วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552

The Day I Met "Death"

ช่วงนี้อากาศมันร้อนขึ้นทุกที ทุกที
เจ็ดโมงเช้านั่งรถเมล์ไปทำงาน รู้สึกเหมือนถูกส่งไปค่ายกักกันนาซี
ที่เมืองยุ่นปี่ ซากุระคงกำลังทยอยบาน
(เห็นเขาว่าปีนี้บานเร็วกว่าปกติ คงเป็นเพราะโลกร้อนกระมังคะ)
นรารู้สึกอิจฉาคนหน้ากลมที่อยู่เมืองยุ่นเป็นกำลัง
เอาน่ะ ชมพูพันทิพย์บ้านเราก็พอไหวนะ
เอามาหลอนตัวเองไปก่อน
คล้ายๆกันแหละ
อยากหาผ้าพันคอกับบู๊ทไปใส่ยืนใต้ต้น ทำฟีลให้เหมือนอยู่ญี่ปุ่น
ใต้ร่มซากุระ (เทียม)
แต่ก็กลัวพี่วินมอไซค์แถวนั้นพาส่งศรีธัญญา...


เมื่อวานนี้ ละครเวทีของมหาลัยกรุงเทพ เปิดรอบปฐมฤกษ์
"Dear Death เยิรพระยม"
คนสำคัญ คนใหญ่ คนโต ท่านทูต คุณหญิง คุณนาย มาเพียบ
บอกตรงๆ เครียด ทำตัวไม่ถูก
รู้สึกตัวเองเซอะซะ เกรอะกรังอย่างกับเป็ดน้อยหลงมาในหมู่หงส์


จัดแสดงที่โรงละครอักษรา ตึกคิงพาวเวอร์
ชั้นล่างเป็นร้านค้าปลอดภาษี
อาซิ่ม อาม่า เตี่ยใครต่อใครเดินช้อปพลางส่งภาษาช้งเช้งลั่นไปหมด
ข้างบนเป็นโรงละคร หรู เรียบ เงียบ
(มีเสียงโหยหวนของนักแสดงที่กำลังซ้อมลอยมาเป็นครั้งคราว)
โคตรจะ Contrast กันเลย


ก่อนเข้าชมละคร มีดินเนอร์แบบค็อกเทลบริการให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน
แต่ขอโทษ บ้านฉันเขาไม่เรียกอย่างนี้ว่าดินเนอร์นะยะ
ชิ้นกระจุ๋มกระจิ๋ม น่ารักน่าเอ็นดู จัดมาแนวอาร์ทนูโวมาก
กินเข้าไปสิบจานจะถึงครึ่งท้องหรือเปล่าก็ไม่รู้
เขาเรียก "แหย่พยาธิ" ย่ะ
.........................

บ่นไปงั้นแหละ กันเสียหน้า
จริงๆอยากกิน แต่กินไม่ได้
แหม ช่างเหมาะกับธีมของละครวันนี้เหลือเกินนะ
"Nothing belongs to us; Nothing should be clung to"
มันไม่ใช่ของของเรา อย่าสะเออะ เอ๊ย อย่าไปยึดติดไขว่คว้า
อ่ะ เอามายั่วน้ำลายค่ะ


แต่ด้วยพลังแห่งการอดทน อดเปรี้ยวไว้กินหวาน
ก็เลยมีบุญ โดนของแพงกระแทกปาก
ร้านชื่อไรจำไม่ได้แล้ว แต่มีคำว่า Asian มั้งนะ
ชามนี้คือ...คืออะไรก็อ่านไม่ออก อ่านออกแค่ว่ามันคือมิโสะราเม็ง
มีบะหมี่ (แน่ล่ะสิ) หมูแผ่น (มันเรียกว่าไรอ่ะ ชาชู เหรอ) ไข่ต้ม
ต้นหอมฝอยๆ แล้วก็หน่อไม้เส้น (แก๊แก่ เสี้ยนตึม)
และที่สำคัญ...ถูกสุด
และคำว่าถูกสุดหมายถึง 180 บาท ไม่รวมเซอร์วิสชาร์จ
เกิดอาจารย์เขาไม่ออกให้ขึ้นมา จะได้ไม่หน้าเขียวขอขย้อนบะหมี่คืนเขา
แต่โชคดีเป็นของเรา และความใจดีเป็นของอาจารย์
ผช.วิชาการสุดน่ารัก เลี้ยงหมดเลย เฮ.......
แถมแบ่งสาหร่ายแผ่นเท่าผ้าห่มให้ด้วย
โอววว เป็นบุญ

(ไม่อยากบอกเลยว่าสีมันเหมือน...ผลงานคนท้องเสียอ่ะ)
........................................

