไปทานข้าวเที่ยง
ก็เจอเรื่องน่ากลัวขึ้นเสียก่อน
ไฟไหม้!!!


ตึกนี้อยู่ตรงข้าม เยื้องๆ กับมหาลัย เป็นโรงงานไก่สด
ตอนนราเรียนอยู่ปีสอง มันเคยไหม้มาแล้วครั้งนึงด้วย
ตอนเห็นไกลๆ เห็นแต่ควันโขมง ก็คิดว่าไหม่ไม่มากและดับไปแล้ว
แต่พอรถเลี้ยวโค้งเข้ามาใกล้ๆ โหย ดับบ้าไร
ไฟลุกท่วมอยู่ข้างในชั้นบนของโรงงาน ควันออกมามากกว่าเก่าอีก
น่ากลัวจริงๆ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ใครติดอยู่ในนั้นเลย
..................................

แวะทานกลางวันที่ร้านจิตรโภชนา บุฟเฟต์ 199 บาท (ไม่รวมแวท)
นรากินแต่มื้อเช้า หลังจากนั้นไม่แตะอะไรอีกเลย รอมาถล่มที่นี่โดยเฉพาะ

เป็นบุฟเฟต์อาหารไทยปนฝรั่งนิดหน่อยค่ะ
มีพวกข้าวผัด แกงไก่ตุ๋นฟัก (แต่ตักมาเป็นมันฝรั่ง) น้ำพริก ข้าวซอย ก๋วยเตี๋ยว
อาหารฝรั่งของโปรดนรา ก็มีขนมปังกลมๆ ทาเนยสด ไก่อบซอสกะเพรา ซุปมันฝรั่ง
ไข่ตุ๋นอร่อยดี ใส่เห็ดฟางชิ้นเล็กๆด้วย


ซุ้มน้ำพริกและขนมจีน ตกแต่งสวยจังเลย
ตรงนี้นราไม่ได้ทานเลย ทานไม่เป็น
แต่เห็นพี่ๆ เขาบอกว่าอร่อยกันนะ


โต๊ะของหวาน
มีเค้กครีมมะพร้าว แครนเบอร์รีครีมชีส มัฟฟินโรลเล็กๆ
แทบไม่ได้แตะเลย ไม่ถูกจริตเท่าไหร่
เอ หรือเป็นเพราะเรายัดไม่ลงแล้วหว่า
ก็เล่นเขมือบขนมปังกลมๆทาเนยไปห้าก้อน ซุปมันฝรั่งสองถ้วย ซุปไก่ตุ๋นฟักถ้วย
ไข่ตุ๋นสองถ้วย แคนตาลูปปั่นแก้วนึง ข้าวต้ม มันต้มขิง บลาๆๆ
อย่างนี้ดูตะกละไปไหมคะ อุ๊ย อายจัง


รูปสุดท้ายก่อนแบตกล้องจะหมดและจบหน้าที่ไปโดยปริยาย
เล็บใหม่ค่ะ อุฮิ
กลับมหาลัยในสภาพคนท้องสี่เดือน
ง่วงงงง ที่สุดในโลกกก อยากนอนนน จริงๆนะตอนนั้น


ใบตอง
แพทช์เร่งเวลามันคืออะไรอ่ะ แล้วหาได้ที่ไหนเหรอ
เบื่อนั่งรอเวลาระดับสามแรงเต่าแล้วอ่ะ

หมูหวาน
ยินดีด้วย คุณบัณฑิตหกเต้า วิ้วๆๆ
อยากเห็นจำปาในส้นสูงมาก รอมาห้าปี จะได้เห็นเสียที
เกมซิมส์สนุกนะ เล่นจิแล้วจะติดใจ

มุกกุ
นราต้องขอโทษแทนบล็อกบ้าๆบวมๆของนราด้วยนะคะ
ที่ทำให้ความตั้งใจในการร่ายกลอนของมุกต้องสูญเปล่า
ไปอ่านคอมเมนท์มุกในบล็อกก่อนหน้าของแนนแล้ว
อยากบอกว่า เป็นกำลังใจให้มุกนะ อย่าเครียดมาก
ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดยังไง เพราะเรื่องในครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
แต่อยากให้มุกมีความสุขมากๆนะ
นราเข้าใจที่มุกบอกว่า โดนยัดเยียดให้เรียนโน่นเรียนนี่ตลอด
หัวอกเดียวกันค่ะ
ที่นราต้องไปอังกฤษนี่ ก็ไม่ได้อยากไปหรอกนะ
เป็นผลจากคนหวังดีเขาทั้งนั้นค่ะ ตอนนี้ร้องไห้วันเว้นวันเป็นเรื่องปกติ
สู้ๆ มุกๆ วายๆ โอ้ๆ

แนนคะ
ขอให้ถึงโตคิโยโดยปลอดภัย
ส่งข่าวมาบ้างนะ
กลับมาแล้วมาเอานิยายล่ำบึ้กที่นราแปลไปอ่านด้วย อุตส่าห์เก็บไว้ให้