พอท้องอิ่ม กองทัพก็ง่วงนอน
บ้าเหรอ ต้องปฏิบัติภารกิจต่อสิยะ
ขึ้นไปรอต้อนรับแขก (ที่ไม่เห็นจะมาซะที) กันต่อ
ใกล้ถึงเวลาละครเริ่มแล้ว ก็มารับตั๋วกันแค่สองคน

เป็นไงล่ะ นี่แค่ทางเข้านะเนี่ย



ให้ทาย ว่ารูปสลักใหญ่โตมโหระทึกที่เห็นอยู่นี้ คืออะไร?
ติ๊ก ต่อก ปิ๊ก ป่อก
เดาว่าประติมากรรม หรืองานศิลปะ อะไรเทือกนั้นละซิ
ตืดดดดดด ผิดฮ่ะ
นั่นคือ ผนัง ของภายในโรงละครตังหาก
เค้าห้ามถ่ายรูปตอนกำลังแสดง เลยไม่มีมาให้ดู
นี่ถือเป็นละครเวทีเรื่องแรกของนราเลยนะ
เนื้อเรื่องก็ประมาณ ยายหลานคู่หนึ่งอยู่ด้วยกัน
ยายบอกว่าจะไปไหว้พระจุฬามณี (ประมาณว่าสื่อถึงความตาย)
แต่หลานไม่อยากให้ไป
พระยมสุดหล่อ เลยมาสอนประมาณว่า อย่ายึดมั่นถือมั่นกับชีวิตทางโลก
ความตายนั้นแน่นอน ที่พูดมาเป็นบาลีซะ 80%
ซิมโบล อุปมา อุปลักษณ์เยอะมาก
ไม่สามารถดูแบบเรื่อยๆมาเรียงๆเหมือนภาพยนตร์ได้เลย
เรามันมือใหม่ละมั้ง เลยยังตีความได้ไม่ลึกซึ้งเท่าไหร่
งานเลิกสี่ทุ่ม ถึงบ้านห้าทุ่มกว่า
ได้ฟันโอทีสมใจอยาก
สม.....น้ำหน้า วันนี้เลยตื่นสายเลย

แถมท้ายอีกเล็กน้อย
วันนี้ไปส่งป้าขึ้นรถไฟกลับบ้านที่หัวลำโพง
เดินไปเดินมา ก๊อสอยเสื้อมาตัวนึง ว่าจะใส่ไปทำงานค่ะ


ขึ้นรถไฟไป รถยังไม่ออก
ป๊ะป๋ากับป้าก็นั่งเมาท์กัน
นราไม่มีอะไรทำ เลยนั่งดูโน่นดูนี่
สักพักมีหนุ่มฝรั่งคนหนึ่งขึ้นมา เป้ลูกใหญ่เท่าบิดาควาย
หาที่นั่งเจอปุ๊บ มันก็เริ่มล้วงของโน่นนี่มาเรียง
สักพัก เจอหลอดเคาน์เตอร์เพนที่ฝาหลุด
ครีมทะลักเละเทะเต็มไปหมด มันก็เช็ดๆ
สักพักคงลืม ว่าตัวเองไปจับเคาน์เตอร์เพนมา
ก็เอามือไปขยี้ตา
......................

นั่งดูฝรั่ง "ตาเผ็ด" ฮากระจาย
อยากหัวเราะเสียงดังๆ แต่ใจไม่กล้าพอ
เพราะฮีตัวใหญ่มาก

เอวัง

ปล.
หมู
คิดถึงจัง มาเม้นบ่อยๆหน่อยไม่ได้หรือ

หนูแนน
อย่าลืมดอกซากุระทับแห้งของนรานะคะ ขอบคุณค่ะ

มุกกุ
หมู่นี้เงียบหายไปเลย เป็นไงมั่งคะเนี่ย

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552

Bye Bye -- Dewa Mata Ne!


ขอโต๊ดดด
ดองบล็อกอีกแล้ว
ต้อนรับกลุ่มนักศึกษาอเมริกันวันที่สิบแปด
ช่วยต้อนรับคณะอาจารย์จากจีนห้าสิบคน และเลี้ยงอำลาเด็กญี่ปุ่นวันที่สิบเก้า
เหนื่อยจนเดินไม่ไหว เท้าบวม หลับในรถเมล์แบบไม่รู้ตัวมาสามสี่วันแล้ว
ถึงบ้านก็พุ่งตัวไปทำทัชดาวน์บนเตียง
ไม่มีแรงอัพบล็อกจริงๆค่ะ


ต้อนรับนศ.ฝรั่งจากมหาลัยเวอร์จิเนีย
นราได้ฉายเดี่ยว พาฝรั่งทัวร์มหาลัยคนเดียวโด่เด่ ตื่นเต้นๆ
งานแรกก็เอาแล้วกรู หลงทาง
หาศูนย์คอมที่ต้องพาเขาไปชมไม่เจอ ชั้นสี่ก็แล้ว ทำเนียนเลยไปชั้นห้าก็แล้ว
สุดท้ายเลยยิ้มแหะ แหะ แล้วบอกเขาว่า
"I'm sorry, I got lost. I can't find the computer centre. Let's go somewhere else."
แล้วฉวยโอกาสช่วงที่ฝรั่งกำลังงง พามันไปที่อื่นต่อทันที


วันที่สิบเก้า เด็กญี่ปุ่นกลับมาจากค่ายที่กาฬสินธุ์
เพื่อมาทำกิจกรรมแต่งชุดไทยที่ม.กรุงเทพ ก่อนจะเป็นมื้อเที่ยงเลี้ยงอำลา
ก่อนจะเริ่ม ขออนุญาตแสดงการพัฒนาของบู๊ธทำงาน
มีกระปุกปากกา ปฏิทิน และโน้ทแล้วเห็นมั้ย ดูดีขึ้นมาหน่อย (แต่รกเหมือนเดิม)


เช้าตรู่ของวันที่สิบเก้า ไปรับเด็กญี่ปุ่นที่โรงแรมเดิม
ระหว่างรอ ก็ถ่ายรูปน้องคาเมะในบ่อมา มีอันใหญ่ กับอันเล็ก
คาเมะอันใหญ่ดูเหมือนจะมีปัญหากับการเข้าเกียร์ถอยหลังและยูเทิร์น
เพราะบ่อมันเล็ก กว้างฟุตเดียวเองมั้ง คาเมะใหญ่ตัวโตคับบ่อแย้ว
ส่วนคาเมะเล็กก็ดุ๊งดิ๊งน่ารัก เอานิ้วแหย่ลงไปก็จะงาบอย่างเดียวเลย


นี่ก็ออกมาแออัดรอรถบัสอยู่หน้าโรงแรม
โปรดสังเกตว่าเสื้อ กางเกง และกระโปรง เหมือนวันแรกที่เจอกันเป๊ะ
ถามคาซึคุงแล้ว
ได้รับคำยืนยันชัดเจนว่า ไม่ได้ซักเสื้อกันทุกคน
......


ถ้าคนไทยสมัยนั้น แต่งตัวแบบนี้จริงๆ
หนังย้อนยุคไทยคงออกมาดูไม่จืด
นึกภาพคุณหลวงเรือนทาส หล่อเหลา อิมเมจประมาณฉัตรชัย เปล่งพานิชย์
แต่งตัวแบบสามคนนี้ดูจิ
สง่าแค่ไหนก็เหมือนสายัณห์ฮ่ะ


เหมือนเป็นท่าบังคับเลยนะ ท่าไหว้เนี่ย
คุณหลวงโซเฮย์ เกือบทำอิชั้นเป็นตากุ้งยิง
ส่งเสื้อส่งกางเกงให้ปุ๊บ
หันไปอีกที กำลังจะบอกว่าใส่ยังไง
พี่แกเหลือแต่กางเกงในขาสั้นแล้ว
หนุ่มๆที่เหลือ ก็ผลัดผ้ากันเร็วมาก ได้โจงกระเบนปั๊บ รูดไอ้ที่ใส่อยู่ลงพรืดเลย
โอว เจแปน อเมซซิ่งแลนด์ จริงๆ


สาวๆ แต่งแล้วน่ารัก แอคเซสซอรีเยอะมาก ทั้งตุ้มหู ที่คาดผม กิ๊บ เข็มขัด กำไล
ซายูริจังผู้มีสไตล์เป็นของตัวเองอย่างแรงกล้า
ยืนยันไม่ยอมทาลิปสติกสีชมพูเด็ดขาด ยังไงก็จะทาสีนู้ดอยู่อย่างงั้น
จะทำผมทำไรก็ทำไป อย่ายุ่งกะปากกรู
ดูเสื้อแล้วน่าจะคันเนอะ


เด็กญี่ปุ่นน่ารักมากๆ เสียดายเหมือนกันได้เจอแป๊บเดียวก็ต้องจากกันแล้ว
เลี้ยงข้าวเที่ยง มอบประกาศนียบัตรให้เขาเสร็จ ก็ส่งเขาขึ้นรถ
เหนื่อย แต่สนุกค่ะ
ได้ของขวัญมาสองชิ้น เป็นปากกาหมึกซึมสีชมพูวาวๆ สวยมากแท่งนึง
แล้วก็แท่นเสียบปากกาพร้อมกระดาษจดอีกอัน

เสร็จทุกอย่างตอนบ่ายสอง นรากลับขึ้นออฟฟิศ
บ่ายสองครึ่ง
นราหลับคาโต๊ะ มือกำปากกาไว้หลอกตาอาจารย์คนอื่น
เผื่อจะดูเหมือนเรากำลังคิดพล็อตวางแผนงาน
ฮิ ฮิ
ดีนะไม่มีใครเดินมาเรียก

วันนี้ก็เหนื่อยเหมือนเคยค่ะ
เจอกันเอนทรีหน้านะ
ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีอะไรมาเล่าให้ฟัง

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

Visiting Hotel with Mexican Guest!

อ่านชื่อเรื่องแล้วคิดอะไรกันไปไกลอะป่าววว
วันนี้เหนื่อยมาก
เพราะออกไปปฏิบัติภารกิจภาคสนามมาค่ะ
คุณเอดูอาร์โด้ Educational Agent ชาวเม็กซิกัน
มาดูสถานที่พัก ที่จะจัดให้นศ.จากเม็กซิโกที่มาแลกเปลี่ยนอยู่

นรามากับอาจารย์
คุณเอดูอาร์โด้มากับพี่ใหม่ ล่ามสาวไทย ที่พูดสเปนเก่งมากๆ
ฟังแล้วทึ่ง เพราะฟังไม่รู้เรื่อง แล้วพี่เขาก็พูดได้คล่องเป็นธรรมชาติสุดๆ
ที่มาเพราะอาจารย์กำลังจะลาคลอด
และเมื่ออาจารย์ไม่อยู่ หน้าที่ดูแลส่วนนี้ก๊อจะตกเป็นของเราโดยปริยาย
นั่นแล งานเข้าของจริง

มาที่วินเซอร์สวีท สุขุมวิท 20 ค่ะ เคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยมา
เป็นโรงแรมสี่ดาวที่โอ่โถงจริงๆ
เด็กต่างชาติมาเที่ยวบ้านเราแล้วได้พักที่หรูขนาดนี้เลยนะเนี่ย


มีเลานจ์ที่ดูดีมาก มีสาวไทยห่มสไบม่วงคอยบริการ
เคลิ้มๆอาจคิดว่าอยู่การบินไทยได้เลย


รุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ในโรงแรมก็พาดูห้องต่างๆ
เพิ่งกินข้าวเที่ยงมาอ่ะนะ แบบว่าอิ่ม แล้วก็ง่วง
พอเห็นเตียงใหญ่ๆ ปูผ้าขาวตึงๆ มีดอกไม้โรย
ก็อยากจะขออำลาหน้าที่แล้วลงไปกลิ้งๆ ซะยังงั้น

ก่อนจะกลับ ทางโรงแรมก็เลี้ยงเครื่องดื่มคนละแก้ว
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ดื่มค็อกเทลแก้วละสองร้อย!!!
โอว เครื่องดื่มทองคำ...
กินแล้วจะมีแสงเฮ้ากวงออกมารอบๆ ตัวมั้ยเนี่ย

นราสั่งเชอร์ลีย์ เทมเปิล
เครื่องดื่มที่ชื่อเหมือนดาราที่เป็นตำนานซิมโบลของดาราเด็ก
ถ้ายังอยู่ป่านนี้ก็เก้าสิบกว่าแล้วมั้ง
เป็นน้ำเชอร์รี่ น้ำทับทิม น้ำมะนาว และสไปรท์เล็กน้อยผสมกัน
กินแล้วรสชาติปั่นป่วนมาก
อร่อยนะ แต่บอกไม่ถูก
เหมือนได้ก้าวล้ำพรมแดนลึกลับที่ไม่เคยแตะต้องมาก่อนยังไงยังงั้น
(เพราะไม่มีปัญญาซื้อกินมาก่อนนั่นเอง)


กลับมามหาลัยด้วยสังขารร่วงโรย
ร้อน เหนื่อย แต่ก็สนุกดี ได้เรียนรู้งานใหม่ๆ
หลังเลิกงาน นราไปเจอแม่ที่อ่อนนุช
และใช้กำลังฉุดลากแม่เข้าเอ็มเคในที่สุด ฮาาา
แม่บอก รู้สึกตั้งแต่เธอทำงานนี่ ชั้นเสียเงินมากกว่าเดิมนะ
กินๆ กำลังจะกลับ หันไปเห็นโต๊ะนี้

น่ารักมากๆ คุณลูกพาคุณพ่อมาทานข้าว
หาภาพแบบนี้แทบไม่ได้แล้ว
ผู้ชายคนนี้ไม่ได้นั่งกินเปล่า แต่คอยต้มและตักอาหารใส่ชามพ่อให้เป็นระยะๆ
น่ารักจริงๆ

พรุ่งนี้มีรับแขกนศ.อเมริกัน
จะเกิดอะไรขึ้นบ้างน้า
แล้วทำไมแม่ต้องใช้กล้องวันที่เราอยากจะใช้พอดีเล้ย
ชีวิตการทำงานของนรา ยังมีอะไรให้ค้นพบอีกแยะเลย
หวังว่าคงไม่หมดแรงข้าวต้มซะก่อนนะ
บิ้วค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552

My First Big Job with Japaneses



วันนี้นราทำงานใหญ่งานแรก ต้อนรับแขกจากญี่ปุ่น เป็นนักศึกษาสิบเอ็ดคนจากโอซาก้าและฮาโรโกโมะ ที่จะมาเข้าค่ายอาสาพัฒนาที่จ. กาฬสินธุ์ เขามากันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
และวันนี้นราก็แหกขี้ตาตื่นไปรับที่โรงแรมนี้ตอนเจ็ดโมงครึ่ง เพื่อจะพาไปชมมหาลัยและชมเมือง

โรงแรมนี้อยู่แถวบ้านเรา สภาพภายนอกดูไม่ออกเลยว่าเป็นโรงแรม
นั่งรถผ่านหลายครั้ง คิดว่าเป็นสปา ไม่ก็สำนักลัทธิอะไรสักอย่าง
ประตูหน้าโรงแรมกว้างไม่ถึงสองเมตรครึ่ง มีคบเพลิงเรียงๆ มีประตูไม้ยักษ์ พร้อมฆ้องไว้ลั่นเหมือนในเปาบุ้นจิ้น

เมื่อก่อนมันเป็นตึกแถว เจ้าของเกิดไบรท์อะไรขึ้นมาไม่รู้ ทุบทิ้งทำใหม่เป็นโรงแรมเล็กๆ สไตล์โมร็อคโค
สวยมาก น่าพักมากกก
กระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักไปหมดเลย นี่ขนาดแค่ลอบบี้กับสระว่ายน้ำนะเนี่ย



ช่วงเช้าไม่มีอะไรมากค่ะ ทัวร์มหาลัย แล้วก็ทานข้าวกลางวัน
หลังจากนั้นนรากับผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการก็พาเขาไปล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยากัน
ด้วยความที่เราคอยรั้งท้ายเพื่อเช็กคน เลยขึ้นเป็นคนสุดท้าย
ได้ที่นั่งหลังสุด
ใกล้ชิดกับเครื่องยนตร์เรือหางยาวขนาดห้าสิบแรงหมาและลำโพงเซอร์ราวด์ขยายเสียงไกด์แบบสุดๆ

สองหนุ่มนี่คือโชตะคุง และโซเฮย์คุง แอบหลับตอนล่องเรือด้วย
ซายูริจัง น่าร้ากกก
ข้างหลังหัวเหม่งๆ นั่นคือไดสุเกะคุง หนุ่มคาราเต้ใจงาม
ตอนน้ำสาดเข้ามาเปื้อน ก็ยื่นผ้าขนหนูมาให้เรายืม
เอ แต่ก่อนหน้านี้มันเอาไปเช็ดอะไรมาหรือเปล่าหว่า


นั่งเรือหางยาวแบบทรมานทรกรรมอ้อมตลิ่งชันออกบางกอกน้อย
ก็ย้ายมาขึ้นเรือที่ดูดีกว่าเดิมหน่อย เป็นเรือไม้สวยงาม
มีเสิร์ฟไหมไทยแบบไม่ใส่แอลกอฮอล์ และผลไม้ไทยเยอะแยะ
เคย์ตะคุงกับคาซึคุง เขมือบอะไรไม่รู้
แต่รู้ว่าเคย์ตะชอบกล้วยมาก ถึงกับถือติดมือลงไปด้วยจนถึงสวนลุม
ไม่รู้ติดใจอะไร ถือเฉยๆ ไม่ยอมกินด้วยนะ


พวกเด็กผู้ชายจะเพี้ยนๆ ฮาๆ อย่างโยชิฮิโรคุง
เข้ากล้องทีไร เป็นต้องทำหน้าพิลึกๆ แบบหรี่ตา แลบลิ้น ตาเหลือก ทุกที
สาวๆ น่ารักกันทั้งนั้นเลย ทั้งซายูริ ยูเมโกะ แล้วก็โทโมโกะจัง
พูดอังกฤษไม่ได้แต่ก็ยิ้มๆ แล้วเวลาเราถามอะไร ก็จะตอบกลับมาเป็นภาษาญี่ปุ่นซะงั้น

กลับถึงมหาลัย ห้าโมงครึ่ง
ลากสังขารขึ้นไปบนห้องทำงาน เขียนใบทำงานล่วงเวลา
แล้วก็ลากซากไร้วิญญาณโทรมๆ กลับบ้าน
ถ้าใครต้องกลับทางพระรามสี่ช่วงห้าหกโมง คงทราบดีว่ารถมันติดบรรลัยจักรแค่ไหน
แค่กิโลเดียว ซัดไปเกือบครึ่งชั่วโมง
ยืนโหนราวเป็นชะนีหลงป่าจนขนแทบร่วง รถก็ไม่ขยับ
แถมพอได้นั่ง เจือกหลับ นั่งเลยป้ายอีก ตั้งสามป้าย
.....
โอ้เอ๋ยชีวิตคนทำงาน
เข้าใจความเหนื่อยของแม่ขึ้นมาบ้างแล้วละ
มาถึงบ้านได้ ก็ไม่มีอะไรกิน
เลยทำแซนด์วิชอะโวคาโดกินเองค่ะ

อร่อยนะ มันๆ ดี
กินแตงโมไปเศษหนึ่งส่วนสี่ของครึ่งลูก กับเค้กหนึ่งชิ้น
ค่อยยังชั่ว
ยังเหลือศุกร์ และเสาร์ ที่เราต้องลุยทำงาน ก่อนจะได้พักวันอาทิตย์ จันทร์
คราวนี้คงได้ผอมสมใจแน่ เพราะเหนื่อย
แถมเวลาทำงานก็กินขนมไม่ได้ด้วย

วันที่สิบแปดจะมีนักศึกษาอเมริกันมาดูงาน
ไว้จะเล่าให้ฟังนะคะ
วันนี้ขอไปชาร์จแบตก่อนค่ะ บิ้ว


วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552

First Day at Work

ขอโทษจริงๆ ค่ะ
ที่บอกว่าจะอัพบล็อกของวันแรกที่ไปทำงาน
ไม่คิดว่าทำงานมันจะเหนื่อยขนาดนี้
ถึงจะไม่ได้ทำอะไรมาก แต่กลับถึงบ้านก็หลับเป็นตาย
สลบเหมือดเหมือนโดนหมัดสมจิต จงจอหอ
เลยไม่ได้อัพบล็อกเสียที จนวันนี้วันที่สอง
วันนี้เลยมาอัพย้อนหลังนะคะ

วันที่สิบมีนาคม นราเริ่มทำงานที่ม. กรุงเทพ ในฐานะอาจารย์ประจำ สังกัดคณะมนุษยศาสตร์เป็นวันแรก
แต่ตอนนี้มาช่วยฝ่ายกิจการต่างประเทศก่อน
ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก เป็นการปฐมนิเทศ อธิบายเรื่องกฏเกณฑ์การทำงาน วันหยุดวันลา และที่สำคัญที่สุดคือ เงินเดือน เท่านั้นเอง
เดี๋ยวมีคนหาว่าโม้ ว่าหน้าอย่างมรึงหางานได้แล้วเหรอ เลยเอามาโชว์
ถ่ายได้แค่นี้เองอ่ะ ขอโทษนะที่กล้องโลโซ
เห็นแค่นามสกุลติ๊ดนึงก็คงพอนะ

เนื่องจากอายแชโดว์กระปุกเก่า มันตกแตกไปหมดแล้ว
เลยซื้อไอ้นี่มาแทนค่ะ
ดีจัง มีบลัชให้ข้างล่างด้วย
ถึงแม้เราจะซื้อเพราะสีอายแชโดว์มันมีสีเงินและสีดำสวยถูกใจเท่านั้นก็เหอะ
ที่เห็นเป็นขนๆ แบ็คกราวด์ คือแมวค่ะ ชื่อไวไว
พอดีมานอนอยู่แถวนั้น เลยโดนใช้เป็นฐานแสดงสินค้าซะ


หม่าม้าซื้อเสื้อมาให้สองตัว จาก PENA HOUSE
โอ้ว้าว ฟังดูดีมีชาติตระกูลทีเดียว
ตัวละประมาณห้าร้อยกว่าบาท ซื้อมาเพราะมันลดครึ่งราคา
แต่พอหม่าม้าเห็นเสื้อที่นราซื้อมาจากตลาดอ่อนนุช ตัวละร้อยสามสิบตัวนี้


ถึงกับวีนแตก อยากเอาเสื้อไปคืนพีน่าเฮ้าส์
เพราะของนราสวยกว่าอีก เนื้อผ้าก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ด้วย ฮ่าาา
แต่งตัวไปทำงานวันแรก ออกมาเป็นแบบนี้ค่ะ
เสื้อที่เห็นคือเสื้อพีน่าแห่งความช้ำใจของหม่าม้านราเอง


ถ้ากระโปรงมันคุ้นๆ ก็อย่าแปลกใจ
เพราะมันคือกระโปรงนักศึกษา
โหยยย คุณขา เรื่องแฟชั่นเนี่ย หอยกาบทะเลมันยังรู้เยอะกว่านราอีก
แต่งออกมาเหมือนคนได้ขนาดนี้ก็ภูมิใจแล้วค่ะ

นี่บู๊ธทำงานของนราเอง ยังไม่มีอะไรเท่าไหร่
แต่จะสังเกตเห็นได้ว่าเริ่มจะรกแล้ว
ขยะเริ่มสุม

นี่ก็กำลังคิดๆ อยู่ว่าจะเอาอะไรไปไว้ที่บู๊ธดีบ้าง
ของอาจารย์ท่านอื่น มีแต่ดิกชันนารี หนังสือตำรา สมุดจด แฟ้ม
ของนราคงมีแต่การ์ตูน ถุงขนม กับซีดีเพลง โคตรไร้สาระเลย
คงต้องๆ ทยอยเอาไปล่ะค่ะ
ช่วงแรกยังไม่มีงานอะไรให้ทำเท่าไหร่
แต่นราก็ขอแฟ้มงานเก่าๆ เขามาศึกษา
คิดว่าน่าจะคล้ายกับออแกไนเซอร์
คือคอยดูแลและวางแผนให้แขกของมหาลัยที่มาเยี่ยมเยียนจากต่างประเทศ
น่าสนุกนะ แต่ไม่รู้จะทำได้ไหม
ก็เรามีระเบียบมากพอๆ กับแมลงสาบเลยนี่นา

วันพรุ่งนี้ต้องไปต้อนรับคณะนักศึกษาชาวญี่ปุ่นจากโอซาก้าและฮาโกโรโมะ
แล้วจะมาเล่าให้ฟังเน้อ
ปิดท้ายด้วยสองรูปสาวซิมส์ในคอลเล็กชั่นค่ะ

แนนคะ
หายปวดหลังหรือยัง ดอกบ๊วยของแนนสวยจังเลย
หนูแนนอธิบายถึงโฆษณาพุงหยุ่นได้เห็นภาพมาก
คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นภาพแบบนี้เหมือนกันในทีวี
ขนหัวลุกไปหลายวัน

มุกกุคะ
นราไม่เอาใบตองมาห่อตัวก็ได้ค่ะ เพราะคิดว่าจะเปลี่ยนเป็นใบกะเพราแทน
น่าจะอินเทรนด์มากกว่า
อย่าซีเรียสเรื่องเรียนมากนะคะ

หมูอ้วน
คิดถึงหมูจังเลย อย่าเล่นเกมมากนะเดี๋ยวอ้วน (เกี่ยวป่าว?)

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

Sexy Scene for Hot Summer Day


ร้อน

ยังไม่ทันเข้าฤดูร้อนดีเลย ตับแตกซะแล้ว

เดินออกไปข้างนอกตอนเที่ยงๆ ได้ยินเสียงยางมะตอยเดือดดังเปรี๊ยะ เปรี๊ยะ

ไหนๆ ก็ห้ามไม่ให้มันร้อนไม่ได้แล้ว งั้นก็เพิ่มความร้อนด้วยคอลเล็กชั่นสาวซิมฮ็อทสะเด็ดซะเลย


เหลือเวลาอีกวันเดียว จะต้องเริ่มชีวิตคนทำงานแล้ว

เร็วจัง

ก็เลยใช้เวลาที่มีอยู่อย่างไร้สาระที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฮ่า

ที่อัพรูป เพราะแค้นใจที่อดไปเที่ยวทะเล แต่ทำอะไรไม่ได้

เลยสร้างภาพหลอนเพ้อฝันปลอบใจตัวเองด้วยโลกของซิมส์


เล่นซิมส์ไปเรื่อยๆ บังเกิดพุทธิปัญญา

ว่าตัวข้านี้หนา ก็ไม่ต่างอะไรจากซิมส์

เหมือนจะมีชีวิตของตัวเอง แต่อันที่จริงมีคนควบคุม ชี้ทางชีวิต

จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ก็สุดแล้วท่านผู้เล่นจะบงการ




รู้สึกว่าจะวาบหวิวไปแล้วหรือเปล่าหว่า เฮะ เฮะ

เดี๋ยวโดน กบว.

หน่วยงานที่ว่างมากขนาดคอยเซ็นเซอร์หัวนมชิซุกะ มาตัดตอนเอา

สกู๊ปเด็ดบล็อกหน้า

ช็อปหาเสื้อผ้าไปทำงาน ด้วยเงินทุนสองร้อยบาทไทย

นราจะหาเสื้อใส่ไปทำงานที่มหาลัยได้หรือไม่?

หรือจะต้องเอาหนังสือพิมพ์ หรือใบตอง หรือเอ็มแรป ห่อไปทำงาน?

โปรดติดตาม

ปล. คิดถึงหมูจัง







วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2552

Simulated Life, Real Pain

ปวดหลัง
จะตายอยู่แล้ว
คาดว่าสาเหตุคือสิ่งนี้ เล่นมันทั้งวันทั้งคืน นั่งจนตูดชาไปเลย
ใช่แล้วค่ะ ซิมส์ 2
วันก่อนไปเดินสยามกับเติ้ล ได้ภาคเสริมไอเท็มแมนชั่นแอนด์การ์เด้นมา
แอบดี๊ด๊าว่าลงได้ไม่มีปัญหา แต่ขึ้นชื่อว่าเทคโนโลยีแล้วอย่าไว้ใจ

มันบังคับให้เราลบภาคอพาร์ทเมนท์ที่เป็นภาคเสริมล่าสุดออก ทำเอาเรานิ่งงันไปหลายนาที

ไม่รู้จะไชโย หรือจะปล่อยโฮดี อุตส่าห์สร้างของเก่าไว้ตั้งแยะ
รูปข้างบนนั่นเป็นบ้านเปล่าๆ ตกแต่งเรียบร้อยแล้วเป็นยังงี้ค่ะ

หลังนี้นั่งทำทั้งวัน ก็พอจะเดาได้ว่าทำไมปวดหลัง แหะ แหะ



ภาคเสริมนี้ก็สมชื่อค่ะ คือมีอุปกรณ์แต่งบ้านและต้นไม้แต่งสวนเยอะ

แต่พอมาเทียบกับไอ้ที่หายไปแล้วรู้สึกว่าไม่คุ้มยังไงไม่รู้แฮะ


เลี้ยงสองเฒ่านี่มาตั้งแต่เด็ก ไม่ตายซะที

จนกลายเป็นซูเปอร์ซิมไปแล้ว คือพลังงานไม่ลด ความหิวไม่ลด อะไรๆแทบไม่ลด

จนไม่รู้จะให้มันทำอะไรดี -*-

ถ้าเป็นคนคงเรียกได้ว่าใช้เวลาสิ้นเปลือง (เหมือนเดี๊ยน)


หน้าร้อนกำลังจะมา

ตอนแรกว่าจะไปเที่ยวทะเลกับกลุ่มหนุ่มๆเพื่อนสนิทก่อนต้องเป็นมนุษย์เงินเดือน

ปรากฏแผนเสีย เพราะหนึ่งในนั้นโทรศัพท์เสีย ติดต่อไม่ได้ เลยอดเลย

เซ็ง คราวหน้ามาชวนเที่ยวฉันไม่ว่างแล้วนะแก ฮึ้ย

ปวดหลัง แถมอากาศก็ร้อน

เห็นบล็อกหนูแนนแล้วอิจฉาในความหนาวเย็นและตุ๊กตาหิมะ

เอารูปนี้มาสู้ละกันค่ะ


ขอตั้งชื่อว่าสมศักดิ์คุงละกัน ฟังดูญี่ปุ่นดี ฮ่า

ไม่ว่าอากาศจะร้อนจะหนาว ก็ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ

ด้วยรัก จาก นาร่า เดอ หลังเดี้ยง

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

A Day with Children

เมื่อวานนี้ ได้ไปทำกิจกรรมงาน GIVE: Giving Incomparably Valuable Experience
จัดโดยม. กรุงเทพ ที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าและยากจน ที่รร.วัดสระแก้ว อ. ป่าโมก จ. อ่างทอง
ร่วมกับนักศึกษาโอเอสพีปี 2 - 3 - 4
โค้งสุดท้ายก่อนเรียนจบจริงๆ แล้วล่ะ


หน้าที่ของเราวันนี้ คือสอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ ป. 6 ที่จะมาร่วมกิจกรรม

เขาบอกให้สอน Future Tense

ก็จะหนักใจว่าจะสอนยังไงดี เพราะไม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้เขาเรียนอะไรกันยังไงบ้าง เอาวะ เอา will กับ v. be + going to นี่แหละ

เตรียมงานค่ะเตรียมงาน คัดแยกผลงานของนักศึกษาและของบริจาคที่จะเอามาให้น้อง



แต่ก่อนหน้านั้น ต้องไปช่วยแจกจ่ายข้าวกลางวันให้น้องๆ ก่อน วันนี้มีข้าวมันไก่

นี่เด็กๆ มายืนรอรับข้าว เต็มพรึ่ดไปหมด มีนักเรียนที่เป็นชาวเขาเผ่าม้ง อาข่า แม้ว เย้า ตั้งพันกว่าคน


นรามีหน้าที่ขยุ้มไก่ ถูกแล้ว ขยุ้ม เพราะที่คีบไม่พอ


เห็นเด็กเล็กๆ แล้วสงสาร เพราะไก่มีน้อย บางคนได้ข้าวมาพูนถาดแต่ไก่ได้หยิบมือเดียว คือพี่ไม่ได้งก แต่ป้าโรงอาหารเขาบอกมาว่าให้ใส่ประมาณนั้น

น้องบางคนเห็นพี่ตักไก่ให้ตัวเองเยอะ บอกว่า "พี่ไม่ต้องให้เยอะก็ได้ เดี๋ยวคนข้างหลังไม่พอกิน" ทำเอาพี่สะอึก

น้องที่เขามีกินแทบไม่พอท้อง แต่ก็ยังห่วงว่าน้องคนอื่นจะไม่มีกิน

ในสังคมแบบทุกวันนี้ น่าจะให้พวกที่ถือคติมือใครยาวสาวได้สาวเอา หรือมาก่อนได้ก่อน มานั่งไหว้น้องเขามั่งก็ดี

เด็กกำลังโต กินไม่อิ่ม ก็มาขอเติม แต่ไก่มันหมดแล้ว

เขาก็กินข้าวคลุกน้ำจิ้มไก่เปล่าๆ

สะเทือนอีกแล้ว เพราะเห็นที่มหาลัย มีแต่ข้าวที่กินไม่หมดเหลือเต็มไปหมด แต่ที่นี่ทุกคำมีค่า

ทานข้าวเสร็จก็ฟังพระอาจารย์เจ้าของโรงเรียนมาเทศน์และให้พร พระอาจารย์นี่อินเทรนด์น่าดูเลย เทศน์สลับกับภาษาอังกฤษซะด้วย ฮ่า

เสร็จแล้วก็เริ่มทำกิจกรรมกัน มีทั้งหมดแปดฐาน แบ่งน้องเป็นแปดกลุ่ม แล้วก็เวียนฐานกันไปเรื่อยๆ นราอยู่ฐานหก

เป็นกลุ่มเดียวที่สอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษให้น้องได้สำเร็จ เพราะฐาน Present และ Past Tense นั้น หลังจากพบว่าน้องบางคนไม่รู้เรื่องเลยว่า ประธานของประโยคคืออะไร (มีน้องตอบว่า "คือคนที่กล่าวเปิดงานคับ") เลยพับโปรเจ็คไวยากรณ์กันไปสอนศัพท์อย่างอื่นให้น้องแทน
อากาศร้อนมาก ที่เห็นนราหน้าอ้วนนี่เพราะอากาศร้อนนะ เซลล์ผิวมันพองตัว จริงๆ แล้วจะผอมกว่านี้
เหนื่อยมาก เพราะต้องตะเบ็งเสียงสอนน้องแปดรอบ แข่งกับเสียงเพลงไก่ย่างจากกลุ่มข้างๆ และเสียงกรี๊ดถูกใจจากกลุ่มตรงข้าม
สะเทือนใจอีกแล้ว
น้องบางคนใส่เสื้อผ้าเก่าๆที่รู้ว่าบริจาคมา เยินๆ ไม่เข้าชุดกัน แต่เขาก็ต้องใส่
น้องบางคนหน้าตาเศร้าๆ ไม่สบตาใคร ไม่ยิ้ม ยืนไหล่ตกมองพื้นอย่างเดียว
เวลาทำกิจกรรมให้เต้น ให้ร้อง ก็ขยับตัวเก้งๆ ก้างๆ
วันนี้ต้องสะเทือนใจอีกกี่ครั้งฟะเนี่ย

ถ่ายรูปร่วมกันก่อนพี่ๆ จะกลับบ้าน ดูน้องๆ สนุก เราก็สุขใจที่อย่างน้อยได้ทำให้วันหนึ่งของเขามีความสุขบ้าง

ตอนจะกลับ เพื่อนๆ เอาขนมวาฟเฟิลที่เหลือเยอะมาก เป็นถังใหญ่ๆ ไปถ่ายใส่ถาดไว้ให้น้องที่วัด

น้องๆ ที่อยู่แถวนั้นก็ได้รับแจกขนม

สะเทือนใจสุดๆ (ครั้งสุดท้ายแล้วสัญญา) ตอนเห็นเด็กตัวเล็กๆ กำวาฟเฟิลไว้เต็มมือข้างนึงแล้ว แต่ก็ยังเอื้อมมืออีกข้างมาขออีก

คือเขาไม่เคยได้กินน่ะ เข้าใจไหม

วาฟเฟิลที่เอามาไม่ใช่ของดีมีราคา เป็นแบบที่ทำขายรถเข็นอันละสิบบาทนั่นแหละ

เป็นขนมแบบที่เรากัดเข้าไปแล้วพอไม่อร่อย เราก็ทิ้ง (อันนี้ตัวเองก็ทำ)

เห็นภาพนี้แล้วทั้งรู้สึกผิดและสะเทือนอารมณ์อย่างแรง

กลับบ้านมาสลบ เป็นผลจากการตะโกนตลอดสองชั่วโมงและเต้นกะน้องอย่างเมามัน

ได้ทำกิจกรรมกะเพื่อนๆ สนุกมากเลยนะ วันนี้เจอกันเป็นวันสุดท้ายแล้ว

ดีใจที่ได้ทำบุญร่วมกัน คิดถึงเราบ้างนะ